
กลายเป็นประเด็นฮือฮา เมื่อที่ประชุมสภามีการตั้งกระทู้ถาม และตอบกันเกี่ยวกับเรื่องการจัดหากระสุนปืนของกองทัพบกไทย ผ่านหน่วยงานความช่วยเหลือทางทหารของสหรัฐฯในประเทศไทย หรือ “จัสแมก” (JUSMAG)
ข้อมูลนี้กลายเป็นข่าวขึ้นมา ท่ามกลางสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างไทย-กัมพูชา ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าจะมีสงครามหรือการสู้รบเกิดขึ้นหรือไม่
แต่กลับมีการพูดกันถึง “การจัดหากระสุนปืน” เป็นประเด็น “ถามมา - ตอบไป” ในสภา ซึ่งอาจถูกนำไปตีความในแง่ลบกับฝ่ายไทยในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานได้หลายประเด็น เช่น
- กองทัพบกไทยกำลังขาดแคลนกระสุนหรือไม่ ทั้งๆ ที่กำลังจะรบกันอยู่แล้ว หรือมีความเสี่ยงที่จะเกิดสงคราม
- รัฐบาลกับกองทัพคิดเห็นไปคนละทางหรือไม่ เพราะ รมช.กลาโหม ชี้แจงว่ารัฐบาลได้สั่งเบรกกองทัพบกในการจัดหากระสุนผ่านช่องทาง “จัสแมก” สะท้อนความไม่เป็นเอกภาพในยามหน้าสิ่วหน้าขวานหรือเปล่า
- มีการพูดถึงชาติมหาอำนาจที่กำลังเผชิญหน้ากันอยู่ โดยเฉพาะจีนกับสหรัฐฯ และปัญหาขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา อาจกลายเป็นสนามประลองกำลังกันของมหาอำนาจคู่นี้ โดยอาจเลือกถือหางคนละฝ่าย หรือไทยจะโชคร้ายเพราะไม่มีมหาอำนาจชาติใดเป็นแบ็กให้เลย
ถึงที่สุดแล้วคงต้องหาคำตอบและวางบรรทัดฐานกันให้ดีว่า ประเด็นอ่อนไหวแบบนี้ ควรตรวจสอบกันอย่างไร หรือจะปล่อยให้พูดกันอย่างเปิดเผย และถูกนำไปตีความกันต่างๆ นานาแบบที่เป็นอยู่
ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข นักวิชาการด้านความมั่นคง แสดงทัศนะเรื่องนี้เอาไว้อย่างน่าสนใจ
@@ สภา-กระสุน-ความมั่นคง
ในขณะที่ข่าวของรัฐบาลในการตั้ง “ครม. ใหม่” เป็นประเด็นใหญ่ที่สังคมให้ความสนใจอย่างมากในขณะนี้ จนดูเหมือนข่าวอื่นในทางการเมืองดูจะได้รับความสนใจน้อยลงตามไป ดังจะเห็นได้ว่า ข่าวในสภาได้รับความสนใจเพียงในเรื่องของ “สภาล่ม” มากกว่าสาระของการประชุมสภา
แต่เรื่องหนึ่งของการประชุมสภาในวันพฤหัสบดีที่ 3 กรกฎาคม ที่ผ่านมา มีประเด็นที่น่าสนใจอย่างมาก คือ การที่ฝ่ายค้านได้ถามถึงการติดต่อในเรื่องการส่งกำลังบำรุง และเครื่องกระสุนระหว่างกองทัพบกไทย กับหน่วยงานความช่วยเหลือทางทหารของสหรัฐฯ ในประเทศไทย คือ “จัสแมก” (JUSMAG)
ในการนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ตอบคำถามในสภาว่า “ฝ่ายการเมืองยับยั้งคำขอของกองทัพ เพราะรัฐบาลมองเรื่องการรักษาสมดุล กองทัพไม่สามารถดำเนินการได้ตามลำพัง ต้องทำตามนโยบายของรัฐ ถ้าดึงอีกประเทศเข้ามาอาจทำให้เกิดปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ได้”
// ข้อพิจารณา //
หากพิจารณาประเด็นนี้ในบริบทด้านความมั่นคง ต้องถือว่าเป็นประเด็นที่ชวนให้ต้องคิดต่ออย่างมาก เพราะสาระของเรื่องนี้เป็นปัญหาความมั่นคงโดยตรง และเป็นปัญหาความมั่นคงที่มีนัยสำคัญกับสถานการณ์ความขัดแย้งของไทยกับประเทศเพื่อนบ้านในปัจจุบันด้วย การถาม-ตอบในสภาจึงชวนคิดอย่างมาก
สมมติ หากเราทดลองคิดเรื่องนี้ในกรอบของ “รัฐสภากับงานความมั่นคง” แล้ว น่าจะตั้งข้อสังเกตได้ดังนี้
1.ถ้าประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นปัญหาความมั่นคงในสภาครั้งนี้ อาจต้องถือว่าเป็นเรื่องที่มีความละเอียดอ่อนอย่างมาก เพราะเกี่ยวข้องโดยตรงกับขีดความสามารถทางทหารของกองทัพบกไทย เรื่องเช่นนี้ควรต้องพิจารณาว่า ประเด็นนี้เป็นเรื่องที่มี “ชั้นความลับ” อย่างมากหรือไม่ ควรจะประชุมในวาระปกติหรือไม่
2.หากพิจารณาในบริบทของข้อมูลทางทหาร อาจทำให้เกิดการตีความได้ว่า ประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาในสภานั้น อาจจะกลายเป็นการบ่งบอกถึงสถานะของกองทัพไทยในปัจจุบันหรือไม่
3.ปกติแล้ว การติดต่อในเรื่องของการส่งกำลังบำรุงและเครื่องกระสุนกับหน่วยงานทางทหารของรัฐมหาอำนาจนั้น มักจะเป็นเรื่อง “ลับที่สุด” เพราะถือเป็นเรื่องที่ข้อมูลมีความอ่อนไหว จึงไม่ใช่ข้อมูลที่พึงนำมาเปิดเผยในทางสาธารณะ แต่อาจต้อพิจารณาถึง “วิธีการ” ของการถาม-ตอบในสภาด้วย
4.หากในอนาคต มีการนำเอาประเด็นที่เป็นเรื่องความมั่นคงทางทหารที่เป็นเรื่อง “ลับมาก-ลับที่สุด” เข้าสู่เวทีสภานั้น ควรที่เป็นการ “ประชุมลับ” ด้วยหรือไม่ เพราะแม้จะมีเพียงคำตอบสั้นๆ ในที่สภาอย่างเปิดเผยก็ตาม แต่คำตอบเช่นนั้นก็อาจนำไปสู่การตีความถึงสถานะด้านส่งกำลังบำรุงและเครื่องกระสุนของกองทัพบกไทยได้ด้วย
5.การนำเอาเรื่องนี้มาเปิดเผยในเวทีสาธารณะอาจจะทำให้การติดต่อกับรัฐมหาอำนาจในอนาคตนั้น ถูกรัฐมหาอำนาจมองไทยด้วยความไม่วางใจ เพราะข้อมูลการติดต่อทางทหารที่เกิดขึ้นในลักษณะเช่นนี้ น่าจะถือเป็นเรื่อง “ความลับทางทหาร” ของประเทศ แต่กลับรั่วไหลและถูกนำมาเปิดเผยในสภา
6.ในอีกมุมหนึ่ง น่าสนใจว่าการรั่วไหลของข้อมูลที่เป็น “ความลับทางทหาร” ของประเทศนั้น หลุดออกมาสู่เวทีการเมืองได้อย่างไร การกล่าวเช่นนี้ มิได้หมายความว่า เราควรสนับสนุนให้กองทัพมีความลับที่สังคมไม่ควรรับรู้ แต่ในทางกลับกัน ก็น่าสนใจถึงการรั่วของข้อมูลจากกองทัพบกออกมาสู่พรรคการเมือง
7.ประเด็นที่น่าสนใจสำหรับบทบาทของรัฐสภา ทั้งในส่วนของฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล จะดำเนินการอย่างไรกับปัญหาข้อมูลที่มีชั้นความลับในระดับสูงเช่นนี้ในการประชุมสภา
8.ประเด็นคำตอบของฝ่ายการเมืองในสภาเรื่องความสัมพันธ์กับรัฐมหาอำนาจนั้น อาจชวนให้สภาต้องคิดเรื่องเช่นนี้มากขึ้นเช่นกัน เพราะดังที่ทราบกันดีว่า สถานการณ์ในเวทีสากลมีความผันผวน จนบางทีทั้งฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติอาจไม่ทันตระหนักถึงความละเอียดอ่อนของข้อมูลในลักษณะเช่นนี้ แต่ความละเอียดอ่อนเช่นนี้ ก็มิได้มีนัยให้ฝ่ายบริหารจะไม่ดำเนินการอะไร และ/หรือไม่ตัดสินใจอะไร
// ท้ายบท //
การตั้งคำถามของฝ่ายค้าน และการนำเสนอคำตอบของฝ่ายบริหารเรื่องการส่งกำลังบำรุง และการขอเครื่องกระสุนของกองทัพบกในสภาในวันที่ 3 กรกฎาคม ที่ผ่านมา เป็นตัวอย่างที่ดีที่ชวนให้ต้องคิดต่อว่า ประเด็นเช่นนี้รัฐสภาควรดำเนินการอย่างไร เพราะเรื่องเช่นนี้น่าจะเกิดเป็นประเด็นอีกในอนาคต
นอกจากนี้ อาจต้องชวนให้กองทัพบกคิดในเรื่องของการรักษาความลับข้อมูล เช่นเดียวกับบทบาทของฝ่ายการเมืองในกระทรวงกลาโหมที่ควรจะต้องเรียนรู้ในการจัดการตอบประเด็นในลักษณะเช่นนี้ด้วย
