
การจะรับมือกับ “ข่าวปลอม” หรือ “เฟคนิวส์” จากฝั่งกัมพูชา ในสงครามจิตวิทยาและอาวุธที่เผชิญหน้ากันอยู่กับประเทศไทยนั้น
จำเป็นต้อง “รู้เขารู้เรา” โดยเฉพาะรู้ว่า “ฮุนเซนคิดอะไร” และเหตุผลตลอดจนวิธีการทำงานของสิ่งที่เรียกว่า “โรงงานผลิตข่าวลือของเขมร” ว่าทำงานอย่างไร
พันธ์ศักดิ์ อาภาขจร ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีการสื่อสาร เขียนบทความขอดเกล็ด “ฮุนเซน” และโรงงานผลิตข่าวลือเขมร ในเกมปั่นประสาทที่เรียกว่า “เกมความเท็จฆ่าความจริง”

ทั้งหมดก็เพื่อหาทางออกในการต่อสู้ และนำพาประเทศไทยให้หลุดออกจากวังวนนี้เสียที…
@@ ชำแหละพฤติกรรม “ผู้นำเขมรตัวจริง”
นาทีนี้...ถ้าใครพูดถึงเขมร เชื่อว่าคนไทยเกือบร้อยทั้งร้อยต้องเลือดขึ้นหน้าในทันที
เพราะนับตั้งแต่การปะทะครั้งแรกเมื่อปลายเดือนพฤษภาคม จนถึงการปะทะครั้งล่าสุด เขมรเล่นเกมสกปรกทั้งในสนามจริงและสร้างสงครามประสาทบนโลกโซเชียลไม่หยุดหย่อน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำพูดบนเฟซบุ๊กของฮุนเซน อดีตผู้นำเขมร ที่มักโพสต์ข้อความกล่าวหาประเทศไทยต่างๆ นานา ตั้งแต่เริ่มต้นว่า ไทยคือ “ผู้รุกราน”รวมทั้งท้าทายประเทศไทย ตลอดจนยั่วยุให้เกิดความโกรธ
และที่เลวร้ายที่สุดคือการนำคลิปการสนทนาของ คุณแพทองธาร นายกรัฐมนตรีไทย กับฮุนเซนเอง มาเปิดเผยต่อสาธารณะอย่างไม่ไว้หน้ากัน ราวกับชำระแค้นกันส่วนตัว และสร้างความสั่นคลอนให้กับประเทศไทยโดยไม่ได้คำนึงถึงชื่อเสียงและศักดิ์ศรีของทั้งตัวเองและผู้อื่น
ถ้าฮุนเซนสามารถทำพฤติกรรมเยี่ยงนี้ได้ ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการโกหกพกลมและพฤติกรรมเลวร้ายอื่นๆเขาจะทำไม่ได้ นี่คือพฤติกรรมของคนที่เคยเป็นอดีตนายกรัฐมนตรี และเป็นประธานวุฒิสภา ซึ่งเป็นผู้กุมอำนาจเบ็ดเสร็จในเขมรแต่เพียงผู้เดียว
พูดง่ายๆว่า ณ วันนี้ อะไรที่สื่อถึงชาวโลกเพื่อเอาความดีใส่ตัว เอาความชั่วให้ประเทศไทย ฮุนเซนสามารถทำได้หมด โดยไม่ต้องคำนึงถึงความผิดชอบ ชั่ว ดี ใดๆ ทั้งสิ้น
@@ ฮุนเซน - คนแก่ติดโซเชียล

ฮุนเซน เป็นนักรบเขมรที่เคยอยู่ในยุคสงครามเย็น การโฆษณาชวนเชื่อในยุคนั้น นอกจากการเป่าหูให้หวาดกลัว การขู่เข็ญต่างๆ นานาแล้ว วิทยุและใบปลิวซึ่งเป็นการสื่อสารทางเดียว เป็นการโฆษณาชวนเชื่อที่ถูกใช้มากที่สุด แต่อาจไม่ได้ผลดีที่สุด เพราะไม่ได้เข้าถึงตัวของทุกคน
เมื่อยุคของสมาร์ทโฟนและโซเชียลมีเดียมาถึง จึงเป็นโอกาสของฮุนเซนที่ได้ใช้เครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อยุคใหม่ที่เรียกกันว่า การโฆษณาชวนเชื่อด้วยระบบคอมพิวเตอร์ (Computational propaganda) ซึ่งมีอัลกอริทึมและระบบอัตโนมัติอื่นๆ รวมทั้งมนุษย์เองเป็นองค์ประกอบ โดยใช้สมาร์ทโฟนและโซเชียลมีเดียในการเข้าถึงเป้าหมาย ซึ่งเป็นสมาร์ทโฟนในมือของคนเขมรแต่ละคน เพราะโซเชียลมีเดียเป็นกระบอกเสียงที่เข้าถึงผู้คนได้ง่าย รวดเร็ว กว้างขวาง และสามารถสื่อสารได้ตลอดเวลาตามที่ต้องการ
แม้ว่าฮุนเซนจะใช้เครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อยุคใหม่ แต่รูปแบบการโฆษณาชวนเชื่อของเขาที่บิดเบือน ปลุกระดม และให้ร้ายฝ่ายตรงข้ามบนโลกออนไลน์ ยังคงเป็นวิธีเดิมที่น่าเชื่อว่า เขานำตำราโฆษณาชวนเชื่อในยุคสงครามเย็นมาใช้ เสริมด้วยสื่อกระแสหลักที่มีข่าวว่าตระกูลของเขาควบคุมอำนาจไว้อย่างเบ็ดเสร็จ
และดูเหมือนว่าโซเชียลมีเดียและสมาร์ทโฟนจะทำงานเข้ากันดีกับการโฆษณาชวนเชื่อของผู้นำเผด็จการแบบฮุนเซน ที่สามารถใช้โซเชียลมีเดียเป็นกระบอกเสียงในมือ เป่าหูผู้คนจนเชื่อว่าทุกสิ่งอย่างที่ออกจากปากเขานั้นเป็นความจริง
หากฮิตเลอร์มีชีวิตอยู่ได้ถึงวันนี้ เขาก็คงใช้โซเชียลมีเดียเพื่อการโฆษณาชวนเชื่อไม่ต่างจากฮุนเซน เพราะในช่วงที่ฮิตเลอร์เรืองอำนาจ เขาใช้การโฆษณาชวนเชื่อเป็นอาวุธในการโน้มน้าวผู้คนให้เกลียดชาวยิวและกลุ่มคนที่ด้อยกว่า (Untermenschen - อุนเทอร์เมินช์) และป้ายสีคนเหล่านี้ว่าเป็นศัตรูของประชาชน โดยพวกนาซีได้สร้างวิทยุแบบพิเศษติดเครื่องหมายสวัสดิกะ ที่รับได้เฉพาะความถี่ของนาซีเท่านั้น แจกจ่ายให้กับคนเยอรมันเพื่อฟังการโฆษณาชวนเชื่อของตัวเอง
ฮิตเลอร์ เคยพูดไว้กับนายพลทหารของเขาว่า “ข้าพเจ้าจะใช้การโฆษณาชวนเชื่อเป็นเหตุผลในการทำสงคราม ความน่าเชื่อถือไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะผู้ชนะจะไม่ถูกถามว่าเขาพูดความจริงหรือไม่”
พฤติกรรมของฮุนเซนกับฮิตเลอร์ไม่ได้ต่างกันแม้แต่น้อย เพราะเขาไม่เคยใส่ใจในเรื่องความผิดชอบชั่วดี เพราะเกมของเขาคือการเอาชนะเท่านั้น เขาและพลพรรคจึงปั้นน้ำเป็นตัว ส่งลงแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียและสื่อต่างๆ ไม่เว้นแต่ละวัน

การเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาในเขมร ฮุนเซนเคยใช้เฟซบุ๊กข่มขู่ศัตรูทางการเมืองของเขาเอง ซึ่งไม่ต่างจากพฤติกรรมของผู้นำที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จคนอื่นๆ ที่มักใช้วิธีเดียวกัน ความก้าวร้าวของเขาทำให้บัญชีเฟซบุ๊กของเขาเกือบถูกปิด เพราะครั้งหนึ่งเขาถูกบอร์ดกำกับดูแลของเฟซบุ๊กตักเตือนว่า เขาใช้คำพูดที่มีเนื้อหาอาจนำไปสู่ความรุนแรงในวิดีโอที่เขาปราศรัยโจมตีนักการเมืองฝ่ายค้านอย่างรุนแรง ที่กล่าวหาว่าพรรคของเขาขโมยคะแนนเสียงเลือกตั้งว่า
“พวกเขาอาจต้องเผชิญกับการดำเนินคดีทางกฎหมาย หรือถูกตีด้วยไม้ หากกล่าวหาว่าพรรครัฐบาลของผมขโมยคะแนนเสียงในการเลือกตั้งระดับชาติในช่วงปลายปีนี้”
บัญชีเฟซบุ๊กของฮุนเซน ถูกเสนอจากบอร์ดกำกับดูแลที่ให้ระงับบัญชีเป็นเวลา 6 เดือน จากพฤติกรรมก้าวร้าวทางภาษาของฮุนเซน ที่ใช้โซเชียลมีเดียในการกำราบคู่แข่งทางการเมือง ที่เรียกว่าการใช้อำนาจทางดิจิทัล (Digital authorization) บนเฟซบุ๊ก
ทันทีที่บอร์ดกำกับดูแลประกาศความเห็นสู่สาธารณะ ฮุนเซนก็ปิดบัญชีเฟซบุ๊กของตัวเองประท้วงในทันที และขู่ด้วยว่าจะปิดบริการของเฟซบุ๊กในกัมพูชา
หลังปิดบัญชีเฟซบุ๊กของตัวเองไปเพียง 3 สัปดาห์ ฮุนเซนก็หวนกลับมาใช้เฟซบุ๊กดังเดิม เพราะเขารู้ว่ากระบอกเสียงที่ทรงประสิทธิภาพในการสื่อสารที่สุดคือเฟซบุ๊ก และน่าเชื่อว่าเขาเองก็มีพฤติกรรมการเสพติดโซเชียลมีเดียและสมาร์ทโฟนงอมแงมไม่ต่างจากคนอื่นๆ ในโลก เพราะเขาสามารถโพสต์เฟซบุ๊กให้ผู้ติดตาม 14 ล้านคนของเขาได้เห็นคอนเทนต์ของเขาเกือบตลอดเวลาผ่านสมาร์ทโฟนที่อยู่ติดตัว ไม่ว่าจะดึกดื่นเพียงใดก็ตาม
และลักษณะของคอนเทนต์ที่เขาโพสต์ มักจะเป็นคอนเทนต์ที่กระตุ้นให้เกิดความไม่พอใจและความโกรธ ซึ่งเข้าข่ายคอนเทนต์ที่ เรียกกันว่า Shitposting agitator ซึ่งเป็นคอนเทนต์คุณภาพต่ำและก้าวร้าว แต่มักเรียกร้องความสนใจได้ดีกว่าคอนเทนต์ประเภทอื่น และทำงานเข้ากับอัลกอริทึมของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียได้เป็นอย่างดี
@@ โรงงานผลิตข่าวลือของเขมร

ข่าวปลอม ข่าวบิดเบือน และทฤษฎีสมคบคิดต่างๆ ที่เกิดขึ้นทั้งระหว่างการปะทะและหลังข้อตกลงหยุดยิงระหว่างไทยกับเขมรที่ปลิวว่อนอยู่บนโลกออนไลน์ และคนเขมรเชื่อกันเป็นตุเป็นตะว่าเป็นความจริง และแชร์ต่อกันมากมายนั้น ส่วนใหญ่เป็นความเท็จที่ถูกสร้างขึ้น จนทำให้ผู้คนเข้าใจผิดและคิดว่าเป็นเรื่องจริง จนนำไปสู่การตอบโต้กันไปมา กลายเป็นสงครามข่าวสารต่อเนื่องจากการรบในสนามรบ
ซึ่งเข้าใจว่าเขมรต้องการให้เป็นเช่นนั้น เพราะทั้งฮุนเซนเองและผู้นำระดับรองลงมาต้องการชิงความได้เปรียบด้วยการพูดความเท็จก่อน ซึ่งสามารถเรียกร้องความสนใจและทำให้ผู้คนเกิดความเชื่อได้มากกว่า
ขณะที่การหักล้างด้วยความจริงในภายหลังนั้น ต้องใช้พลังในการหักล้าง และยากที่จะโน้มน้าวความเชื่อของผู้คนให้กลับมาสู่ความจริงได้ด้วยเหตุผลดังนี้
๏ ความเท็จ-ความไร้สาระ สร้างง่ายกว่าการหักล้าง
๏ ความเท็จ-ความไร้สาระ ไม่ต้องใช้สติปัญญาในการสร้างมากนัก แค่ลอกกับตัดแปะก็กลายเป็นเรื่องจริงได้แล้ว แต่ต้องใช้ความพยายามและสติปัญญาในการหักล้างมากกว่าหลายเท่า
๏ ความเท็จ-ความไร้สาระ แพร่ได้เร็วกว่าเวลาในการพยายามในการหักล้างและกำจัด
สิ่งที่ฮุนเซนและผู้นำเขมรคนอื่นๆ กำลังกระทำอยู่ คือการเล่นละครลวงโลก ซึ่งคนอย่างเขาทำได้โดยไม่ต้องปิดบัง และไม่ต้องสนใจต่อความรับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้น
สังคมเขมรในวันนี้จึงเป็นเหมือนโรงงานผลิตข่าวลือ (Rumor mill) ขนาดใหญ่ ที่จงใจผลิตทั้งข่าวปลอม ข่าวลือ ข่าวบิดเบือน ให้กลายเป็นความจริงที่ถูกสร้างขึ้นตามใจผู้นำ
พื้นที่แห่งการรับรู้ของผู้คนในเขมรได้กลายเป็นห้องเสียงสะท้อน (Echo chamber) ขนาดใหญ่ ที่ผู้คนรับฟังแต่เสียงผู้นำและเสียงจากอินฟลูเอนเซอร์เขมรที่คอยเป่าหูให้เชื่อข่าวลือ ข่าวปลอม และความเท็จต่างๆนานาจนกระทั่งไปถึงทฤษฎีสมคบคิด ซึ่งได้ทำลายระบบการคิดวิเคราะห์และแยกแยะ (Critical thinking) ของคนรับข่าวสารไปจนหมด เพราะข่าวสารโฆษณาชวนเชื่อและความเท็จต่างๆ เป็นคอนเทนต์กระตุ้นอารมณ์ที่ทำให้ผู้คนลืมนึกถึงความเป็นเหตุเป็นผล
สิ่งที่ฮุนเซนมักจะพูดซ้ำๆ อยู่เสมอคือ คำว่า “ไทยคือผู้รุกราน” เพราะเมื่อใดก็ตามที่ข้อความนี้ผ่านสายตาคนรับข้อมูลมากครั้งเท่าใด การประมวลผลของสมองของคนรับข่าวสารก็จะยิ่งน้อยลงเท่านั้น ซึ่งแปลว่า ไม่มีสิ่งใหม่ๆ มาทำให้คนรับข่าวสารได้ประหลาดใจอีกต่อไป ผู้รับข่าวสารจึงยอมรับในสิ่งนั้น และเชื่อว่าสิ่งที่ได้เห็นหรือได้ยินซ้ำกันหลายๆ ครั้งนั้นคือความจริง
@@ การทำซ้ำ = ความเคยชิน = ความจริง

นักจิตวิทยาเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “ปรากฏการณ์ความจริงลวงตา” (Illusory truth effect หรือ Illusion of truth) ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับพฤติกรรมของมนุษย์ซึ่งมีแนวโน้มที่จะเชื่อในสิ่งที่ได้รับการบอกเล่าจากคนผู้อื่นว่าเป็นความจริง โดยที่คนเขมรไม่ต้องระแวงว่าฮุนเซนกำลังพูดโกหก เพราะเขาคือผู้นำที่คนเขมรต้องเชื่อฟัง
ยุคที่โซเชียลมีเดียครองพื้นที่สื่อ การกล่าวความเท็จซ้ำกันนับล้านๆ ครั้งในแต่ละวัน ความเท็จนั้นจะกลายเป็นความจริงที่มีน้ำหนัก จนยากที่จะหักล้างได้ ความจริงในประเทศไทยกับความจริงในเขมร และความจริงของโลก จึงเป็นความจริงคนละเวอร์ชัน เพราะความจริงในเขมรกลายเป็นความจริงที่ถูกสร้างขึ้น (Bespoketruth) ตามคำสั่งของผู้นำที่หวังผลทางการเมือง และเป็นละครที่สร้างให้ทั่วโลกเห็นใจ แต่เป็นความจริงที่ไม่เหมือนกับความจริงที่โลกรับรู้ (Consensus truth)
อย่าว่าแต่คนเขมรหรือคนไทยเลยที่ตกเป็นเหยื่อของข่าวปลอมและทฤษฎีสมคบคิด แม้แต่คนอเมริกันเองที่ถือว่าเป็นประเทศพัฒนาที่ผู้คนมีความรู้และเป็นเจ้าของเทคโนโลยีที่ครองโลก แต่คนส่วนหนึ่งกลับกำลังเผชิญกับปัญหาการรับรู้ และเชื่อข้อมูลเท็จบนโลกออนไลน์ที่แฝงมากับโซเชียลมีเดีย
จากการสำรวจพบว่า 95 เปอร์เซ็นต์ของคนอเมริกันระบุว่า ข้อมูลเท็จกำลังเป็นปัญหาของพวกเขา ซึ่งสอดคล้องกับการสำรวจของนักวิจัยต่อความเชื่อของคนอเมริกันเมื่อกว่าสิบปีที่แล้ว (2014) โดยพบว่า 50 เปอร์เซ็นต์ของคนอเมริกันมีความเชื่ออย่างน้อยที่สุดหนึ่งในทฤษฎีสมคบคิดต่อไปนี้
๏ 19 เปอร์เซ็นต์เชื่อว่า เหตุการณ์การก่อวินาศกรรม 9/11 ในสหรัฐอเมริกาเมื่อ 20 กว่าปีก่อน เป็นการสร้างสถานการณ์ขึ้นมาเองจากภายใน
๏ 40 เปอร์เซ็นต์เชื่อว่า องค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA) จงใจปกปิดวิธีการรักษาโรคมะเร็ง
๏ 19 เปอร์เซ็นต์เชื่อว่า สภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจเมื่อปี 2008 เกิดจากความจงใจที่ธนาคารกลางของสหรัฐอเมริกา (FED) สร้างขึ้น
เกือบสิบปีต่อมา มีการสำรวจความเชื่อของคนอเมริกันด้วยคำถามเดียวกันอีกครั้ง รวมทั้งถามถึงความเชื่อในทฤษฎีสมคบคิดอื่นๆ เพิ่มเติมด้วย ผลสำรวจครั้งนี้ให้ผลลัพธ์ที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย เพราะความเชื่อเมื่อหลายปีก่อน กับความเชื่อในการสำรวจครั้งหลังไม่ได้เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นเลย ผลสำรวจพบว่า
๏ 23 เปอร์เซ็นต์ ยังคงเชื่ออย่างหนักแน่นว่า การก่อวินาศกรรม 9/11 เป็นการสร้างสถานการณ์ขึ้นมาเอง
๏ 25 เปอร์เซ็นต์ เชื่อว่าการแพร่ระบาดของโคโรนาไวรัส เป็นการวางแผนมาตั้งแต่ต้น
๏ 15 เปอร์เซ็นต์เชื่อในทฤษฎีสมคบคิด QAnon ซึ่งเชื่อกันว่า รัฐบาลอเมริกัน สื่อ และระบบการเงินโลก ถูกควบคุมด้วย องค์กรลัทธิบูชาซาตาน
ที่น่าสนใจคือ ทั้งที่มีหลักฐานเชิงประจักษ์จากคะแนนเลือกตั้ง แต่คนอเมริกันจำนวนมากถึง 32 เปอร์เซ็นต์ยังคงเชื่อว่า ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ขโมยชัยชนะไปจากอดีตประธานาธิบดี ทรัมป์ ในการเลือกตั้งเมื่อปี 2020
ลองคิดดูว่าหากความเชื่อเหล่านี้อยู่ในสังคมของประเทศที่ผู้คนขาดความคิดเชิงวิเคราะห์ และเชื่อในละครที่ผู้นำสร้างขึ้นโดยไม่สามารถแยกแยะได้ว่าสิ่งไหนคือความจริง สิ่งไหนคือความเท็จ สังคมข้อมูลข่าวสารของประเทศนั้นจะสับสนอลหม่านเพียงใด โดยเฉพาะ ข่าวลือ ข่าวปลอม และทฤษฎีโกหกที่ถูกแต่งขึ้นด้วยน้ำมือของผู้นำ และรัฐบาลเอง เพื่อปั่นหัวประชาชน จะส่งผลต่อการรับรู้ความจริงของคนเขมรมากเพียงไหน

ดังนั้นข่าวที่ปรากฎต่างๆ นานาบนพื้นที่ทั้งสื่อโซเชียมีเดียและสื่อหลัก นำมาขยายความต่อ คือ ทฤษฎีสมคบคิดที่ผู้นำเขมรและอินฟลูเอนเซอร์ต่างๆ สร้างเองขึ้นจนทำให้คนเขมรเชื่อหัวปักหัวปำ ทั้งที่เป็นเรื่องเท็จ เป็นต้นว่า
๏ โฆษกกระทรวงกลาโหมเขมรอ้างว่ากองทัพไทยได้รุกล้ำดินแดนเขมร และใช้อาวุธเคมีในการปฏิบัติการทางทหาร แต่ต่อมาพบว่ามีการนำภาพการโปรยสารดับไฟเพื่อควบคุมไฟป่าในแคลิฟอร์เนียมาตัดต่อ
๏ เขมรอ้างว่ามีการทิ้งระเบิด MK-84 จากเครื่องบิน F-16 ซึ่งความจริงแล้วเป็นระเบิดเก่าจากสงครามเมื่อหลายปีก่อน อยู่ในสภาพเก่าและขึ้นสนิมอย่างชัดเจน มีลักษณะคล้ายถูกขุดขึ้นมาจากใต้ดินมากกว่าการตกจากอากาศ
๏ สื่อเขมรอ้างพบนกพิราบติด GPS จากไทยบินสอดแนมเขมร ซึ่งความจริงแล้วเป็นนกพิราบแข่ง แถมคลิปที่เอามาปล่อยเป็นภาพที่ถ่ายจากฝั่งไทย
๏ ไทยจัดฉากทิ้งระเบิดถล่ม 7-11 เอง เพื่อใส่ร้ายเขมร ทั้งที่ความจริงคือ 7-11 ถูกถล่มด้วยปืนใหญ่จากเขมร

แม้แต่การแสดงละครบีบน้ำตาของประธานสภาหญิงเขมร ควน สุดารี ที่เล่าความเท็จ กล่าวหาว่าไทยใช้อาวุธเคมีโจมตีเขมร และทำลายโรงพยาบาลและชุมชน และละเมิดข้อตกลงหยุดยิงในที่ประชุมสหภาพรัฐสภา ที่กรุงเจนีวา ซึ่งเป็นเรื่องเท็จ โดยหวังความเห็นใจจากนานาชาติบนเวทีนั้น ก็น่าเชื่อว่าเป็นพล็อตเรื่องที่สร้างขึ้นจากการให้ไฟเขียวของผู้นำอย่างไม่ต้องสงสัย
ข่าวปลอม ข่าวบิดเบือน และทฤษฎีสมคบคิดต่างๆ นานาที่เคยเห็นเป็นข่าวในยุโรปก็ดี ในสหรัฐอเมริกาก็ดี คนไทยกลับได้เห็นในช่วงการปะทะครั้งนี้เกือบตลอดเวลา ซึ่งน่าจะสร้างความเชื่อผิดๆให้กับคนเขมรเองและสร้างความขบขันหรือถึงขั้นสมเพชในสายตาของชาวโลกที่ได้เห็นความเท็จจากเรื่องไม่เป็นเรื่องกระจายไปทั้งโลก ไม่เว้นแม้แต่เวทีการประชุมระหว่างประเทศ
@@ การรับมือกับความเท็จของฮุนเซน
ฮุนเซนใช้ยุทธศาสตร์สร้างความเท็จจาก “โรงงานผลิตความเท็จ” ที่ได้หัวเชื้อมาจากตัวเขาเอง การสร้างความเท็จประเภทนี้เรียกกันว่า ยุทธศาสตร์ใช้ “ความเท็จฆ่าความจริง” (Truth killing strategy) ซึ่งความเท็จจำนวนมากจะถูกผลิตและปล่อยให้หลั่งไหลออกมาสู่สาธารณะอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง เพื่อฆ่าความจริง เพราะสิ่งที่ฮุนเซนต้องการคือ ความจริงต้องออกมาจากปากของผู้นำเท่านั้น
นอกจากฮุนเซนแล้ว ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกาก็เคยใช้เทคนิค “ความเท็จฆ่าความจริง” เช่นกัน หลังจากที่ผู้สนับสนุนเขาหลายร้อยคนบุกเข้าไปในอาคารรัฐสภา ใจกลางกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เพื่อต่อต้านผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีที่ โจ ไบเดน เป็นผู้ชนะ จนเหตุการณ์บานปลายกลายเป็นความโกลาหลวุ่นวาย มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต แต่ทรัมป์และผู้สนับสนุนเขาช่วยกันปล่อยข่าวบิดเบือนว่า “คนเหล่านี้มาชุมนุมกันอย่างสงบ” และเป็นคนธรรมดาๆ อย่างหน้าตาเฉย
ทั้งที่ความจริงแล้วเหตุการณ์ในวันนั้นเป็นการก่อจลาจลโดยใช้อาวุธที่สร้างความเสียหายจนถึงขั้นมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต
ความแปลกปลอมบนโลกออนไลน์ที่ฮุนเซนและคนเขมรสร้างขึ้นเป็นยุทธศาสตร์ที่พวกเขาต้องการเอาชนะไทยบนโลกอินเทอร์เน็ต ด้วยการกรอกหูคนเขมรและคนทั้งโลกด้วยเรื่องแต่ง (Narrative) เพื่อเรียกร้องความเห็นใจในฐานะประเทศเล็กที่ถูกรังแก ซึ่งน่าจะได้ผลอยู่ไม่มากก็น้อย
การรับมือกับความเท็จจากฮุนเซ็นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะความเท็จที่ถูกปล่อยมานั้นมักตรงกับจริตของคนเขมรอยู่แล้ว รวมทั้งคนในโลกอื่นๆ ที่ไม่เคยรู้จักนิสัยและฤทธิ์เดชของเขมร อาจคล้อยตาม จึงไม่แปลกที่ผู้รับข่าวสารอาจเชื่อในสิ่งที่ฮุนเซนและผู้นำเขมรอื่นๆ พูด

สิ่งที่คนไทยจะทำได้คือ การตอบโต้ที่รวดเร็วด้วยความจริงจากสื่อแสหลัก( Mass media) และสื่อบุคคล (Individual media) การกำจัดความเท็จออกจากแพลตฟอร์ม การตรวจสอบความจริง (Fact checking) การให้ความรู้ในการรับมือกับข่าวสารแก่ผู้คนในสภาวะตึงเครียด สร้างภูมิคุ้มกันต่อการรับข่าวสารของผู้คนบนโลกออนไลน์ในระยะยาว ฯลฯ
รวมทั้งอาจของความร่วมมือจากสื่อหลักในการตอบโต้ เป็นต้นว่า อาจใช้เทคนิคที่เรียกว่า Truth sandwich ซึ่งนำเสนอความจริงสลับด้วยการอธิบายสิ่งที่เป็นความเท็จ และตบท้ายด้วยความจริงอีกครั้ง ซึ่งสื่อหลายสำนักได้ใช้วิธีนี้โต้ตอบไปแล้ว
สงครามข่าวสารที่เกิดขึ้นระหว่างไทยกับเขมรถือเป็นบทเรียนสำคัญของการต่อกรรับมือกับเฟคนิวส์ ข่าวบิดเบือน ทฤษฎีสมคบคิดต่างๆ นานาที่เขมรสร้างขึ้น เพื่อสร้างความปั่นป่วน ดิสเครดิตประเทศไทย และสร้างความชอบธรรมแก่ตัวเอง การรับฟังข่าวสารในช่วงเวลาที่สับสนวุ่นวายจึงต้องอาศัยสติ การกลั่นกรองข้อมูล และดูแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือ ซึ่งสื่อกระแสหลักและโซเชียลมีเดียช่องที่น่าเชื่อถือน่าจะเป็นที่พึ่งที่ดีที่สุด
ที่สำคัญคือคนไทยต้องตระหนักว่า ความจริงไม่ได้ตายเพราะฮุนเซนปั้นความเท็จ แต่ความจริงอาจตายได้หากคนไทยเพิกเฉยต่อการเปิดเผยความจริงแก่ชาวโลก ซึ่งเชื่อได้ว่าชาวเน็ตและสื่อไทยคงไม่ปล่อยเรื่องเหล่านี้ผ่านไปง่ายๆ และคงจัดหนักต่อละครลวงโลกของเขมรไปแล้ว
@@ อย่าไว้ใจเขมร
คนไทยเคยรับรู้จาก เรื่องเล่า พงศาวดาร คำเปรียบเปรย ตั้งแต่ครั้งโบราณและตกทอดมายังยุคปัจจุบันว่า “อย่าไว้ใจเขมร” ซึ่งยังคงเป็นคำพูดที่ยังทันสมัยอยู่จนถึงทุกวันนี้ การปะทะกันระหว่างฝ่ายไทยกับเขมรให้บทเรียนแก่คนไทยทั้งด้านการทหาร การเมือง เทคโนโลยี การต่างประเทศ มาตรฐานการรบ และความจริงใจของมนุษย์
เพราะหลังจากมีการเจรจาหยุดยิงด้วยการเสนอตัวจากนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ซึ่งเป็นประธานอาเซียนเข้ามาเป็นผู้ไกล่เกลี่ยเพื่อให้ได้ข้อยุติ แต่กลับกลายเป็นว่าหลังจากนั้นเขมรยังคงมีการก่อกวนด้วยการใช้อาวุธอย่างต่อเนื่องและมีการบิดเบือนจากทางการเขมรในวันรุ่งขึ้นทันทีว่าการปะทะระหว่างสองฝ่ายยุติลงแล้ว ซึ่งขัดกับความเป็นจริงอย่างสิ้นเชิง
พฤติกรรมของเขมรต่อความไม่นำพาถึงข้อตกลงที่มีผู้แทนระหว่างประเทศและสื่อมวลชนที่เป็นสักขีพยาน แสดงให้เห็นถึง “การตีสองหน้า” ความตระบัดสัตย์ และความไม่เคารพในกติกาใดๆ ของผู้นำเขมร และยังทำลายความน่าเชื่อถือของตัวเอง ประเทศชาติ และประชาชนเขมรเองอย่างไม่น่าเชื่อว่าจะมีผู้นำคนใดในโลกจะสามารถกระทำเช่นนี้ได้
คนไทยจึงไม่อาจไว้ใจเขมรได้เลย ไม่ว่าจะอยู่ต่อหน้าหรือลับหลัง และไม่ว่าจะอยู่ในยุคไหนหรืออยู่ในสถานการณ์ใดก็ตาม
