
คุณผู้อ่านคงยังจำกันได้ “ทีมข่าวอิศรา” เคยนำเสนอข้อมูลจาก องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) ที่ทำแคมเปญรณรงค์ ประเมินตัวเลขงบประมาณจาก “อาคารทิ้งร้าง” เพราะสร้างไม่เสร็จ ของหน่วยราชการต่างๆ คิดเป็นความเสียหายมากกว่า 1 แสนล้านบาท
โดย องค์กรต่อต้านคอร์รัปชันฯ ตั้งข้อสังเกตว่า พื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ รวม จ.สงขลา มีอาคารถูกทิ้งร้างมากที่สุดในประเทศ
แต่ องค์กรต่อต้านคอร์รัปชันฯ ไม่ได้แจกแจงว่ามีโครงการอะไรบ้าง ทำให้ “ทีมข่าวอิศรา” ซึ่งเกาะติดข่าวและความเคลื่อนไหวในพื้นที่ปลายด้ามขวานมานานกว่า 2 ทศวรรษ ไปสืบค้นข้อมูลจากข่าวเก่าๆ ของศูนย์ข่าวเอง และข่าวที่สื่อมวลชนทั่วไปเคยรายงาน รวมถึงการลงพื้นที่เพิ่มเติม พบว่ามีอาคารถูกทิ้งร้างมากมายจริงๆ
นับเฉพาะโครงการใหญ่ๆ ก็มีร่วม 10 โครงการ ละลายงบไปหลายพันล้านบาท!
หนึ่งในนั้นคือ โครงการปรับปรุงแผงกันคลื่นที่จอดพักเรือท่าเทียบเรือปัตตานี และปรับปรุงพื้นที่หลังท่า จังหวัดปัตตานี ซึ่งเป็นโครงการของกรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม ใช้งบประมาณ รวมกว่า 400 ล้านบาท ก่อสร้างแล้วเสร็จตั้งแต่เดือน พ.ย.2561 แต่ไม่สามารถใช้งานได้จริง เนื่องจากเป็นพื้นที่น้ำทะเลตื้นเขิน เรือเข้ามาจอดไม่ได้ ทำให้ปัจจุบันกลายเป็นที่จอดเรือที่ชำรุดเสียหาย และซากเรือ จนชาวบ้านในพื้นที่ เรียกกันว่า “สุสานเรือ” หรือ “ป่าช้าตังเก”
อ่านประกอบ : รวบตึง "โครงการร้างชายแดนใต้" แค่ 2 โปรเจคใหญ่เฉียด 3 พันล้าน!
@@ ปูดกลางสภา รองบ 400 ล้านแก้ปัญหาท่าจอดเรือปัตตานี

หลังจาก ศูนย์ข่าวภาคใต้ สำนักข่าวอิศรา นำเสนอข่าวนี้ ปรากฏว่า สส.ปัตตานี พรรคประชาชาติ ผศ.วรวิทย์ บารู ได้อภิปรายในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร หยิบยกปัญหาความไม่สมบูรณ์ของท่าเทียบเรือประมงจังหวัดปัตตานีขึ้นมาหารือ พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลจัดสรรงบประมาณเร่งด่วนราว 400 ล้านบาท เพื่อแก้ไขปัญหาร่องน้ำตื้นเขินและซากเรือขวางเส้นทาง ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อเศรษฐกิจประมงของพื้นที่และของประเทศ
“ปัจจุบัน ร่องน้ำบริเวณท่าเทียบเรือมีความตื้นเขินเพียง 1–2 เมตร ทำให้เรือประมงขนาดใหญ่ไม่สามารถเข้าเทียบท่าได้โดยตรง ต้องใช้เรือลำเล็กลากเข้าไปแทน ซึ่งเสี่ยงต่อความเสียหายของใบพัดเรือ นอกจากนี้ ยังมีเรือประมงที่ชำรุดถูกนำไปจอดทิ้งเป็นจำนวนมาก จนกลายเป็นซากเรือขวางร่องน้ำ ยิ่งเพิ่มความยุ่งยากในการเดินเรือ” สส.วรวิทย์ อภิปรายตอนหนึ่ง
สส.ปัตตานี พรรคประชาชาติ ยังให้ข้อมูลต่อที่ประชุมสภาว่า กรมเจ้าท่าปัตตานีได้จัดทำแผนแก้ไขตามกรอบ Thai Water Plan พร้อมเสนอของบประมาณ 315 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาได้รับการจัดสรรเพียงปีละไม่เกิน 90 ล้านบาท ซึ่ง สส.วรวิทย์ ชี้ว่าเพียงพอแค่การดูแลร่องน้ำเดิมเท่านั้น ไม่สามารถปรับปรุงให้สามารถรองรับเรือขนาดใหญ่ได้อย่างแท้จริง
ด้วยเหตุนี้ จากการประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ สรุปว่า หากต้องการแก้ไขปัญหาให้ท่าเรือสามารถใช้งานได้อย่างเต็มรูปแบบและเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน จำเป็นต้องได้รับงบประมาณจากสำนักงบประมาณ รวมประมาณ 400 ล้านบาท เพื่อพัฒนาระบบโดยรวมให้เสร็จสมบูรณ์
“หากสามารถดำเนินการได้สำเร็จ จะเป็นการใช้ภาษีของประชาชนอย่างคุ้มค่า ไม่สูญเปล่า” สส.วรวิทย์ กล่าว
พร้อมเน้นย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่รัฐบาลจะต้องจัดสรรงบประมาณให้เพียงพอ เพื่อฟื้นฟูศักยภาพของท่าเทียบเรือประมงปัตตานีให้กลับมาเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจทางทะเลอย่างเต็มที่อีกครั้ง
@@ เสียงครวญจากตังเก...ต้นเหตุ พ.ร.ก.ประมง ยุค คสช.

ขณะที่เสียงสะท้อนจากนอกสภา ชาวประมงปัตตานีรายหนึ่ง เล่าย้อนถึงต้นตอของปัญหาว่า ซากเรือและการตื้นเขินของร่องน้ำไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นบาดแผลเรื้อรังที่เริ่มปรากฏชัดเจนขึ้นตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นมา ซึ่งเป็นปีที่เริ่มประกาศใช้พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) การประมง พ.ศ.2558 ในยุค คสช. ซึ่งเป็น “ยาแรง” เพื่อแก้ปัญหาไอยูยู หรือการทำประมงผิดกฎหมาย ตกมาตรฐานของสหภาพยุโรป
“ปัญหาซากเรือมันเริ่มหนักตั้งแต่ปี 58 เป็นต้นมานั่นแหละ เรือมันเจ๊งเยอะมาก ส่งผลกระทบกับเรือประมงที่เข้าออก ปัญหานี้มันเกิดมานานแล้ว”
ชาวประมงปัตตานี อธิบายว่า สาเหตุหลักที่ทำให้ซากเรือเหล่านี้เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างน่าตกใจ มาจากผลกระทบของการประกาศใช้ พ.ร.ก.การประมง พ.ศ. 2558 ซึ่งเป็นกฎหมายที่มีความเข้มงวดสูง เพื่อจัดระเบียบและแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย (IUU Fishing) แม้จะมีเจตนาที่ดี แต่ผลข้างเคียงที่ตามมาคือการทำให้ผู้ประกอบการประมงจำนวนมากต้องประสบปัญหาขาดทุน จนถึงขั้น “หมดทุนและหมดหนทาง” ในการเดินหน้าธุรกิจ

นายประชัย ชาวประมงอีกรายในพื้นที่ จ.ปัตตานี อธิบายอย่างชัดเจนว่า “ใช่...เรือพวกนี้มันเป็นเรือที่สร้างปัญหาเยอะมาก เพราะมันเป็นเรือที่เจ้าของเรือประสบปัญหาจากการประกาศใช้กฎหมายที่เคร่งครัด ทำให้เจ้าของเรือไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากทิ้งเรือ”
เขาบอกอีกว่า ซากเรือเหล่านี้เป็นกลุ่มที่แตกต่างจากเรือที่รัฐบาลเคยดำเนินการซื้อคืนเพื่อช่วยเหลือไปก่อนหน้านี้
@@ เร่งรื้อซากเรือที่รัฐบาลซื้อ แต่ยังเจอเรือติดคดีกว่า 100 ลำ!

ทางด้านผู้รับเหมารายหนึ่งที่เข้ามาดำเนินการรื้อซากเรือตามที่รัฐบาลรับซื้อ ให้ข้อมูลว่า เรือประมงในจังหวัดปัตตานีที่ได้เข้าร่วมโครงการรื้อทำลายเรือตามนโยบายรัฐบาล มีจำนวน 49 ลำ ซึ่งขนาดของเรือมีตั้งแต่ขนาดเล็กไปจนถึงเรือขนาดใหญ่ รัฐบาลซื้อคืนโดยมีเกณฑ์ในการกำหนดราคาขึ้นอยู่กับขนาดของเรือและการประเมินสภาพของเรือ ซึ่งตนคือหนึ่งในผู้รับเหมาที่มารื้อซากเรือตามโครงการดังกล่าว
“ซากเรือประมงทั้งหมดที่เข้าร่วมโครงการฯ ได้จอดทิ้งกระจัดกระจายอยู่ในแม่น้ำปัตตานี และบริเวณท่าเทียบเรือน้ำลึก ต.บานา อ.เมือง จ.ปัตตานี ส่วนใหญ่เรือจะอยู่ในสภาพจมน้ำ เนื่องจากจอดมาเป็นเวลานาน”

ผู้รับเหมารายเดิม บอกอีกว่า ในส่วนของซากเรือที่เข้าร่วมโครงการของรัฐบาล ขณะนี้ได้ดำเนินการรื้อซากเรียบร้อยแล้ว ทำให้สามารถลดซากเรือประมงที่จอดจมอยู่บริเวณทั้งสองฝั่งของแม่น้ำปัตตานี จึงดูสะอาดมากขึ้น ไม่กีดขวางการสัญจรเข้าออกของเรือขนส่ง ซึ่งสามารถเพิ่มมูลค่าให้กับเศรษฐกิจประมงในจังหวัดปัตตานีได้มากขึ้น
แต่ปัญหาก็ไม่ได้จบลงแค่ซากเรือประมงไทย เพราะผู้รับเหมารายนี้บอกว่า นอกเหนือจากเรือที่รัฐบาลรับซื้อคืนแล้ว ยังมีปัญหาเรือประมงสัญชาติเวียดนามและกัมพูชา ซึ่งส่วนใหญ่ยังอยู่ระหว่างการดำเนินคดี และต้องใช้เวลานานหลายปีกว่าคดีจะสิ้นสุด ทำให้เรือประมงสัญชาติเพื่อนบ้านที่ถูกจับกุมเหล่านี้ต้องถูกนำมาจอดทิ้งไว้ตามบริเวณต่างๆ ในสภาพจมน้ำ บางลำเหลือแต่ซาก มีจำนวนรวมกันกว่า 100 ลำ
@@ มลพิษถามหา ไม่ใช่แค่กีดขวางเส้นทางเดินเรือ

โดยเฉพาะบริเวณท่าเรือน้ำลึก ซึ่งนอกจากจะกีดขวางเส้นทางเดินเรือและกลายเป็นขยะในแม่น้ำแล้ว ซึ่งส่วนนี้ยังคงเป็นอีกหนึ่งปัญหาสำคัญที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข นอกจากจะส่งผลกระทบต่อการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจแล้ว วัสดุอย่างโฟมและไฟเบอร์กลาส ซึ่งเป็นส่วนประกอบของเรือที่จมน้ำ ยังเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมและสัตว์น้ำในระยะยาวอีกด้วย
การเรียกร้องงบประมาณ 400 ล้านบาทจาก สส.วรวิทย์ บารู จึงไม่ใช่เพียงแค่การขุดลอกร่องน้ำหรือกำจัดซากเรือ แต่คือการลงทุนเพื่อฟื้นฟูชีพของเศรษฐกิจประมงปัตตานีที่กำลังจมดิ่ง และเป็นความหวังในการคืนชีวิตให้ท้องทะเลอ่าวไทยตอนล่าง ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นแหล่งอาหารทะเลที่อุดมสมบูรณ์และเป็นหัวใจสำคัญของปากท้องคนชายแดนใต้ ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วนและครอบคลุมทุกมิติ
ทั้งซากเรือไทยที่ยังตกค้างและซากเรือต่างชาติที่รอวันสะสาง!
