
ความพยายามแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินของประชาชนทับซ้อนกับเขตป่าสงวนและอุทยานแห่งชาติในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ มีมาอย่างเนิ่นนาน
ฝ่ายความมั่นคงเชื่อว่า ปัญหานี้เป็นหนึ่งในหลายๆ ปัญหาที่สะท้อน “ความอยุติธรรมที่จับต้องได้และเผชิญอยู่” ของคนในพื้นที่ จนเกิดเป็นแรงขับดันหนึ่งในการรวมกลุ่มต่อต้านรัฐ และบางส่วนก็จับปืน ใช้ความรุนแรง
โดยเฉพาะอุทยานแห่งชาติเทือกเขาบูโด-สุไหงปาดี ซึ่งครอบคลุมพื้นที่หลายอำเภอ แต่ถูกร้องเรียนว่าประกาศทับที่ดินทำกิน และสถานที่สำคัญทางศาสนาพุทธและอิสลาม ซึ่งตั้งมาก่อนเป็นร้อยปี ต้นไม้ในสวนของชาวบ้านบางต้น อายุมากกว่าเขตอุทยานแห่งชาติหลายเท่า
แต่สุดท้ายพวกเขากลับไร้กรรมสิทธิ์ บางรายถูกฟ้องขับไล่ บางรายถูกดำเนินคดี ตกเป็นผู้ต้องหา ทั้งๆ ที่กิน อยู่ อาศัยในที่ดินผืนนี้มาตั้งแต่รุ่นปู่ย่า จนถึงรุ่นพ่อแม่
ขณะที่วัด มัสยิด หรือแม้แต่สุสาน กุโบร์ ก็ยังพลอยต้องเดือดร้อน
รัฐบาลหลายชุดที่ผ่านมาได้เร่งรัด ลงมือลงแรงแก้ไขปัญหานี้ โดยเฉพาะรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ช่วงปี 2551-2554 มีการตั้ง นายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย มาเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงจัดการ ในฐานะที่เป็นนักกฎหมาย เป็นอดีตอัยการ และเป็น สส.สงขลา ผู้มากประสบการณ์
แต่เนื่องจากปัญหามีความซับซ้อน เกี่ยวข้องกับกฎหมายหลายฉบับที่ประกาศออกมาทับๆ กัน ทำให้การแก้ไขและจัดการเป็นไปอย่างยากลำบาก สุดท้ายการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า สลับกับการรัฐประหาร ทำให้นโยบายไม่ต่อเนื่อง และการแก้ไขปัญหาต้องสะดุดหยุดลง
ซ้ำร้าย ปัญหานี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่ยังเกิดซ้ำๆ ในทุกภูมิภาคของประเทศ หลายกรณีเคยตกเป็นข่าวครึกโครมมาแล้วหลายครั้ง เช่น กรณีวังน้ำเขียว, กรณีเขายายเที่ยง เขาใหญ่ หรือแม้กระทั่งอุทยานแห่งชาติทับลาน ฯลฯ
@@ ดันกฎหมาย “นิรโทษ-ล้างผิด” หวังปิดจบปัญหา

ล่าสุดมีความพยายามจากพรรคการเมืองที่มี สส.มากที่สุดในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ จับมือกับพรรคการเมืองที่มี สส.มากเป็นอันดับ 1 ของประเทศในปัจจุบัน ร่วมกันผลักดัน ร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ราษฎร ซึ่งได้รับความเสียหายหรือได้รับผลกระทบจากการดำเนินการตามนโยบายของรัฐด้านที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติ พ.ศ. ... ขึ้นมาเพื่อ “ตัดจบปัญหา” ด้วยการนิรโทษกรรม และล้างมลทินให้กับพี่น้องประชาชนที่ต้องกลายเป็น “คนผิด” เพราะความผิดพลาดบกพร่อง หรือความไร้ผลในทางปฏิบ้ติของนโยบายรัฐตลอดหลายสิบปีที่ผ่าน มา
อย่างเช่นรัฐบาลบางชุดเห็นว่า ประชาชนตาดำๆ ประสบปัญหา ก็ออกมติ ครม.ให้งดการดำเนินคดีประชาชน แล้วเร่งพิสูจน์สิทธิ์ แต่กระบวนการพิสูจน์สิทธิ์ก็เนิ่นช้าหลายสิบปี สุดท้ายประชาชนก็ลำบากไม่ต่างจากเดิม หรือบางกรณีมีคดีขึ้นสู่ศาล ปรากฏว่าศาลไม่ให้น้ำหนักกับ “มติ ครม.” เพราะมีศักดิ์ต่ำกว่ากฎหมายเกี่ยวกับป่าไม้ที่บังคับใช้ เพราะเป็น “พระราชบัญญัติ” เหล่านี้เป็นต้น
การผลักดันร่างกฎหมายเพื่อนิรโทษกรรมและล้างมลทินให้กับราษฎรและพี่น้องประชาชนเพื่อให้หลุดพ้นจากวงจรปัญหาที่ดิน จำนวนหลายหมื่นหลายแสนคน จึงเป็นหมุดหมายสำคัญเพื่อแก้ไขปัญหาที่เรียกกันติดปากในระยะหลังว่า “ป่าทับคน”
หมายถึงกรณีที่รัฐประกาศเขตป่า และเขตอุทยานแห่งชาติ ทับที่ดินทำกินของประชาชน กลายเป็น “ปัญหาทับซ้อน” และประชาชนไม่มีทางสู้ชนะรัฐได้เลย แม้หลายๆ กรณี รัฐจะเป็นฝ่ายผิดก็ตาม
ร่างกฎหมายฉบับนี้ผ่านวาระแรก คือ “วาระรับหลักการ” ของสภาผู้แทนราษฎรมาแล้ว ปัจจุบันอยู่ในวาระที่สอง หรือชั้น “กรรมาธิการ” มี พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง สส.แบบบัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคประชาชาติ เป็นประธานกรรมาธิการฯ (กมธ.) และมี สส.จากพรรคประชาชน เป็นรองประธานฯ
กมธ.ชุดนี้ ที่เรียกกันว่า “กมธ.นิรโทษ ป่าทับคน” ที่ผ่านมาได้เดินทางลงพื้นที่ที่มีปัญหา “ป่าทับคน” ทั่วประเทศ เช่น อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา, อ.เมืองภูเก็ต จ.ภูเก็ต และล่าสุดได้ลงพื้นที่พิพาทสำคัญ คือ จ.นราธิวาส
@@ เปิดเวที อบจ.นราฯ รับฟัง “พหุปัญหา” เผชิญ 3 ประเด็นทับซ้อน

“กมธ.นิรโทษ ป่าทับคน” ที่นำโดย พ.ต.อ.ทวี ลงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ระหว่างวันที่ 5 และ 6 ธ.ค.68 เป็นจังหวัดสุดท้ายของการเก็บข้อมูลอย่างเข้มข้น เพราะพื้นที่แห่งนี้เผชิญกับ “พหุปัญหา” ด้านที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติที่ซับซ้อน และต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน
ได้แก่ ประเด็นที่ดินทำกินของประชาชนกลับกลายเป็นที่ดินของรัฐ, การประกาศเขตอุทยานฯ และเขตป่าสงวนแห่งชาติทับซ้อนกับที่ดินของชาวบ้าน และปัญหาภัยพิบัติที่เกิดซ้ำๆ เป็นประจำทุกปี
กมธ.ได้จัดเวทีรับฟังความคิดเห็น ณ องค์การบริหารส่วนจังหวัดนราธิวาส (อบจ.) โดยมี นายกูเซ็ง ยาวอหะซัน นายก อบจ. และ นายวิชาญ ชัยเศรษฐสัมพันธ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัด เข้าร่วม เพื่อรับฟังปัญหาจากประชาชนผู้ได้รับผลกระทบโดยตรง
@@ แฉ “ป่าทิพย์” 2 แสนไร่ เหตุหลักคิดกรมป่าไม้ ที่ดินไร้เอกสารสิทธิ์คือป่า!

พ.ต.อ.ทวี เปิดเผยถึงความคืบหน้าของร่าง พ.ร.บ. นิรโทษป่าทับคน ว่า เหลือเพียงการลงมติในวาระสอง วันที่ 10 และ 11 ธ.ค.นี้ กมธ.มั่นใจว่ากลไปของกฎหมายจะสามารถครอบคลุมปัญหาความขัดแย้งและข้อพิพาทระหว่างประชาชนกับรัฐที่เกิดขึ้นแล้วได้ถึง 99%
นอกจากนี้ ในร่างกฎหมายยังได้บรรจุมาตรการคุ้มครองเพื่อให้ประชาชนที่ได้รับการนิรโทษกรรม สามารถ พิสูจน์สิทธิ์ในที่ดินเดิมได้ และจะมีการขอให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมอย่างจริงจัง เพื่อให้กฎหมายนี้ครอบคลุมไปถึงเหตุการณ์ความขัดแย้งที่จะเกิดขึ้นใหม่ในอนาคตด้วย
“ปัญหาเร่งด่วนที่สุดในนราธิวาสคือ พหุปัญหา เพราะประชาชนห่วงใยการประกาศพื้นที่อุทยานตามมาในภายหลัง เช่น อุทยานแห่งชาติซีโป เนื่องจากพวกเขาโต้แย้งว่าที่ดินดั้งเดิมของตนไม่เคยมีสถานะเป็นป่าสงวนหรืออุทยานมาก่อน และมั่นใจว่าเป็นที่ดินทำกินของตน ปัญหาเกิดจากกรมป่าไม้มีแนวคิดว่าที่ดินที่ยังไม่มีเอกสารสิทธิ์ต้องถือว่าเป็นป่าทั้งหมด”
“เราพบที่ดินของรัฐที่ถูกประกาศเป็นป่า แต่ไม่มีป่าจริงถึงกว่า 200,000 ไร่ ซึ่งประชาชนได้เข้าไปอยู่อาศัยและเข้าใจว่าตนมีสิทธิ์”
@@ พหุปัญหาลาม “ภัยพิบัติซ้ำซาก”

พ.ต.อ.ทวี กล่าวอีกว่า นราธิวาสยังเผชิญปัญหาใหญ่ที่รัฐบาลต้องเร่งแก้ไข นอกเหนือจากความขัดแย้งเรื่องที่ดิน ก็ปัญหาอุทกภัย เพราะกระทบประชาชนเกือบแสนคน รวมถึงปัญหาภัยแล้ง นอกจากนั้นการพัฒนาคุณภาพชีวิต การศึกษา และการพัฒนาคน ก็เป็นเรื่องเร่งด่วนและสำคัญไม่แพ้กัน
“อดีตเป็นบทเรียน แต่ปัจจุบันและอนาคตคือความรับผิดชอบที่ต้องสร้างมรดกที่ดีให้ลูกหลาน รัฐบาลจำเป็นต้องพัฒนาให้ดีกว่ามาเลเซีย เพื่อแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำและสร้างความภูมิใจในความเป็นเจ้าของประเทศ”
@@ ชาวบ้านจะสุขได้อย่างไร เหตุวัดใหญ่-พระดัง ยังโดนป่าทับ!

การลงพื้นที่รอบนี้ พ.ต.อ.ทวี และคณะ กมธ. ยังได้ไปเปิดเวทีที่วัดประชุมชลธารา ต.สุไหงปาดี ต.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส และได้กราบนมัสการ “พ่อท่านอ่อน” หรือ พระธรรมวัชรจริยาจารย์ เจ้าอาวาสวัดประชุมชลธารา ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 18 ซึ่งวัดแห่งนี้ก็ได้รับผลกระทบ ถูกประกาศเขตป่าทับซ้อนที่ดินของวัด
พ.ต.อ.ทวี ยกตัวอย่างวัดประชุมชลธารา ซึ่งเป็นศูนย์รวมจิตใจคนไทยพุทธ และรวมถึงพี่น้องอิสลามในพื้นที่ วัดตั้งมานานนับร้อยปี แต่ก็ยังไม่วายเจอปัญหาที่ดินทับซ้อนกับเขตป่า
“หลายพื้นที่มีชุมชนและวัดวาอารามตั้งมาก่อนนับร้อยปี แต่กลับถูกภาครัฐประกาศเขตป่าสงวนหรืออุทยานแห่งชาติทับในภายหลัง ทั้งที่ตามหลักกฎหมาย ก่อนจะมีการประกาศเขตหวงห้าม เจ้าหน้าที่ต้อง 'เดินสำรวจ' ด้วยเท้า เพื่อกันพื้นที่ที่มีประชาชนอาศัยอยู่ออกไป แต่ในอดีตกลับไม่มีการดำเนินการอย่างถูกต้อง ทำให้ประชาชนกลายเป็นผู้บุกรุกในที่ดินของตนเอง”
“การแก้ปัญหาเขตอุทยานแห่งชาติเทือกเขาบูโด-สุไหงปาดี การต่อสู้เพื่อพิสูจน์สิทธิ์ต้องใช้หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจน นั่นคือ 'แผนที่ภาพถ่ายทางอากาศ' ซึ่งถือเป็นนวัตกรรมสำคัญที่เก็บรักษาไว้ที่ GISTDA (สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน)) ประเทศไทยมีการถ่ายภาพทางอากาศครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2495 แต่ในพื้นที่ภาคใต้ตั้งแต่ชุมพรลงมา ไมโครฟิล์มเสียหาย ทำให้ขาดหลักฐานภาพถ่ายทางอากาศในการนำมาซ้อนทับเพื่อพิสูจน์ร่องรอยการทำกิน ร่องรอยสวนยางพาราและบ้านเรือนของชาวบ้านที่มีมาก่อนการประกาศเขตป่า”
จากนั้นที่ประชุมได้เปิดให้ประชาชนลุกขึ้นบอกเล่าปัญหาของตนต่อตัวแทน กมธ. ปรากฏว่ามีคนทุกศาสนาได้รับความเดือดร้อนจากนโยบายของรัฐด้านที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติ ส่วนใหญ่มีหลักฐานการอยู่อาศัยและทำกินมาก่อนเขตป่า แต่ตัดปัญหาเรื่องการพิสูจน์สิทธิ์ ทำให้ต้องสูญเสียสิทธิ์ในที่ดินของตนซึ่งอยู่กันมาหลายชั่วอายุคน
@@ ประกาศ “ยุติธรรมนำหน้า” แก้ปัญหา “ป่าทับคน”

สุดท้าย พ.ต.อ.ทวี สรุปว่า จะใช้กระบวนการยุติธรรมนำหน้า เพื่อพิสูจน์เจตนาบริสุทธิ์ของประชาชนที่อยู่อาศัยและทำกินมาก่อนประกาศเขตป่า พร้อมแก้ไขความผิดพลาดของรัฐที่เกิดขึ้นในอดีตให้จบสิ้นให้ได้
สำหรับ “ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษ ป่าทับคน” ทาง กมธ.จะเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จ เพื่อส่งกลับเข้าบรรจุในระเบียบวาระการประชุมของสภาผู้แทนราษฎร เพื่อลงมติในวาระสาม ก่อนการยุบสภาต่อไป
