
ช่วงที่รัฐบาลกับกองทัพ กำลังฝุ่นตลบเรื่องปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา เพราะชาวบ้านร้านตลาดยังมองว่าการทำงานไม่สอดประสานเป็นเนื้อเดียวกันเสียที
ล่าสุดมีความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับปัญหาชายแดนอีกด้านหนึ่ง คือชายแดนภาคใต้ ซึ่งรัฐบาลแทบไม่มีแอคชั่นอะไรเลยมานานหลายเดือน โดยเฉพาะการไม่ตั้งคณะพูดคุยดับไฟใต้ จนการเดินหน้าจัดการปัญหาอยู่ในภาวะ “ชะงักงัน”
เมื่อ 3 วันก่อน จู่ๆ นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ซึ่งอยู่ในวาระประธานอาเซียน ได้ออกประกาศพร้อมเป็นสื่อกลางในการยุติความขัดแย้งในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย
นายกฯ อันวาร์ พูดเรื่องนี้เมื่อวันอาทิตย์ที่ 10 สิงหาคมที่ผ่านมา ระหว่างการพบปะผู้นำศาสนาและนักเรียนที่โรงเรียนปอเนาะมูลนิธิอิสลามกลันตัน ในรัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย ซึ่งเป็นรัฐทางตอนเหนือ ติดกับสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย
โดยเจ้าตัวได้แสดงจุดยืนพร้อมเป็นสื่อกลางเพื่อไกล่เกลี่ยความขัดแย้งในจังหวัดชายแดนภาคใต้ พร้อมขยายความว่า ยินดีเป็นคนกลางช่วยประสานแก้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลไทยกับขบวนการแบ่งแยกดินแดน “บีอาร์เอ็น” ในพื้นที่ชายแดนใต้ที่ยืดเยื้อมาอย่างยาวนาน แม้จะยอมรับว่าปัญหานี้เป็นปัญหาภายในของประเทศไทย แต่ก็บอกว่ามาเลเซียพร้อมประสานงานกับทุกฝ่ายที่ต้องการหาทางออกอย่างสันติ
อ่านประกอบ : จากดับไฟเขมร ต่อดับไฟใต้ “อันวาร์”สะกิดไทยเร่งเปิดโต๊ะเจรจา?
เป็นที่น่าสังเกตว่า กระบวนการไกล่เกลี่ยตามที่ นายกฯ อันวาร์ กล่าวถึงนั้น โดยนัยน่าจะหมายถึงการเปิดโต๊ะพูดคุยสันติสุข หรือ การพูดคุยสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้นั้นเอง ซึ่งทางรัฐบาลไทยไม่ได้มีการแต่งตั้งคณะพูดคุยฯ ชุดใหม่ขึ้นมา ตั้งแต่สิ้นสุดรัฐบาลของอดีตนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน เมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว
โดยคณะพุดคุยสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ชุดสุดท้าย เป็นชุดที่ 5 มี นายฉัตรชัย บางชวด ซึ่งขณะนั้นเป็นรองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือ สมช. เป็นหัวหน้าคณะพูดคุยสันติสุขฯ ฝ่ายไทย และมี นายอานัส อับดุลเราะห์มาน เป็นหัวหน้าคณะพูดคุยสันติสุขฯ ฝ่ายบีอาร์เอ็น โดยมี พล.อ.ตันศรี ซุลกิฟลี ไซนัล อะบิดิน อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุดของมาเลเซีย มาทำหน้าที่ผู้อำนวยความสะดวก หรือ Facilitator
แต่ในกระบวนการพูดคุยสันติสุขฯ ครั้งนั้น เกิดปัญหาจากการที่บางฝ่ายในประเทศไทย โดยเฉพาะกูรู นักวิชาการ และผู้นำทางความคิด ไม่เห็นด้วยกับประเด็นที่คณะพูดคุยฯ นำโดยนายฉัตรชัย ไปยอมรับเอกสาร JCPP (Joint Comprehensive Plan Towards Peace) หรือ แผนปฏิบัติการสร้างสันติสุขแบบองค์รวม ตามความต้องการของบีอาร์เอ็น เพราะถูกมองว่า ไทยเป็นฝ่ายเสียเปรียบ จนถูกคัดค้านจากหลายฝ่าย
สุดท้ายกระบวนการพูดคุยสันติสุขฯ ต้องหยุดชะงักไป ในขณะเดียวกันได้มีการเปลี่ยนรัฐบาลเศรษฐา เมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว แม้พรรคเพื่อไทยจะตั้งรัฐบาลชุดต่อมา โดยมี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ก็ไม่ได้มีการตั้งคณะพูดคุยสันติสุขฯ ชุดใหม่ขึ้นมาแต่อย่างใด
@@ เปิดชื่อ “คณะพูดคุยดับไฟใต้ชุดใหญ่” - “บิ๊กชิน” ร่วมแจม
ล่าสุดจากการกระตุกของนายกฯ อันวาร์ ทำให้รัฐบาลไทยเตรียมตั้งคณะพูดคุยฯชุดใหม่ขึ้นมาทันที โดยมี พลเอกนิพัทธ์ ทองเล็ก ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และอดีตปลัดกระทรวงกลาโหม ซึ่งเป็นร่วมในคณะพูดคุยชุดแรก เมื่อปี 2556 ในรัฐบาล นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นหัวหน้าคณะ
โดยมีคณะพูดคุย ประกอบด้วย
นายสุวัฒน์ จิราพันธุ์ อดีตรองปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งเป็นมุสลิม
ศาสตราจารย์วุฒิสาร ตันไชย อดีตเลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า
พลเอกชินวัฒน์ แม้นเดช อดีตรองแม่ทัพภาคที่ 4 และประธานที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของรองนายกฯ ภูมิธรรม
นางสมใจ ชูชาติ ผู้ใหญ่บ้าน บ้านนอก อำเภอปะนาเระ จังหวัดปัตตานี
นอกจากนั้นยังสามารถตั้งผู้แทนจากหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง กับข้าราชการสภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือ สมช. ร่วมเป็นคณะทำงานได้ด้วย
สำหรับ พลเอกนิพัทธ์ ช่วงนี้เดินทางไปร่วมงานครบรอบ 20 ปี “สันติภาพอาเจะห์” ที่นครจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย โดย พลเอกนิพัทธ์ หรือ “บิ๊กแป๊ะ” ได้รับเชิญไปเป็นวิทยากร เพราะเคยมีบทบาทในการร่วมสังเกตการณ์กระบวนการหยุดยิงและวางอาวุธในกระบวนการสันติภาพอาเจะห์ด้วย
@@ จับตา “อันวาร์” ได้แต้ม “ผู้นำสันติภาพ” - ชิงฐานพรรคปาส

การออกมาให้สัมภาษณ์ส่งสัญญาณของ นายกฯอันวาร์ อิบราฮิม ได้รับการคาดหมายว่า นอกจากจะเป็นการกระตุ้นเตือนรัฐบาลไทยให้เร่งตั้งคณะพูดคุยดับไฟใต้โดยเร็ว เพราะฝ่ายอื่นๆ พร้อมกันหมด รวมทั้งมาเลเซียในฐานะ “คนกลาง” หรือ “ผู้อำนวยความสะดวก” แล้ว
ก็น่าจะยังมีเหตุผลเรื่องการสานต่อความสำเร็จในบทบาท “ผู้นำสันติภาพระดับภูมิภาค” หลังจากที่นายกฯอันวาร์ และมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน เพิ่งประสบความสำเร็จในการจัดประชุมและทำความตกลง “หยุดยิง” ระหว่างไทยกับกัมพูชา ที่มีปัญหาสู้รบกันตามแนวชายแดน เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม และวันที่ 7 สิงหาคมที่ผ่านมา
นอกจากนั้น นายกฯอันวาร์ และพรรคของเขายังน่าจะได้ประโยชน์จากคะแนนเสียงเลือกตั้งในรัฐกลันตัน และรัฐทางภาคเหนือ 4 รัฐ ซึ่งเป็นเขตอิทธิพล และฐานเสียงหนาแน่นของ “พรรคปาส” โดยหากผลักดันสันติภาพชายแดนใต้ของไทยได้สำเร็จ อาจทำให้ นายกฯอันวาร์ ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในพื้นที่นี้
