ชาวบ้านผวาโรคระบาดใหม่ หลังพบหมูป่าตายปริศนาเกลื่อนป่าอุทยานแห่งชาติเขื่อนบางลาง เตือนระวังการบริโภคเนื้อหมูป่าและอาหารป่าทุกชนิด ด้านนักท่องเที่ยวมาเลย์ เผยพบหมูป่าตายเป็นปกติทุกวัน ยอมรับในอดีตเคยมีโรคระบาดหมูป่า แต่ปัจจุบันยังไม่มีการแจ้งจากทางการ แต่เจ้าหน้าที่อุทยานฯแจ้งข้อมูลหมูป่าตายเพียบฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน สัตวแพทย์กรมอุทยานฯ ระบุเข้าข่ายโรคระบาด ต้องเก็บซากตรวจยืนยันผล
วันศุกร์ที่ 6 ม.ค.66 เจ้าหน้าที่หน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติบางลางที่ บ.ล.1 (บ้านวังไทร) ได้ร่วมกับชาวบ้าน เดินทางเข้าไปบริเวณต้นนํ้าคลองวังไทร ท้องที่ หมู่ 2 ต.แม่หวาด อ.ธารโต จ.ยะลา หลังมีผู้พบเจอซากหมูป่าตายบนภูเขาอย่างไม่ทราบสาเหตุ
จากการตรวจสอบ เจ้าหน้าที่พบซากหมูป่านอนตายเกลื่อนเพิ่มอีก 3 ตัว รวมกับที่ชาวบ้านมาแจ้งเป็น 10 ตัว จึงได้ตัดสินใจกําจัดซาก ด้วยการจุดไฟเผา เพื่อไม่ให้เชื้อโรคแพร่กระจายไปยังหมูป่าตัวอื่นๆ รวมทั้งสัตว์ป่าอื่นๆ
ต่อมามีข้อมูลจากการประสานของเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติว่า ได้เกิดโรคระบาดในหมูป่าในฝั่งประเทศมาเลเซีย โดยไม่ทราบสาเหตุและสายพันธุ์ของเชื้อโรค ทำให้หมูป่าตายจำนวนมาก ส่วนฝั่งประเทศไทย ซึ่งเป็นป่ารอยต่อกับประเทศมาเลเซีย ก็พบหมูป่าตายในพื้นที่บ้านวังไทร ต.แม่หวาด อ.ธารโต จึงแจ้งประชาชนที่นิยมบริโภคอาหารป่า โดยเฉพาะหมูป่า ควรระมัดระวังในการบริโภคเนื้อหมูป่าในระยะนี้
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ยังไม่อาจระบุได้ว่า การระบาดของโรคในหมูป่าแพร่ไปถึงพื้นที่ใดบ้าง นอกจากในพื้นที่ อ.เบตง และ อ.ธารโต จ.ยะลา จึงแจ้งมาเพื่อเป็นการป้องกันในการบริโภคเนื้อสัตว์ป่าในระยะนี้
ส่วนที่ด่านพรมแดนเบตง อ.เบตง จ.ยะลา เจ้าหน้าที่ด่านกักกันสัตว์นราธิวาส สาขาเบตง พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองเบตง ตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) และทหาร ได้ตั้งด่านตรวจรถยนต์ รถจักรยานยนต์ทุกคันที่ผ่านเข้าออกอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันการลักลอบนำสิ่งผิดกฎหมายทุกชนิดเข้ามาในประเทศ รวมถึงซากสัตว์อย่างหมูป่า เนื้อและซากสัตว์อื่นๆ หลังจากในไลน์กลุ่มประชาชนในพื้นที่ อ.เบตง และสื่อโซเชียลมีเดีย ได้มีการแชร์ข้อความและภาพขณะเจ้าหน้าที่อุทยานฯ พบซากหมูป่าตายปริศนา และได้เผาทำลายซากหมูป่า
เจ้าหน้าที่ด่านพรมแดนเบตงรายหนึ่ง เปิดเผยว่า ขณะนี้ยังไม่ได้รับแจ้งเกี่ยวกับเรื่องโรคระบาดในหมูป่า และยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับโรคระบาดในหมูป่าของประเทศมาเลเซีย เห็นแต่ที่มีการแชร์กันในกลุ่มไลน์และสื่อโซเชียลฯ ซึ่งปกติเจ้าหน้าที่ก็ตั้งด่านตรวจสิ่งผิดกฎหมายกันทุกวันอยู่แล้ว
“ส่วนหมูป่าก็เป็นสิ่งผิดกฎหมายที่ไม่สามารถนำเข้ามาได้ แต่หลังจากที่มีการแชร์กันมากในกลุ่มไลน์และสื่อโซเชียลฯ ทำให้ทางเจ้าหน้าที่ได้เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบ เพื่อเป็นการป้องกันไว้ก่อน หากเป็นเรื่องจริง การระบาดจะได้ไม่ขยายเป็นวงกว้าง” เจ้าหน้าที่รายนี้ กล่าว
ด้านนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซียรายหนึ่งที่กำลังเดินทางข้ามด่านพรมแดนเบตงเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย ให้ข้อมูลเกี่ยวกับข่าวโรคระบาดหมูป่าในมาเลเซียว่า การตายของหมูป่าในมาเลเซียมีเกิดขึ้นทุกวัน มีทั้งที่รถชน โดนคนทำร้าย ก่อนที่ตนจะเดินทางเข้ามาถึง อ.เบตง ขณะขับรถอยู่ก็ยังเห็นหมูป่าตายอยู่ข้างทาง แต่ไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงเช่นกัน
“กรณีการเกิดโรคระบาดในหมูป่าที่ประเทศมาเลเซีย มันเคยเกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว แต่ปัจจุบันยังไม่มีการแจ้งจากทางการให้ประชาชนรับทราบว่ามีโรคระบาดเกิดขึ้นในหมูป่าอีกครั้ง” นักท่องเที่ยวชาวมาเลเซีย ระบุ
@@ เข้าข่ายโรคระบาด ต้องเก็บซากตรวจยืนยันผล
นายสัตวแพทย์ภัทรพล มณีอ่อน หัวหน้ากลุ่มงานจัดการสุขภาพสัตว์ป่า สำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยว่า ได้รับรายงานจากอุทยานแห่งชาติบางลางว่า พบหมูป่าตายหลายตัวบริเวณป่าต้นน้ำคลองวังไทร ประกอบกับการประสานข้อมูลจากประเทศเพื่อนบ้านว่า พบเกิดโรคระบาดในหมูป่าจำนวนมาก ซึ่งเป็นการตายในลักษณะเดียวกันเกิน 2 ตัวขึ้นไปเข้าข่ายการเกิดโรคระบาด ส่วนจะเป็นโรคอะไรนั้นต้องเก็บตัวอย่างซากมาตรวจในห้องปฏิบัติการและรอผลเพื่อยืนยันความชัดเจน ซึ่งได้ประสานไปยังพื้นที่ต่างๆ ให้เฝ้าระวังอย่างเต็มที่แล้ว
ทั้งนี้เมื่อสัตวแพทย์กรมอุทยานสงสัยว่า อาจเกิดการระบาดของโรคติดต่อได้ดำเนินการตามบันทึกสั่งการกรมอุทยานฯ ด่วนที่สุด ที่ ทส. 0909.11/303 วันที่18 ม.ค.2565 เรื่อง ขอให้เข้มงวดในการเฝ้าระวังอาการป่วย / ตายผิดปกติของหมูป่าเพื่อเฝ้าระวังโรคติดต่อในหมูป่าโดยได้ดำเนินการ ดังนี้
1.เก็บตัวอย่างซากเพื่อส่งตรวจวินิจฉัยทางห้องปฏิบัติการ
2.สังเกตอาการป่วย/ตายเพิ่มของหมูป่าในพื้นที่
3.ห้ามไม่ให้มีการนำสัตว์เลี้ยงเข้ามาในพื้นที่ป่าอนุรักษ์
4.ประชาสัมพันธ์และขอความร่วมมือประชาชนในพื้นที่ร่วมเฝ้าระวังและแจ้งข่าว
5.เข้มงวดในการนำเนื้อสุกรและหมูป่าเข้ามาในพื้นที่
6.ขอให้เข้มงวดในการกำจัดเศษอาหารในพื้นที่
โดยจะดำเนินการประสานงานกับสำนักงานปศุสัตว์ กรมการปกครองและประชาชนในพื้นที่เพื่อร่วมเป็นเครือข่ายในการทำงานและเฝ้าระวังโรคต่อไป