
การใช้ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นพื้นที่นำร่องแก้ปัญหาการใช้ “น้ำกระท่อม” เป็นสารเสพติด และใช้กลไกศาสนากับชุมชนช่วยบำบัดฟื้นฟูผู้เสพยา ทำให้ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ต่อยอดแนวคิดและนโยบายให้หน่วยงานผู้รับผิดชอบนำไปสานต่อมากมาย
อย่างการลงพื้นที่ล่าสุดเมื่อวันเสาร์ที่ 2 ส.ค.68 พ.ต.อ.ทวี ได้เสนอโครงการใหม่ที่น่าสนใจและน่าติดตามอย่างใกล้ชิดเพื่อพิสูจน์ว่าสามารถช่วยลดจำนวนผู้เสพยา โดยเฉพาะกลุ่มผู้เสพซ้ำ ได้จริงหรือไม่
1.การบำบัดใช้งบประมาณต่ำกว่าการปราบปรามมา คิดเป็นเพียงแค่ 4% ของงบปราบปรามเท่านั้น
2.ให้ ศอ.บต.กำหนดวันเฉลิมฉลอง “ชุมชนปลอดยาเสพติด” หรือ “ชุมชนมีความสุข” เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้กับชุมชนที่ร่วมกันแก้ไขปัญหายานรก
3.เรียกผู้เสพยา ซึ่งถือว่าเป็น “ผู้ป่วย” และผ่านการบำบัดโดยความสมัครใจว่า “ผู้ทรงเกียรติ” เพราะถือว่ามีความกล้าหาญ และต้องการเปลี่ยนชีวิตตัวเองที่เคยก้าวพลาด
4.เปิด “ปอเนาะ” ในเรือนจำสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อเพิ่มโอกาสทางการศึกษาให้กับผู้ต้องขังมุสลิมในคดียาเสพติด และคดีความผิดอื่นๆ จะได้ศึกษาความรู้ตามความถนัดและตามหลักศาสนา
5.ให้ผู้ต้องขังมุสลิมที่พ้นโทษจากเรือนจำ มีการจัดงานฉลองต้อนรับ เหมือนกลับจากทำฮัจย์ เพื่อเป็นขวัญกำลังใจ และทำให้ชุมชนมอบโอกาสให้ผู้เคยก้าวพลาด
6.เตรียมหารือรัฐมนตรีสาธารณสุข ออกกฎกระทรวงกำหนดให้ “น้ำกระท่อม” ผิดกฎหมาย
@@ ลุยปัตตานี ตรวจเยี่ยม-ติดตามงานบำบัดผู้เสพยาครบวงจร

การลงพื้นที่ของ พ.ต.อ.ทวี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะประธานคณะกรรมการติดตาม เร่งรัด การดำเนินงานป้องกันปราบปรามและแก้ไขปัญหายาเสพติด (ครส.) มุ่งหน้าไปที่ จ.ปัตตานี เพื่อขับเคลื่อนนโยบายสำคัญด้านการบำบัดฟื้นฟูผู้ติด
โดยภารกิจในครั้งนี้เริ่มต้นด้วยการประชุมมอบนโยบายที่โรงพยาบาลธัญญารักษ์ปัตตานี และตรวจเยี่ยมการดำเนินงานอย่างใกล้ชิด โดยมี พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต) พร้อมด้วย รองเลขาธิการ ศอ.บต., รองแม่ทัพภาคที่ 4, รองผู้ว่าราชการจังหวัด , ประธานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดปัตตานี และหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องร่วมต้อนรับและรายงานความคืบหน้าการดำเนินงานตามนโยบาย
โอกาสนี้ พ.ต.อ.ทวี ได้ร่วมประชุมกับคณะกรรมการศูนย์ประสานงานการแก้ไขปัญหายาเสพติดในมิติของศาสนาและภาคประชาสังคมจังหวัดชายแดนภาคใต้ พร้อมทั้งตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจผู้ป่วยยาเสพติดในหอผู้ป่วยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอาคารผู้ป่วยนอก (OPD) หอผู้ป่วยในบำบัดด้วยยา (IPD1) และหอผู้ป่วยในฟื้นฟูสมรรถภาพ (IPD2)
นอกจากนั้นยังได้มอบสิ่งของเพื่อเป็นกำลังใจให้กับผู้ดูแลผู้ป่วยที่บ้าน หรือ Re-entry ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการส่งต่อผู้ป่วย (ผู้เสพที่ผ่านการบำบัด) กลับสู่ชุมชนอย่างปลอดภัย
โดยนอกจากการเยี่ยมชมด้านการแพทย์แล้ว พ.ต.อ.ทวี ยังได้เดินทางไปที่อาคารอาชีวบำบัด เพื่อชมผลงานจากฝีมือผู้ป่วย ทั้งงานผ้าและงานผัก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการฟื้นฟูทางอาชีพ จากนั้นได้เยี่ยมชมบ้านพักใจ ODIC, ห้องแสดงผลิตภัณฑ์ และร้านค้าสวัสดิการ เพื่อให้เห็นถึงกระบวนการฟื้นฟูที่ครบวงจร
@@ บำบัดฟื้นฟูผู้ติดยา ใช้งบแค่ 4% ของการปราบปราม

พ.ต.อ.ทวี ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมุ่งเน้นการบำบัดฟื้นฟูเป็นหลัก และใช้ตัวชี้วัดความสำเร็จคือ “ความสุขของประชาชน” พร้อมได้เน้นย้ำถึงมาตรการที่สำคัญหลายประการ โดยเฉพาะการบำบัดฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญในการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน และชี้ให้เห็นว่าการบำบัดฟื้นฟูใช้งบประมาณน้อยกว่าการปราบปรามอย่างมาก
โดยเปรียบเทียบว่าการปราบปรามใช้งบประมาณ 1 แสนบาท แต่การบำบัดใช้เพียง 4,000 บาท (คิดเป็น 4%) ซึ่งเป็นสิ่งที่ประชาชนจะยอมรับได้มากกว่า
@@ ให้การบ้าน ศอ.บต. จัดฉลอง “ชุมชนปลอดยา” ปลุกคนกันเองมีส่วนร่วม
นอกจากนี้ ยังได้เน้นย้ำให้ ศอ.บต.ร่วมกับทุกภาคส่วนเป็นศูนย์กลางในการแก้ปัญหา โดยเสนอให้มีการกำหนดวันเฉลิมฉลอง “ชุมชนปลอดยาเสพติด” หรือ “ชุมชนมีความสุข” เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้กับชุมชน และให้ประชาชนมีความรู้สึกปลอดภัยในช่วงเทศกาลสำคัญ
@@ หารือ สธ.ออกกฎเหล็ก “น้ำกระท่อม” ผิดกฎหมาย

สำหรับแนวทางการแก้ไขปัญหาพืชกระท่อม ซึ่งกระทรวงยุติธรรมมีนโยบายรณรงค์ “120 วัน วาระพืชกระท่อม” นำร่องในพื้นที่ชายแดนใต้นั้น พ.ต.อ.ทวี ระบุว่า แม้จะไม่มีกฎหมายควบคุมกระท่อมโดยเฉพาะ แต่ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มี “กฎศาสนา กฎชุมชน และมาตรการสังคมที่เข้มแข็ง” ซึ่งเข้มงวดกว่าพื้นที่อื่นๆ และยังเตรียมจะหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เพื่อออกกฎกระทรวงให้ “น้ำต้มใบกระท่อม” เป็นสิ่งผิดกฎหมายไปเลย
@@ เปิดปอเนาะในเรือนจำ ติดยาพ้นโทษจัดฉลองเหมือน “ทำฮัจย์”
ในส่วนของการฟื้นฟูผู้ต้องขังในเรือนจำ พ.ต.อ.ทวี ได้กำชับเรื่องการเรียนรู้ภายในเรือนจำ เพื่อให้ผู้พ้นโทษมีโอกาสในการมีอนาคตที่ดีขึ้น โดยเสนอให้มีการเปิดปอเนาะในเรือนจำ และเมื่อผู้ต้องขังพ้นโทษออกมาแล้ว ควรให้มีการจัดเลี้ยงต้อนรับเหมือนกับการกลับจากทำฮัจย์ เพื่อให้สังคมให้โอกาสและยอมรับในการกลับสู่สังคมอย่างมีศักดิ์ศรี
การให้ความสำคัญกับการบำบัดฟื้นฟูและตัวชี้วัดความสำเร็จที่มุ่งเน้นไปที่ความสุขของประชาชน ถือเป็นแนวทางใหม่ที่ท้าทาย ซึ่ง พ.ต.อ.ทวี หวังว่าจะสามารถนำ “โมเดล” นี้ไปประกวดและได้รับรางวัล เพื่อเป็นกำลังใจในการแก้ไขปัญหาสังคมอย่างยั่งยืนต่อไป
โอกาสนี้ พ.ต.อ. ทวี ได้กล่าวให้กำลังใจแก่ผู้เข้ารับการบำบัดด้วยว่า สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ฟื้นฟูชีวิตใหม่ โดยเปรียบเทียบสถานที่บำบัดนี้ว่าเป็นที่ที่ช่วยสร้างคนใหม่ให้มีชีวิตที่ดีขึ้น และให้เกียรติผู้ที่ก้าวพลาดไปใช้ยาเสพติด
@@ ชื่นชมผู้สมัครใจเข้ารับการบำบัดเป็น “คนทรงเกียรติ”

อีกทั้งยังชื่นชมทุกคนที่สมัครใจเข้ารับการบำบัดเพื่อไม่ให้เป็นภาระของครอบครัวและชุมชน โดยกล่าวว่า ทุกคนมีเกียรติและเปรียบเสมือนเป็น “คนทรงเกียรติ” ที่กล้าจะเริ่มต้นใหม่
“ผมได้ไปดูงานมาหลายที่ ขอชื่นชมว่าที่นี่ไม่แพ้ที่อื่น ผู้บำบัดคืออนาคตของชาติ หวังว่าทุกคนจะออกไปเป็นคนใหม่ที่มีคุณภาพ มีสุขภาพที่ดี ช่วยดูแลบ้านเมืองต่อไป“
@@ เลขาฯ ศอ.บต.ชี้ ยาเสพติดคือบาดแผลทำลายทรัพยากรมนุษย์

ด้าน พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ เลขาธิการ ศอ.บต. กล่าวว่า ศอ.บต. ตระหนักว่ายาเสพติดไม่ใช่เพียงปัญหาด้านสุขภาพ แต่คือบาดแผลที่ทำลายทรัพยากรมนุษย์ เศรษฐกิจ และรากฐานครอบครัว จึงเห็นว่า การแก้ไขปัญหานี้ต้องเป็นวาระแห่งชาติที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกัน ทั้งรัฐ ชุมชน และผู้นำศาสนา โดยอาศัยพลังศรัทธาและวิถีชีวิตดั้งเดิมของคนในพื้นที่เป็นเครื่องมือสำคัญ
ในช่วงที่ผ่านมา ศอ.บต. ได้ร่วมขับเคลื่อน “วาระ 120 วันต้องเห็นผล” โดยมุ่งเป้าการจัดการกับพืชกระท่อมที่ส่งผลกระทบต่อเยาวชนและชุมชน ซึ่งได้รับความร่วมมืออย่างดีจากประชาชนและผู้นำศาสนา ที่ร่วมประกาศจุดยืนให้เห็นถึงความไม่เหมาะสมตามหลักศาสนาและสังคม
ยืนยันว่า ศอ.บต. จะเดินหน้าทำงานอย่างเต็มที่ ด้วยความร่วมมือจากทุกฝ่าย เพื่อขจัดภัยยาเสพติดอย่างยั่งยืน และสร้างอนาคตที่มั่นคงให้แก่เยาวชนและประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ต่อไป
@@ ”ฮารอม - หลักศาสนา” ซอฟต์พาวเวอร์แก้ปัญหาเสพกระท่อม

ด้านผู้แทนหน่วยงานสาธารณสุขที่เข้าร่วมกิจกรรมกับ พ.ต.อ.ทวี ครั้งนี้ เผยถึงแนวทางการบำบัดผู้ติดยาเสพติดที่เข้มงวดและเป็นระบบมากขึ้น โดยเฉพาะใน 7 จังหวัดภาคใต้ว่า ได้มีการปรับปรุงแนวทางการรักษาให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยผู้ป่วยที่เข้ารับการบำบัดด้วยการฉีดยา จะไม่ถูกปล่อยให้กลับบ้านในทันที แต่จะต้องพักฟื้นในสถานพยาบาลอย่างน้อย 2 วัน เพื่อให้ทีมแพทย์สามารถติดตามอาการและตรวจซ้ำได้อย่างใกล้ชิด ซึ่งเป็นการป้องกันการกลับไปใช้ยาซ้ำ และสร้างความมั่นใจในการรักษาได้มากขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีการจัดตั้ง “มินิธัญญารักษ์” ขึ้นในสถานพยาบาลทุกแห่ง เพื่อเป็นศูนย์บำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดในพื้นที่ต่างๆ ทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการรักษาได้ง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นถึงความพยายามของทุกฝ่ายในการช่วยเหลือผู้ป่วยให้กลับคืนสู่สังคมอย่างยั่งยืน
ส่วนประเด็นของพืชกระท่อม ซึ่งยังคงเป็นที่ถกเถียงและสร้างความลำบากใจให้กับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในการปฏิบัติงาน เพราะการใช้พืชกระท่อมไม่ผิดกฎหมาย เนื่องจากถูกปลอดออกจากบัญชียาเสพติดแล้วนั้น ผู้แทนหน่วยงานด้านสาธารณสุข บอกว่า ในความเป็นจริงแล้วบุคลากรทางการแพทย์ไม่ต้องการให้มีการเปิดเสรีพืชกระท่อม และยังกได้ชื่นชมโมเดลการควบคุมพืชกระท่อมใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ว่า “ดีมาก” เนื่องจากชุมชนในพื้นที่ใช้ “หลักศาสนา และชุมชนที่เข้มแข็ง” สร้างความเข้าใจกับชุมชนว่ากระท่อมคือ “ฮารอม” (สิ่งต้องห้ามทางศาสนา) ถือเป็นเครื่องมือในการควบคุมปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ สะท้อนให้เห็นว่าพลังของชุมชนและหลักความเชื่อทางศาสนาสามารถเป็นกลไกที่ทรงพลังในการแก้ไขปัญหาสังคมได้ดีกว่าการบังคับใช้กฎหมายเพียงอย่างเดียว
