
นายกฯแพทองธาร ได้ฤกษ์สั่งการแล้ว “แก้ไฟใต้” กำชับทุกกระทรวง นอกเหนือจากงานความมั่นคง ทำพื้นที่ปลอดภัย ต้องร่วมกันพัฒนาความเป็นอยู่ประชาชนให้อยู่ดีกินดีทุกมิติ น้อมนำยุทธศาสตร์พระราชทาน “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” ไปปฎิบัติ พร้อมเรียกถกติดตามแก้ปัญหาทั้งระยะสั้น ระยะยาว
ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันอังคารที่ 13 พ.ค.68 นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการในการประชุม ครม. ดังนี้
- สถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้ประชุมเรื่องปัญหาการก่อความไม่สงบในพื้นที่กับผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผู้บัญชาการทหารบก กระทรวงมหาดไทย เพื่อกำหนดแนวทางแก้ปัญหา ทั้งการแก้ไขเฉพาะหน้าและในระยะยาว และช่วงบ่ายวันนี้ (อังคารที่ 13 พ.ค.) ได้เชิญหน่วยงานสำคัญที่เกี่ยวข้องมาหารือเรื่องนี้เป็นการเฉพาะด้วย
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นอกจากงานด้านความมั่นคง การกระชับความสัมพันธ์กับประชาชน การควบคุมดูแลความสงบเรียบร้อยและความปลอดภัยให้กับประชาชนแล้ว จะต้องเร่งสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้กับประชาชนในทุกมิติ ทั้งทางด้านเศรษฐกิจและสังคม โดยสั่งการให้ทุกหน่วยงานภาครัฐต้องทำควบคู่กันไปพร้อมๆ กับงานด้านความมั่นคง โดยเฉพาะหน่วยงานที่มีบุคลากรประจำในพื้นที่ที่จะร่วมกันสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้กับประชาชน จึงขอให้ทุกกระทรวงช่วยกันกำชับบทบาทของหน่วยงานและเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ภายใต้การนำของผู้ว่าราชการจังหวัด ในการทำงานร่วมกันอย่างเต็มที่ โดยน้อมนำหลักการทรงงานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ในเรื่องนี้ว่า “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา”
@@ ถก 2 รอบ “ผู้นำทหาร ตำรวจ มหาดไทย” ก่อนสั่งการ

เป็นที่น่าสังเกตว่า นายกฯแพทองธาร เพิ่งสื่อสารในมิติของการแก้ไขปัญหาชายแดนใต้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เกิดเหตุรุนแรงกับประชาชนกลุ่มเปราะบาง ทั้งเณร คนชรา และเด็ก ตกเป็นเป้าสังหารอย่างต่อเนื่องตลอดเดือน เม.ย.ถึง พ.ค.
โดยก่อนหน้านี้ นายกรัฐมนตรีได้เชิญหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเข้าหารือ 2 ครั้ง ได้แก่
วันที่ 8 พ.ค. เชิญ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนต รีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม, พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก, นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เข้าพบหารือที่ตึกไทยคู่ฟ้า
จากนั้นได้โพสต์ข้อความทางสื่อสังคมออนไลน์ อ้างรายงานจาก ผบ.ทบ.ในฐานะรอง ผอ.รมน. (รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร) ว่า จะต้องมีการปรับแผนให้มีการทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการมากขึ้น ทั้งในส่วนของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ซึ่งเป็นกองกำลังร่วมระหว่างทหาร ตำรวจ และ อส. ให้การปฏิบัติงานในพื้นที่มีความเข้มแข็งเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดูแลกลุ่มเปราะบาง รวมถึงการปฏิบัติการเชิงรุก เพื่อสร้างความมั่นใจและความปลอดภัยให้กับพี่น้องประชาชน

วันที่ 9 พ.ค. ได้เชิญ นายภูมิธรรม, พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.), พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร., นาย อรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย และ นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เพื่อหารือต่อเนื่อง
จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้ทวีตข้อความผ่าน X ว่า "จากการประชุมติดตามสถานการณ์ภาคใต้ กับ ผบ.ทบ.เมื่อวาน (8 พ.ค.) และได้เสนอให้มีการบูรณาการกับทุกภาคส่วน วันนี้จึงได้เชิญท่านปลัดมหาดไทย และ ผบ.ตร.เพื่อรับฟังปัญหาและร่วมกันหาแนวทางการแก้ไขสถานการณ์ในภาคใต้ สิ่งหนึ่งที่ทุกภาคส่วนเห็นตรงกัน คือ การบูรณาการการทำงานในส่วนของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ที่ประกอบไปด้วยทหาร ตำรวจ และพลเรือน ช่วยกันทำงานทั้งเชิงรับและเชิงรุก รวมถึงการร่วมมือกันในระดับจังหวัด อำเภอ และหมู่บ้าน เพื่อสร้างความเข้าใจอันดีระหว่างกัน
จึงได้ขอความร่วมมือกับทางเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ ผู้ว่าราชการจังหวัด ได้พูดคุยกับทางกำนันและผู้ใหญ่บ้านทำงานร่วมกันระดับชุมชน นอกจากนี้ ได้ย้ำว่าหากเจ้าหน้าที่ปฏิบัติขาดอุปกรณ์ใดๆ ทั้งด้านยุทโธปกรณ์หรือเครื่องมือต่างๆ ให้แจ้งมาที่ส่วนกลาง เพื่อจะได้จัดหา และอำนวยความสะดวกในการปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นค่ะ”
@@ มท.1 เด้งรับ สั่ง อส.ห้ามขาด - ห้ามลา - กินอยู่ในฐาน ชคต.
ภายหลังนายกฯแพทองธาร ได้หารือกับปลัดกระทรวงมหาดไทย (วงประชุมวันที่ 9 พ.ค.) ปรากฏ่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของ กองอาสารักษาดินแดน หรือ อส. (ผู้บัญชาการกองอาสารักษาดินแดน) ได้ออกคำสั่ง “4 แนวทางปฏิบัติภารกิจ” ของกองอาสารักษาดินแดน ในพื้นที่
1. มาตรการด้านกำลังพล โดยให้ทุกกองร้อยรักษายอดกำลังพล และเตรียมพร้อมในการปฏิบัติ ณ ที่ตั้ง งดเวรลาพักของสมาชิก อส. จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย และกำชับกำลังพลในส่วนของชุดคุ้มครองตำบล (ชคต.) ที่ไม่ได้อยู่ระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ ไม่ให้ออกนอกฐานปฏิบัติการในเวลากลางคืน และให้ประกอบเลี้ยงภายในฐานปฏิบัติการ
2. ด้านการเตรียมการป้องกันฐานปฏิบัติการ สถานที่ราชการ และทรัพย์สินของทางราชการ ด้วยการจัดให้มีเวรรักษาความปลอดภัยที่ตั้งฐานปฏิบัติการในลักษณะเตรียมพร้อมสูงสุด ผลัดเปลี่ยนเวรตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมจัดทำเครื่องกีดขวาง เสริมความมั่นคงด้วยอุปกรณ์ป้อมสนามและรั้วลวดหนามหีบเพลง เพื่อความแข็งแรงของฐานปฏิบัติการ และสถานที่ราชการ และติดตั้งระบบไฟแสงส่องสว่างรอบที่ตั้งฐานปฏิบัติการ-สถานที่ราชการ อย่างเพียงพอ
จัดระบบสัญญาณเตือนภัยและอาวุธของยามรักษาการให้เหมาะสม มีระบบการควบคุมและบันทึกหลักฐานบุคคลหรือยานพาหนะผ่านเข้า – ออกที่ตั้งฐานปฏิบัติการ พร้อมจัดกำลังออกลาดตระเวนรอบที่ตั้งฐานปฏิบัติการ สถานที่ราชการ อย่างต่อเนื่อง มีการซักซ้อมแผนเผชิญเหตุเพื่อให้เกิดความชำนาญ สามารถปฏิบัติตามแผนฯ ได้อย่างเป็นระบบ รวมทั้งกำหนดพื้นที่ล่อแหลมหรือเป้าหมายที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ
3. ด้านการข่าว ด้วยการบูรณาการด้านการข่าวร่วมกับทหาร ตำรวจ และหน่วยงานด้านการข่าวอื่นๆ อย่างเป็นเอกภาพ พร้อมทั้งสร้างเครือข่ายแหล่งข่าวจากทุกหน่วยและประชาชนทุกช่วงวัยในพื้นที่ และมีการติดต่อสื่อสารกับหน่วยเหนือ และหน่วยข้างเคียงอย่างต่อเนื่อง
4. ด้านการรักษาความปลอดภัยอาวุธและยุทโธปกรณ์ของทางราชการ ด้วยการจัดทำบัญชีควบคุมการเบิก – จ่ายอาวุธยุทโธปกรณ์อย่างถูกต้อง ชัดเจน ทั้งการเบิกจ่าย และการส่งคืนเข้าสู่คลัง
ทั้งนี้ นายอนุทิน ได้สั่งการตรงไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส และจังหวัดสงขลา ในฐานะผู้บังคับการกองอาสารักษาดินแดนจังหวัด ให้กำชับ 4 แนวทางปฏิบัติภารกิจกองอาสารักษาดินแดนในพื้นที่ด้วย
@@ “เสธ.แมว” สอนมวยนายกฯ ใช้กลไก ผบ.ฉก.คุมพื้นที่ให้ได้

ด้าน พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กล่าวว่า บทบาทของนายกรัฐมนตรีไม่ได้สร้างความหวังให้กับคนในพื้นที่ หรือคนที่ติดตามปัญหาภาคใต้ว่าจะสามารถแก้ไขสถานการณ์ได้สำเร็จ
“โดยเฉพาะที่นายกฯเรียกประชุมหัวหน้าหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 2 วัน ที่ทำเนียบรัฐบาล และบ้านพิษณุโลก สะท้อนว่านายกฯไม่เข้าใจโครงสร้างการแก้ไขปัญหา เพราะตอนนี้เราใช้กลไก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า เป็นหลัก นายกฯเป็น ผอ.รมน. และ ผบ.ทบ.เป็นรอง ผอ.รมน. ซึ่งสามารถบูรณาการได้ทั้งตำรวจ ทหาร มหาดไทย ฉะนั้นวันที่คุยกับ ผบ.ทบ. ต้องเรียกตำรวจกับมหาดไทยมาประชุม และสั่งการพร้อมกันทีเดียว เพื่อความเป็นเอกภาพ”
“วันนี้ ผู้ที่มีส่วนรับผิดชอบสำคัญต่อสถานการณ์ในพื้นที่คือ ผบ.ฉก. (ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจ) กับพวกผู้การทหารพราน ที่คุมพื้นที่ระดับอำเภอ ต้องเรียกมาประชุม เสนอแผน รับฟังข้อมูล และสั่งการ เพราะ ผบ.ฉก. และผู้การพวกนี้คุมพื้นที่จริง รู้ปัญหาแต่ละจุด ต้องให้เขาทำแผนมาว่าจะหยุดสถานการณ์อย่างไร โดยเฉพาะพื้นที่รอยต่อระหว่างอำเภอ ระหว่างตำบล หมู่บ้าน ซึ่งเป็นช่องโหว่อยู่ โดย ผบ.พวกนี้ขึ้นกับ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ต้องสั่งการผ่านกลไกนี้”
“เวลาเกิดเหตุ ผบ.ฉก. ผู้การทหารพราน ต้องตอบให้ได้ ต้องออกมานั่งแถลงว่าเพราะอะไร โฆษก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ต้องออกมาสื่อสารว่าจะแก้ไขอย่างไร จะคุมสถานการณ์อย่างไร จะจับกุมคนร้ายได้อย่างไร เพื่อให้ประชาชนอุ่นใจ แต่ทุกวันนี้เงียบกันหมด คนทำงานจริงไม่ได้มีบทบาท ฉะนั้นนายกฯต้องปรับตรงนี้ เพื่อให้มาตรการควบคุมพื้นที่เดินไปได้ ส่วนเรื่องพูดคุยเจรจาก็ว่ากันไป ตั้งหัวหน้าคณะพูดคุย แล้วก็ดำเนินการต่อ แต่วาระเฉพาะหน้าต้องคุมพื้นที่ให้ได้ก่อน”
