
แทบทุกครั้งที่มีการพูดถึง “ปอเนาะ” ในพื้นที่ชายแดนใต้ มักถูกขีดเส้นใต้ในมิติความมั่นคงอยู่เสมอ
สายตาจากคนนอกพื้นที่ีที่มองเข้าไป แม้แต่ข้าราชการ ตำรวจ ทหารที่ลงไปปฏิบัติ มักเพ่งมองด้วยความไม่ไว้ใจ
แต่หากถาม “คนพื้นที่” จะรู้ดีว่า “ปอเนาะ” เป็นยิ่งกว่าวิถีชีวิตของคนอิสลาม เป็นเหมือนบ้านหลังที่ 2 ของเด็กๆ และเยาวชน เห็นห้องเรียน เป็นห้องอาหาร เป็นโรงครัว และเป็นที่พึ่งในยามยาก
ที่สำคัญภายในปอเนาะมีเรื่องน่าเป็นห่วงมากมาย โดยเฉพาะที่กระทบกับช่วงวัยของนักเรียน นอกเหนือจากเรื่องเล่ากระทบกับความมั่นคงทั้งหลาย
@@ เคาะประตูปอเนาะเก่าแก่แห่งเมืองยะรัง

เราไปเยี่ยมเยือนสถาบันปอเนาะศูนย์ศึกษาศาสน์วิทยา ใน อ.ยะรัง จ.ปัตตานี ซึ่งเป็น 1 ใน 10 ของโรงเรียนปอเนาะที่เก่าแก่ของสามจังหวัดชายแดนภาคใต้
ถามว่าเก่าขนาดไหน... เก่าขนาดก่อตั้งขึ้นก่อนการประกาศการยกระดับให้โรงเรียนปอเนาะขึ้นเป็น “สถาบันปอเนาะ” เมื่อปี 2545 เรียกว่าเป็น “ปอเนาะดั้งเดิม”
ปัจจุบันมีนักเรียน (โต๊ะปาเก) แบ่งเป็นชาย 105 คน หญิง 100 คน รวม 205 ชีวิต เด็กส่วนใหญ่มาจากครอบครัวที่มีฐานะยากจน
จากการสำรวจของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) บ้านจาเราะบองอ ต.เขาตูม อ.ยะรัง ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากสถาบันปอเนาะแห่งนี้ พบข้อมูลว่าเด็กปอเนาะมีปัญหาสุขภาพช่องปาก
และเมื่อแกะรอยเข้าศึกษาวิถีชีวิต ก็พบข้อมูลที่น่าตกใจ
นั่นก็คือ... เด็กปอเนาะบริโภคน้ำตาลเกินกำหนด โดยเฉลี่ยเด็ก 1 คนบริโภคน้ำตาลมากถึง 18 ช้อนชาต่อวัน
ขณะที่องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำให้บริโภคได้ไม่เกิน 6 ช้อนชาต่อวันเท่านั้น
เท่ากับว่าเด็กแต่ละคนบริโภคน้ำตาลเกินมาตรฐานโลกถึง 3 เท่า!!!
แทบทุกคนนิยมดื่ม “ชานม” โดยจะชงใส่เหยือกพร้อมดื่ม และแทบจะดื่มแทนน้ำเปล่ากันเลยทีเดียว
นอกจากนั้นยังมีวิถีชีวิต “นอนดึก กินดึก” และบริโภคเครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาลสูงมาก
พฤติกรรมการบริโภคแบบนี้ หากไม่มีหน่วยงานใดเข้าไปแก้ไขปัญหา หรือแนะนำแนวทางที่ถูกต้อง พร้อมหามาตรการป้องกันตั้งแต่เนิ่นๆ อาจส่งผลให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพในระยะยาว
กล่าวคือ... เด็กกลุ่มนี้ล้วนสุ่มเสี่ยงที่จะเป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือ NCDs ในระยะยาว รักษาไม่หาย ต้องกินยาไปตลอดชีวิต
ยิ่งเมื่อเด็กต้องพึ่งพาตัวเอง บางครั้งอาจละเลย อย่างเช่น เรื่องอาหารและโภชนาการ ขอเพียงแค่กินให้อิ่ม กินให้อยู่ท้องนานๆ ก็หนักพอแล้ว
@@ ความจน... ต้นตอปัญหาโภชนาการ

มาหะมะซาฮาบูดิน ซิง หรือ “บาบอดิง” ผู้อำนวยการสถาบันปอเนาะศูนย์ศึกษาศาสน์วิทยา สะท้อนว่า เด็กที่นี่ส่วนใหญ่ยากจน ครอบครัวมีฐานะลำบาก ไม่มีเงิน บางคนครอบครัวจะส่งเงินให้ใช้เฉลี่ยวันละ 30-40 บาทเท่านั้น ซึ่งถือว่าน้อยมากสำหรับการที่ต้องหาอาหาร 3 มื้อในแต่ละวัน เพราะโรงเรียนไม่มีโรงอาหาร
“เราไม่มีโรงอาหารให้บริการ ไม่ได้ทำอาหารให้เด็กรับประทาน เด็กจะทำอาหารเอง ปรุงอาหารกินกันเองตามวิถีปอเนาะ วัตถุดิบก็มาจากเท่าที่มีในร้านค้าในสถาบัน นานๆ จะมีรถเร่เข้ามาบ้าง ดังนั้นเด็กๆ จะบริหารจัดการตัวเอง ที่ปอเนาะจึงไม่ได้ให้แค่การเรียน แต่เน้นการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน”
การเรียนการสอนเพื่อให้เอื้อเฟื้อแบ่งปัน และยึดวิถีอิสลาม ก็นับว่ายากอยู่แล้ว แต่ที่ยากยิ่งกว่าคือการกินให้ถูกหลักโภชนาการ
“ศาสนาอิสลามสอนการใช้ชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย” บาบอดิง เล่า “เรามีหลัก ‘ตะเซาวุฟ’ หรือ หลักแห่งการพัฒนาจิตใจและขัดเกลาตนเอง เวลากินก็กินให้พอดี ระมัดระวังการกิน สิ่งไหนเป็นโทษต่อร่างกายให้เลี่ยง ซึ่งเป็นไปตามบทบัญญัติของอิสลามที่ให้แบ่งกระเพาะเป็น 3 ส่วน กินเนื้อหรืออาหาร 1 ส่วน ลม 1 ส่วน และน้ำ 1 ส่วน เวลานอนให้นอนตะแคงฝั่งซ้าย ให้หัวใจไม่ทำงานหนัก สอนให้เหลียวดูแลสุขภาพ เลือกอาหารที่มีประโยชน์ ทุกสัปดาห์ช่วงเข้าแถว สภานักเรียนก็จะบอกถึงข้อควรระวังเรื่องอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ”
แต่เด็กๆ กับขนมขบเคี้ยว ของกินเล่น และของหวาน ดูจะเป็นของคู่กัน เมื่อขนมหายาก... ชานมหวานๆ จึงเป็นคำตอบเมื่อปากอยาก
“จริงๆ ที่นี่ไม่ค่อยมีอาหารแปรรูป ส่วนใหญ่เป็นของสดมากกว่า” บาบอดิง บอก โดยลืมคิดไปว่าจุดนี้คือต้นเหตุอย่างหนึ่งของปัญหา แต่ทางสถาบันก็ใส่ใจ หาทางแก้ไข
“เราพยายามประสานกับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ทำอย่างไรให้เด็กมีความรู้เรื่องโภชนาการ เพื่อมีสุขภาพที่แข็งแรง เรามีแปลงเกษตรให้เด็กร่วมกันรับผิดชอบเพื่อปลูกผักนำมาทำอาหาร ซึ่งเด็กทุกคนจะแยกกันอยู่ตามหมู่บ้านของตนเอง ในปอเนาะจะมี 8-9 หมู่บ้าน จะต้องมีแปลงเกษตรของตัวเอง”
@@ แปรงสีฟันธรรมชาติ - ก่อนละหมาดชำระร่างกาย

บาบอดิง ยอมรับว่า แม้เรื่องโภชนาการ ปอเนาะแห่งนี้อาจจะยังไม่ประสบผลสำเร็จมากนัก แต่ก็ไม่ได้ละความพยายาม เราส่งเสริมเรื่องของการออกกำลังกาย มีพื้นที่สำหรับออกกำลังกาย ทุกคนจะต้องออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 1 ชั่วโมง รวมถึงมีการสอนให้เด็กทุกคนแปรงฟันสม่ำเสมอ สอดคล้องกับการการชำระล้างร่างกายก่อนการละหมาดตามหลักอิสลาม
โดยเฉพาะการใช้ไม้ซิว๊าก หรือ ไม้มิสวาก (Miswak) ที่เรียกว่า “แปรงสีฟันธรรมชาติ” ถูกนำมาใช้ในการทำความสะอาดฟันเช่นเดียวกับการแปรงสีฟันที่ขายตามท้องตลาด แต่ด้วยข้อจำกัดเรื่องทุนทรัพย์และการอยู่ห่างไกลจากร้านค้า ทำให้ต้องใช้ “ไม้ซิว๊าก” แทน
วิธีใช้ ต้องบอกว่าถี่และเข้มงวดกว่าแปรงสีฟันยอดนิยม กล่าวคือ แปรงฟันก่อนการละหมาด 5 ครั้งต่อวัน ซึ่งไม้ชนิดนี้มีสรรพคุณช่วยดูแลปากและช่องฟัน ต้านแบคทีเรีย มีสารซิลิก้าช่วยให้ฟันขาว ลดการเกิดคราบหินปูน
แต่ทำขนาดนี้ยังแทบเอาไม่อยู่...
@@ เครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน ออกโรงรณรงค์
เครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวานจังหวัดปัตตานี โดยสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดปัตตานี เป็นอีกหนึ่งหน่วยงานที่เข้ามามีบทบาทสำคัญในการช่วยดูแลตามโครงการขับเคลื่อนลดบริโภคน้ำตาลและส่งเสริมการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาวะ ภายใต้เครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน ซึ่งได้รับทุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
โครงการนี้ขับเคลื่อนงานร่วมกับภาคีเครือข่ายในพื้นที่ อย่างเช่น องค์การบริหารส่วนจังหวัดปัตตานี มหาวิทยาลัยฟาฏอนี โรงพยาบาลยะรัง และ รพ.สต.เขาตูม เป็นต้น
@@ สร้าง Health Literacy ในโรงเรียนสอนศาสนา

นพ.มูหาหมัดอาลี กระโด ผู้ช่วยนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดปัตตานี ผู้ซึ่งมีบทบาทในแวดวงสาธารณสุขในพื้นที่ อ.ยะรัง มายาวนาน เล่าว่า ปี 2568 โครงการขับเคลื่อนลดบริโภคน้ำตาลฯ ได้เลือกสถาบันปอเนาะเป็นพื้นที่เป้าหมาย
“ปีแรกมีแค่สถาบันปอเนาะศูนย์ศึกษาศาสน์วิทยาเพียงแห่งเดียวที่เข้าร่วมโครงการ คาดว่าในปี 2569 จะมีขยายผลไปยังสถาบันปอเนาะอีก 5 แห่ง เช่น โรงเรียนเอกชนสอนศาสนา โรงเรียนแสงธรรมศึกษาปัตตานี เพราะเรามองเห็นว่านักศึกษาปอเนาะมีวิถีชีวิตที่เสี่ยงต่อการเกิดโรค NDCs เช่น ปริมาณการรบริโภคน้ำตาลที่สูงมากต่อวัน, พฤติกรรมการกินดึก นอนดึก ที่สำคัญเด็กปอเนาะไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายของหน่วยงานรัฐ จึงทำให้การดูแลสุขภาพยังน้อย”
“ทางเครือข่ายโดย รพ.สต. จึงได้เข้าไปให้ความรู้การบริโภคอย่างไรให้ดีต่อสุขภาพ อย่างเช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เมื่อเลี่ยงไม่ได้ ก็แนะนำว่าทานอย่างไรให้ปลอดภัย อาจจะเว้นทานบางในบางวัน หรือต้องใส่ผักหรือเนื้อสัตว์เข้าไปบ้าง เพื่อให้ได้คุณค่าทางโภชนาการ”
หมอมูหาหมัดอาลี เล่าต่อว่า ได้เข้าไปสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพ หรือ Health Literacyในโรงเรียนสอนศาสนา วัตถุประสงค์เพื่อสร้างความตระหนักในการลดหวานตามหลักศาสนาอิสลาม ปรับสภาพแวดล้อมในโรงเรียน เช่น ชานม ก็ให้ลดความหวานลง เพื่อให้บริโภคน้ำตาลไม่เกิน 6 ช้อนชาต่อวัน รวมถึงการมุ่งเน้นเรื่องอาหาร การออกกำลังกาย
“เมื่อดำเนินโครงการมาได้ระยะหนึ่ง จากการประเมินก็พบว่านักเรียนส่วนใหญ่ตระหนักเรื่องสุขภาพมากขึ้น ลดความหวานลง สุขภาพและน้ำหนักตัวตามเกณฑ์ดีขึ้น แต่ก็พบว่า ยังมีอีก 4 รายที่มีภาวะโรคเบาหวาน ที่ต้องรับประทานยาจาก รพ.สต.”
@@ ไม่ใช่แค่เฉพาะหน้า แต่วางแผนระยะยาว

นักศึกษาปอเนาะส่วนมากที่จบการศึกษาแล้ว มักจะออกไปมีบทบาทหรือหน้าที่การเป็นผู้นำทางด้านศาสนาในชุมชน ซึ่งเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวานฯ มองเห็นจุดแข็งตรงส่วนนี้ จึงสร้างองค์ความรู้ให้เด็กปอเนาะ เมื่อจบออกมาจะได้ช่วยกันดูแลสังคมบ้านตัวเองในระยะยาว
“การที่เราส่งเสริมให้เขามีความรอบรู้เรื่องสุขภาพที่ถูกต้อง ในอนาคตเขาจะสามารถเผยแพร่ความรู้ด้านสุขภาพให้คนในชุมชนได้เป็นอย่างดี”ผู้ช่วยนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดปัตตานี กล่าว
@@ ชุมชนไร้สุขภาวะ แค่ฮาลาลยังไม่พอ
ส่วนความคาดหวัง และผลลัพธ์ที่ได้จากโครงการ แน่นอนว่าหนีไม่พ้นการทำให้ผู้คนในชุมชนมีสุขภาพดี ซึ่งจะส่งผลทางอ้อมต่อการประหยัดงบประมาณในการรักษาอาการป่วย โดยเฉพาะโรค NCDs
ด้วยเหตุนี้โครงการจึงได้รับความร่วมมือจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอย่างแข็งขัน
เศรษฐ์ อัลยุฟรี นายก อบจ.ปัตตานี บอกว่า เรื่องอาหารถูกหลักโภชนาการ และการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ในสถาบันปอเนาะ เป็นเรื่องที่ท้องถิ่นเราพยายามผลักดัน ไม่ใช่คิดเพียงแค่เป็นฮาลาลอย่างเดียว
แต่ความเป็นโรงเรียนเอกชนสอนศาสนา ซึ่งมีอิสระในการบริหารจัดการ และมีเรื่องวิถีชีวิตของคนพื้นถิ่นแทรกเข้ามา ทำให้องค์กรปกครองไม่สามารถเข้าไปก้าวก่ายได้เลย
เรื่องนี้ นายกเศรษฐ์ เสนอจากประสบการณ์ว่า ต้องพูดคุยกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน หรือ สช. เพื่อกำหนดให้เรื่องอาหารกลางวันเป็นหลักสูตรของจังหวัดให้ได้
@@ หนุนท้องถิ่นจัดงบฯ แจกแปรง - ตรวจสุขภาพช่องปาก

ทั้งหมดที่กล่าวมา ทำให้เห็นว่าการขับเคลื่อนการลดบริโภคน้ำตาลและส่งเสริมการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาวะตามวิถีอิสลาม ถือเป็นโจทย์ที่ท้าทายของ “เครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน”
แต่เรื่องการบริโภคอาหารในสถาบันปอเนาะ จำเป็นต้องเข้าใจบริบทด้วยว่าเด็กค่อนข้างยากจน ได้เงินวันละ 20 บาท อีกทั้งยังต้องทำอาหารกินเอง ประกอบกับความไม่รอบรู้เรื่องอาหารตามหลักโภชนาการ เด็กจึงคิดถึงแต่สิ่งที่ง่ายๆ เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ซึ่งถ้ากินเป็นประจำก็จะเป็นผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาว
หรืออย่างการกินเค็มโดยไม่รู้ตัวอย่างต่อเนื่อง ก็จะส่งผลให้เกิดโรค NCDs หรือ การกินหวานมากเกินไป ก็จะเป็นโรคอ้วนและฟันผุตามมา
ฉะนั้นการส่งเสริมการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาวะจึงเป็นอีกช่องว่างที่เครือข่ายจะได้มีการพัฒนาหรือส่งเสริมให้มีการปลูกผักในสถาบันปอเนาะเพิ่มขึ้น เพื่อให้เด็กๆ ได้ทานผักมากขึ้น ส่วนนี้เป็นการสร้างสภาพแวดล้อมภายในโรงเรียนเพื่อสร้างสุขภาวะได้อีกทางหนึ่ง
ทันตแพทย์หญิง ปิยะดา ประเสริฐสม ผู้จัดการเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน สนับสนุนแนวคิดให้มีการตรวจสุขภาพช่องปากประจำปีแก้เด็กปอเนาะ เพื่อบันทึกข้อมูล เวลาเด็กไปที่ รพ.สต. หรือเวลากลับบ้านแล้วแวะไปยังสถานพยาบาลใกล้บ้าน จะได้มีข้อมูลให้กับเจ้าหน้าที่ ซึ่งจะช่วยลดปัญหาสุขภาพช่องปากลงไปได้มาก
“อีกจุดที่สำคัญ ที่อยากเสนอให้สถาบันปอเนาะอนุญาตให้ทันตภิบาลได้เข้าไปตรวจสุขภาพช่องปากของเด็กๆ ปีละครั้ง รวมถึงบทบาทขององค์ปกครองท้องถิ่นที่จะต้องเข้าไปสนับสนุน จัดหาชุดแปรงสีฟัน ยาสีฟัน แจกจ่ายให้เด็กในโรงเรียนสอนศาสนาโดยไม่ต้องร้องขอ”
@@ จัดเมนู 20 บาท... อร่อยโดยไม่ขาดหลักโภชนา
“ส่วนเรื่องเด็กทำอาหารกินเอง เข้าใจว่าเด็กหลายคนมีฐานะยากจน ต้องช่วยเหลือตัวเอง แต่การมีหลักสูตรสอนให้เด็กทำอาหารจากวัตถุดิบเท่าที่หาซื้อได้นั้น ทำอย่างไรให้การประกอบอาหารครบคุณค่าทางโภชนาการ เช่น กินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปไม่เป็นไร แต่ขอให้ใส่ผักบ้าง เพื่อให้ได้สารอาหารครบถ้วน หรือจะประสานไปยังนักโภชนาการว่า ในงบประมาณจำกัดที่ 20 บาท สามารถจัดเมนูอะไรได้บ้าง เรื่องนี้ท้องถิ่นช่วยได้ ถ้าร่วมมือกัน”
