
จังหวัดนราธิวาส เป็นจังหวัดที่มีประชากรกว่า 8 แสนคน กำลังกลายเป็นสมรภูมิเลือกตั้งที่ร้อนแรงที่สุดแห่งหนึ่งในพื้นที่ชายแดนภาคใต้
การแบ่งเขตเลือกตั้ง 5 เขต ไม่ใช่แค่การชิงเก้าอี้ สส. แต่คือการวัดบารมีระหว่าง “เครือข่ายอุปถัมภ์ – งบประมาณพัฒนา” กับ “อุดมการณ์อัตลักษณ์มลายู” โดยมีตัวแปรสำคัญคือ กระแสคนรุ่นใหม่ที่ต้องการหลุดพ้นจากวงจรเดิม
เมื่อ “กระสุน” ปะทะ “ศรัทธา” และ “กระแสเปลี่ยน” กลายเป็นโจทย์ท้าทายตระกูลการเมืองเก่าแก่ แต่ในสภาวะเศรษฐกิจซบเซา ทำให้นักสังเกตการณ์ประเมินว่า “กระสุน” อาจเป็นปัจจัยชี้ขาดในโค้งสุดท้าย

เขต 1 นราธิวาส ครอบคลุม อ.เมือง และ อ.ยี่งอ นายวัชระ ยาวอหะซัน แชมป์เก่า เจ้าของพื้นที่เดิมจากตระกูล “ยาวอหะซัน” ซึ่งเป็นตระกูลการเมืองที่ทรงอิทธิพลในนราธิวาส บุตรชายของ กูเซ็ง ยาวอหะซัน นายก อบจ. นราธิวาส มีฐานเสียงจัดตั้งเหนียวแน่นมากในระดับหมู่บ้านและหัวคะแนนท้องถิ่น ปัจจุบันเจ้าตัวได้ย้ายค่ายจาก “พรรครวมไทยสร้างชาติ” มาอยู่ “ภูมิใจไทย” อาจต้องรับมือกับกระแส “พรรคกัญชา” ซึ่งเคยถูกโจมตีอย่างหนักในพื้นที่มุสลิมเมื่อการเลือกตั้งครั้งก่อน
อย่างไรก็ตาม บารมีส่วนตัวและฐานเสียงของ “พ่อกูเซ็ง” ก็ยังคงเป็นเกราะคุ้มกันสำคัญแบบไม่ขาดตอน แม้ทางผู้เป็นพ่ออย่าง “กูเซ็ง” นอนยันว่า อยู่ข้างพรรคประชาชาติ ซึ่งมีการส่ง นายอับดุลการีม อัสมะแอ เป็นผู้ท้าชิงก็ตาม แน่นอนว่า เขตนี้ “ประชาชาติ” อาจเกรงใจและยอมยกพื้นที่ให้ “เจ้าของตัวจริง”
แต่ก็ยังมีตัวแปรสำคัญอีกคนที่มองข้ามไม่ได้อย่าง นายลุตฟี หะยีอีแต อดีตผู้สมัคร สส.พรรคภูมิใจไทย จากการเลือกตั้งปี 66 ซึ่งมีฐานเสียงในเขตเมืองชัดเจน รวมถึงสายสัมพันธ์เดิมสมัยเป็นนายกเทศมนตรีเมืองนราธิวาส ครั้งนี้ได้ย้ายมาอยู่กับพรรคกล้าธรรม ทำให้มีทรัพยากรในการสู้ศึกพอสมควร สามารถแข่งขันกับแชมป์เก่าเจ้าของพื้นที่เดิมได้ดุเดือดแน่นอน
การดึงคะแนนจากเขตเมืองอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ หากไม่สามารถเจาะฐานเสียงใน อ.ยี่งอได้ ส่วน อามีเน๊าะ อารง ที่คาดว่าจะเป็นตัวแทนพรรคประชาชน ยังเป็นได้แค่กระแสคนรุ่นใหม่ อุดมการณ์

เขต 2 นราธิวาส อ.ตากใบ และ อ.สุไหงโกลก ถือเป็นพื้นที่ “เกรด A” ที่น่าจับตาที่สุดในชายแดนใต้ เพราะเป็นการวัดบารมีระหว่างแชมป์เก่าเจ้าของพื้นที่ อย่าง นายอามินทร์ มะยูโซ๊ะ จากพรรคกล้าธรรม น้องเล็กในพี่น้องตระกูล “มะยูโซ๊ะ” ที่แข็งแกร่งในพื้นที่ ต.มูโนะ และ อ.ตากใบ มีเครือข่ายผู้นำท้องถิ่นที่เหนียวแน่น และมีความพร้อมด้านทรัพยากรหลายทิศทาง แถมยกระดับ “กำลังทรัพย์และอำนาจ” เนื่องจากได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในช่วงรัฐบาลเฉพาะกิจภายใต้การนำของพรรคภูมิใจไทย แต่เขาก็ต้องแบกรับความคาดหวังเรื่องการฟื้นฟูพื้นที่จากเหตุการณ์โกดังพลุระเบิดที่ ต.มูโนะ ซึ่งมีทั้งคนที่พอใจและยังรอความช่วยเหลืออยู่ บวกกับเสียงวิจารณ์ประเด็นยาเสพติดระบาดหนักในพื้นที่ก็มาแรง
ส่วนผู้ท้าชิงคนสำคัญคือ นายรุสดี เชคฮารูณ จากพรรคประชาชาติ ที่มี “วันมูหะมัดนอร์ มะทา” เป็นสัญลักษณ์ บวกกับนโยบายที่เน้นอัตลักษณ์และวิถีมุสลิม มีฐานคะแนนดิบในมือ ถือว่าที่ไม่น้อยหน้า “ตระกูลมะยูโซ๊ะ”
ทั้งยังมีตัวแปรสำคัญจากพรรคภูมิใจไทย ซึ่งมักใช้กลยุทธ์ “ซุ่ม” หากเสียงมาก็พร้อมจะทุ่มทรัพยากรลงมาเต็มสูบ และอีกหนึ่ง นายฮัมรัน เทพลักษณ์ พรรคประชาชน ตัวแทนจากพรรคส้ม จะได้คะแนนกลุ่มคนรุ่นใหม่

เขต 3 นราธิวาส ครอบคลุมพื้นที่ อ.แว้ง อ.เจาะไอร้อง และ อ.สุไหงปาดี นายสัมพันธ์ มะยูโซ๊ะ (อดีต สส.บีลา) พรรคกล้าธรรมแชมป์เก่า อดีต สส.พลังประชารัฐ ปัจจุบันย้ายมาสังกัดพรรคกล้าธรรม มีฐานเสียงที่แน่นหนาจากเครือข่ายผู้นำท้องถิ่นและผู้ประกอบการ เป็น “ที่พึ่ง” ในยามวิกฤตให้ชาวบ้าน โดยเฉพาะช่วงน้ำท่วมที่ผ่านมา การย้ายพรรคไม่ได้ทำให้ฐานเสียงเขาลดลง เพราะคนในพื้นที่เขต 3 เลือก “บีลา” มากกว่าเลือกพรรค เขาคือตัวเต็งอันดับ 1 ที่ทุกคนต้องการล้มให้ได้ แต่ที่ผ่านมา “ล้มไม่ได้”
ส่วนผู้ท้าชิงจากพรรคขวัญใจคนมลายูมุสลิม นายสูเด็ง ตอเฮ พรรคประชาชาติ มีฐานเสียงด้านอัตลักษณ์ และการศึกษาปอเนาะ นายสูเด็งได้เปรียบเรื่อง “แบรนด์พรรค” และการสนับสนุนจากแกนนำอย่าง วันมูหะมัดนอร์ มะทา รวมทั้งกลุ่มต้านสีเทา
ขณะที่คู่แข่งสำคัญอีกคนอย่าง นายแวรุสลัน มะสาและ พรรคภูมิใจไทย มีฐานคะแนนดิบส่วนตัว และมีประสบการณ์การเมืองระดับหนึ่ง ประกอบกับการสังกัดภูมิใจไทยทำให้มีทรัพยากรในการหาเสียงเต็มที่
ส่วนผู้สมัครจากพรรคประชาชน เน้นกระแสเปลี่ยน และผู้ที่เบื่อหน่ายการเมืองแบบเดิม จำพวกเครือข่ายอุปถัมภ์ แต่กระแสจะแรงพอล้ม “กระสุน” และ “บารมี” หรือไม่ ต้องรอลุ้น

เขต 4 นราธิวาส พื้นที่ อ.ระแงะ อ.จะแนะ อ.สุคิริน กำลังกลายเป็นพื้นที่ “สปอตไลท์” ที่น่าจับตาเมื่อ ดร.ซาการียา สะอิ (สัการิยา สะอิ) แชมป์เก่าจากพรรคภูมิใจไทย “กระแสพรรคใหญ่และพลังสีน้ำเงิน” พิสูจน์ให้เห็นแล้วในหลายเขตของภาคใต้ว่า “นโยบายกินได้” และ “งบประมาณพัฒนา” สามารถเปลี่ยนใจคนได้
ดร.ซาการียา มีเครือข่ายหัวคะแนนที่จัดตั้งมาอย่างเป็นระบบ และได้รับการสนับสนุนจากส่วนกลางอย่างเต็มที่ แต่ภาพลักษณ์พรรคภูมิใจไทยในบางประเด็นอย่างเรื่องกัญชา หรือจุดยืนทางการเมืองบางอย่าง อาจจะยังเป็นโจทย์ยากในการทำความเข้าใจกับคนในพื้นที่ที่มีความละเอียดอ่อนสูง
ด้านผู้ท้าชิงคนสำคัญ นายกูเฮง ยาวอหะซัน พรรคประชาชาติ ทายาทบ้านใหญ่ตระกูล “ยาวอหะซัน” ที่มีฐานเสียงแน่นหนาในนราธิวาส โดยเฉพาะฐานเสียงดั้งเดิมใน อ.ระแงะ ประกอบกับการสังกัดพรรคประชาชาติ ที่มี วันมูหะมัดนอร์ มะทา และ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เป็นแม่ทัพ ทำให้เขาได้คะแนนนิยมจาก “นโยบายอัตลักษณ์” และการแก้ปัญหาที่ดินทำกิน ความยุติธรรม ซึ่งโดนใจคนในพื้นที่ โดยเฉพาะ “ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมป่าทับคน” ซึ่ง พ.ต.อ.ทวี ขับเคลื่อน ผลักดันอย่างแข็งขัน แต่โดนยุบสภาเสียก่อน
การถูกรุมกินโต๊ะจากพรรคคู่แข่งที่พยายามเจาะฐานเสียงคนรุ่นใหม่และการเมืองแบบเครือญาติที่เริ่มถูกท้าทาย นายกอเซ็ง แซมะซู จากพรรคกล้าธรรม เป็นตัวแปรผู้ถือกระแสท้องถิ่น จากอดีตนายกเทศมนตรีที่มีฐานมวลชนในระดับท้องถิ่นอย่างเหนียวแน่น การย้ายจากพลังประชารัฐมาสังกัดพรรคกล้าธรรม ทำให้เขามีทรัพยากรและกลไกจัดการที่แข็งแกร่ง นายกอเซ็ง ขึ้นชื่อเรื่องการเข้าถึงตัวและทำงานคลุกคลีกับชาวบ้านในเชิงพื้นที่มานาน
ส่วนนายอักบัร เชราลี พรรคประชาชน อาศัยกระแสเปลี่ยนขั้วและพลังสีส้มในกลุ่มคนรุ่นใหม่

เขต 5 นราธิวาส ครอบคลุมพื้นที่ อ.บาเจาะ อ.รือเสาะ อ.ศรีสาคร พรรคประชาชาติ นายกมลศักดิ์ ลีวาเมาะ แชมป์เก่าเป็นเจ้าของพื้นที่เดิม มีฐานเสียงแน่นหนาในกลุ่มผู้นำศาสนาและภาคประชาสังคม เป็นนักกฎหมายที่มีบทบาทโดดเด่นในการอภิปรายเรื่องสิทธิมนุษยชนและกฎหมายความมั่นคงในสภาฯ ซึ่งตรงใจคนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
การรักษาพื้นที่ท่ามกลางกระแสเปลี่ยน และการรุกหนักของพรรคคู่แข่งที่เน้นนโยบายเศรษฐกิจและการดึงงบประมาณลงพื้นที่ อย่างพรรคภูมิใจไทย ที่ส่ง นายมะสะกรี สาและ ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องการวางเครือข่ายระดับท้องถิ่นที่เข้มแข็ง ทั้ง อสม. และผู้นำท้องถิ่น แสดงให้เห็นถึงความพยายามในการเจาะฐานเสียงของพรรคประชาชาติ โดยใช้จุดขายเรื่อง “พูดแล้วทำ” กับการเข้าถึงงบประมาณพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
การเมืองในเขต 5 นราธิวาส ฐานเสียงเชิงอนุรักษ์นิยมและระบบอุปถัมภ์ยังคงมีความสำคัญมาก โจทย์ยากคือการเปลี่ยน “กระแส” ให้เป็น “คะแนน” ในหีบบัตรเลือกตั้งให้ได้จริง และต้องจับตามองว่า กำลังทรัพย์จะชนะปัจจัยอื่นใดในยุคข้าวยากหมากแพงเช่นนี้หรือไม่
สนามนราธิวาสครั้งนี้คือภาพสะท้อนของการเมือง 3 ขั้ว ได้แก่ ขั้วอำนาจและทรัพยากร “กล้าธรรม” บวก “ภูมิใจไทย” เน้นผลงาน งบประมาณ และเครือข่ายอุปถัมภ์ สู้กับขั้วอัตลักษณ์และศรัทธา อย่าง “ประชาชาติ” ที่เน้นจิตวิญญาณมลายูและการเมืองเชิงอุดมการณ์ โดยมีขั้วเปลี่ยนแปลง นำโดย “พรรคประชาชน” ที่เน้นคนรุ่นใหม่ที่อยากหลุดพ้นจากระบบบ้านใหญ่เป็นตัวแปร หรือตัวสอดแทรก
ปัจจัยสำคัญและแรงถ่วงในสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ อาจทำให้ “กระสุนดินดำ” และ “ทรัพยากรการเมือง” เป็นปัจจัยตัดสินที่สำคัญของชาวบ้าน แต่ต้องระวังว่า พื้นที่นี้มักมี “เซอร์ไพรส์” ในช่วงโค้งสุดท้ายเสมอ…
หากรู้สึกว่า “ศักดิ์ศรีหรืออัตลักษณ์ถูกคุกคาม”
