
“เรากำลังจัดองคาพยพ เพราะรู้ปัญหาอยู่พอสมควร คิดว่าคงจะมีการพูดคุยกันในเรื่องความมั่นคงเพื่อให้เข้าใจตรงกัน และจะเดินหน้าทำเต็มที่ อย่างน้อยปีนี้ทุกอย่างต้องเบาบาง หรือนำไปสู่สันติภาพให้ได้”
เป็นคำให้สัมภาษณ์ล่าสุดของอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร ที่ จ.เชียงใหม่ ในวันเสาร์ที่ 26 เม.ย.68 หลังถูกนักข่าวถามถึงปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ว่าจะใช้ความสัมพันธ์ที่มีกับ นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย และประธานอาเซียน ในการแก้ไขปัญหานี้อย่างไร รวมทั้งมีเสียงเรียกร้องให้เร่งเดินหน้าพูดคุยเรื่องสันติสุข
น่าสังเกตว่าอดีตนายกฯตอบเรื่องนี้ เหมือนเป็น “นายกฯตัวจริง” ที่มีอำนาจเต็ม สั่งการได้ทั้งหมด
จากคำสัมภาษณ์ ชัดเจนว่าเป็นการส่งสัญญาณ จะมีการ “เปิดโต๊ะพูดคุยดับไฟใต้รอบใหม่” แน่นอน!

จริงๆ มีข่าววงในรับรู้กันว่า อดีตนายกฯทักษิณ ได้ไปพบแกนนำ BRN มาแล้วที่มาเลเซีย ช่วงที่ได้รับอนุญาตจากศาลให้เดินทางไปช่วงก่อนหน้านี้
โดยแกนนำที่ได้พบมีอย่างน้อย 2 คน คือ นายวาเหะ หะยีอาแซ และ อุสตาซ ฮาซัน ตอยิบ โดยคนหลังเคยเป็นหัวหน้าคณะพูดคุยฝ่ายบีอาร์เอ็น ในรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นโต๊ะพูดคุยที่เปิดขึ้นเมื่อปี 2556 (ฝ่ายไทยนำโดย พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร อดีตเลขาธิการ สมช.)
แต่ผู้รู้บอกว่า คนที่อดีตนายกฯได้พบ ยังไม่ใช่ตัวจริง
และนี่คือเงื่อนแง่สำคัญประการหนึ่งว่า รัฐไทยจะเดินหน้าพูดคุยเจรจาต่อไปหรือไม่ หากคนที่มาร่วมพูดคุยด้วย “ไม่ใช่ตัวจริง”
หนำซ้ำขณะนี้เกิดเหตุรุนแรงระดับ ยิงพระ ฆ่าเณร ระเบิดทำร้ายเด็กนักเรียน ยิงถล่มชาวบ้านไทยพุทธที่ล้อมวงกินข้าว ทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “ทางสองแพร่งไฟใต้” ว่าจะ “เจรจา หรือ ไม่เจรจา?” และหากจะเจรจา ก็ต้องตอบให้ได้ว่า “ใครคือตัวจริง”
@@ ทางสองแพร่ง ต้องเลือกเดิน...

เงื่อนไขของเรื่องนี้ คือ รัฐบาลจะประกาศให้ BRN เป็นกลุ่มก่อการร้ายหรือไม่ เพราะนับวัน BRN ยิ่งมีพฤติการณ์เด่นชัดว่าเข้าข่ายกลุ่มก่อการร้าย ทั้งฆ่าเด็ก ฆ่าพระ/นักบวช โจมตีสถานศึกษา เรียกว่าละเมิดกฎสงครามและหลักการสากลแทบทุกข้อ
ประเด็นคือ ถ้ารัฐบาลไทยประกาศให้ BRN เป็นกลุ่มก่อการร้าย ก็จะเหมือนสหรัฐประกาศให้ “กลุ่มอัล ไกด้า” เป็นผู้ก่อการร้าย หรือ อิสราเอลประกาศให้กลุ่มฮามาส ฮูตี เป็นกลุ่มก่อการร้าย
ทางออกคือบังคับใช้กฎหมายและปราบปรามเท่านั้น โดยจะไม่มีการเจรจา เพราะไม่มีประเทศไหนเจรจากับกลุ่มก่อการร้าย
ความอ่อนไหวที่กังวลกัน จนไม่กล้าประกาศก็คือ อาจถูกต่างชาติแทรกแซง
แต่วันนี้ มีแนวคิดใหม่ ในมุมใหม่ของฝ่ายความมั่นคงบางปีกว่า แนวทางนี้อาจทำให้ไทยได้ประโยชน์ในการกดดันไม่ให้ประเทศเพื่อนบ้านให้ที่พักพิงหลบซ่อนกับกลุ่ม BRN ตามที่รู้ๆ กันอยู่ว่าแกนนำ BRN หลบอยู่ในประเทศใด แต่ไทยกลับทำอะไรไม่ได้เลย

แต่หากรัฐไทยก้าวข้ามเงื่อนไขแรก คือไม่ประกาศให้ BRN เป็นองค์กรก่อการร้าย เพื่อเปิดทางเจรจา ด้วยความเชื่อที่ว่า ทุกความขัดแย้งต้องจบที่โต๊ะเจรจา (เหมือนกับที่หลายฝ่ายเชื่อ และพยายามตอกย้ำซ้ำๆ) ก็จะมีประเด็นที่ต้องพิจารณาคือ เราต้องเจรจากับใคร?
1.ก่อนอื่นต้องเปิดช่องทางพูดคุยเจรจา เพราะสุดท้ายหนีไม่พ้น ซึ่งวันนี้อดีตนายกฯทักษิณส่งสัญญาณแล้ว ฉะนั้นสิ่งที่จะเกิดตามมา ก็คือ จะไม่มีการประกาศให้ BRN เป็นผู้ก่อการร้าย
2.ต้องกลับไปทบทวน “โต๊ะพูดคุยสันติภาพ/สันติสุข” ซึ่งเปิดมาตั้งแต่ปี 2556 แต่กลับไม่มีความคืบหน้าใดๆ เลย เหมือนพายเรือวนในอ่าง
จุดอ่อนของโต๊ะพูดคุยฯ ตลอด12 ปีที่ผ่านมาคือ
- เป็นโต๊ะพูดคุยแบบเปิดเผย เป็นทางการ ทำให้ข้อตกลงที่แท้จริงไม่เกิดขึ้น เพราะแต่ละฝ่ายมุ่งเอาใจมวลชนฝ่ายตน
- BRN ไม่ได้ส่ง “ตัวจริง” มาร่วมโต๊ะพูดคุย เนื่องจากยังเชื่อมั่นว่าฝ่ายตนได้เปรียบ และการดึงเวลา (ให้รัฐไทยคุยกับตัวปลอมไปเรื่อยๆ) จะยิ่งเพิ่มความได้เปรียบให้ BRN เนื่องจากโอกาสที่ต่างชาติจะเข้าแทรกแซงยิ่งมากขึ้น และตัวเองได้เปิดตัวกับชาวโลก ทำความเข้าใจกับนานาชาติว่าเหตุใดจึงต้องต่อสู้
- party ที่เกี่ยวข้องยังไม่ครบถ้วน ไม่สามารถกดดัน BRN ได้
@@ 5 ข้อเสนอ นักวิจัยเยอรมัน VS นักวิชาการไทย

มีข้อเสนอจากทั้ง ดร.ซาช่า เฮลบาร์ต นักวิจัยชาวเยอรมันที่ทำวิจัยเรื่อง BRN กับ ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข นักวิชาการด้านความมั่นคงชื่อดังของไทย
ดร.ซาช่า 1.ทั้งไทยและมาเลเซียใช้กลไกเดิมไม่ได้ โดยเฉพาะ คือ สมช.มาเลย์ หรือ NSC เพราะเข้าไม่ถึงแกนนำ BRN อย่างแท้จริง
ดร.สุรชาติ 1.ฝ่ายไทยใช้กลไกเดิมไม่มีทางสำเร็จ คือ สมช.ไทย มีบทบาททั้งกำหนดยุทธศาสตร์ และกำหนดคณะพูดคุย เพราะไม่เข้าใจสงครามก่อความไม่สงบรูปแบบใหม่ หรือ สงครามนอกแบบ ที่ยึดโยงกับแนวร่วมภายในประเทศ ทั้งองค์กรที่เป็นรัฐและไม่ใช่รัฐ ฉะนั้นการพูดคุยต่อไปภายใต้กลไกเดิม รังแต่จะเสียเปรียบ BRN
ดร.ซาช่า 2.ฝ่ายความมั่นคงไทยต้องคุมพื้นที่ให้ได้ การข่าวต้องแม่น เพื่อกดดัน BRN โดยเฉพาะหยุดลัทธิสุดโต่ง
ดร.สุรชาติ 2.ฝ่ายความมั่นคงไทยต้องปฏิบัติการเชิงรุก สร้างพื้นที่ปลอดภัย และสถาปนาความปลอดภัยให้ได้ จึงจะกดดัน BRN ได้
ดร.ซาช่า 3.ใช้กลไกสันติบาลมาเลย์ (SB) เป็นหลัก เพราะเข้าถึงแกนนำ BRN ตัวจริง
ดร.สุรชาติ 3.ยุทธศาสตร์ฝ่ายการเมืองของไทยต้องชัด ปัจจุบันยังไม่ชัด หรือยังไม่มีด้วยซ้ำ
ดร.ซาช่า 4.อาศัยบทบาท “อันวาร์-ทักษิณ” ซึ่งมีบารมีในภูมิภาค และมีสัมพันธ์อันดีต่อกัน เนื่องจากอดีตนายกฯทักษิณ ได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาของนายกฯอันวาร์ ในหมวกประธานอาเซียน จึงถือเป็น “โอกาสทอง” ในการสร้างความร่วมมือ
ดร.สุรชาติ 4.เห็นสอดคล้องกันเรื่องบทบาท “อันวาร์-ทักษิณ” แต่ต้องเร่งกว่านี้ และมีเนื้อหาสาระที่ชัดเจนกว่านี้ เนื่องจากวาระของประธานอาเซียนจะหมดลงปลายปีนี้แล้ว
ดร.ซาช่า 5.อย่ามองข้าม “พรรคปาส”
ดร.สุรชาติ 5.การดึง “พรรคปาส” เข้ามาร่วมในกระบวนการสันติภาพ มีความจำเป็นอย่างยิ่ง
เพราะ “พรรคปาส” คือ พรรคฝ่ายค้านสำคัญของมาเลเซีย มีอิทธิพลในพื้นที่ของรัฐภาคเหนือของมาเลย์ ที่ติดกับสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย พรรคปาสมีบทบาท และรับรู้ความเคลื่อนไหวของแกนนำ BRN ต้องดึงมามีส่วนร่วมในกระบวนการ
เพราะไทยต้องคุยกับตัวจริง และต้องไม่เสียเปรียบเท่านั้น นี่คือโจทย์ใหญ่ของรัฐบาลไทย
@@ ยุทธศาสตร์ดับไฟใต้ อยู่ตรงไหน?

แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้น จุดที่จะตัดสินใจว่า จะเจรจา หรือไม่เจรจา
สิ่งที่รัฐบาลเพื่อไทยควรตอบให้ได้ก่อน นั่นก็คือ ยุทธศาสตร์ดับไฟใต้ฉบับเพื่อไทย คืออะไร
เพราะ อาจารย์สุรชาติ วิพากษ์ประเด็นนี้เอาไว้อย่างตรงไปตรงมา

“นับจากรัฐบาลเศรษฐา ต่อเนื่องถึงรัฐบาลแพทองธาร ไม่มีความชัดเจนว่านโยบายและ/หรือยุทธศาสตร์ของฝ่ายรัฐไทยในภาคใต้คืออะไร
- ฝ่ายการเมืองที่รับผิดชอบงานความมั่นคงมีคำตอบแต่เพียงว่า “รอการปรับยุทธศาสตร์” จาก สมช. ต้องรออีกนานแค่ไหน?
“เหมือนเป็นการโอนงานในการกำหนดยุทธศาสตร์ที่ฝ่ายการเมืองควรจะมีบทนำ ให้ไปเป็นหน้าที่ของ สมช.แทน จนถูกมองว่า สุดท้ายแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียง ‘ยุทธศาสตร์ราชการ’ ในบริบทแบบ ‘รัฐราชการไทย’ ไม่ต่างยุครัฐบาลทหาร”
แท้ที่จริงแล้ว ยุทธศาสตร์ที่ชัดเจนจะเป็นตัวตอบว่า เราจะเจรจาหรือไม่ ถ้าเจรจา เราจะเจรจากับใคร ด้วยวิธีการใด!
---------------------
ขอบคุณ : กราฟฟิกจากรายการข่าวข้นคนข่าว เนชั่นทีวี
