
การจัดตั้งรัฐบาลใหม่ภายใต้การนำของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กำลังถูกจับตาถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเป็นโจทย์ใหญ่ที่ต้องเผชิญในหลายมิติ
ทั้งด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ ยาเสพติด และกระบวนการพูดคุยสันติภาพ ท่ามกลางข้อเรียกร้องเชิงนโยบายจากพรรคประชาชนที่โหวตสนับสนุนนายอนุทิน และพรรคประชาชาติ ซึ่งวันนี้กลายสภาพเป็นฝ่ายค้าน
ที่ผ่านมา ศูนย์ข่าวภาคใต้ สำนักข่าวอิศรา ได้รวบรวมคำถามไฟใต้จากประชาชนในพื้นที่ ผู้รู้ และนักวิชาการ เพื่อส่งถึงรัฐบาลใหม่ เป็นการบ้านให้พรรคภูมิใจไทยนำไปพิจารณา
อ่านประกอบ : 17 คำถามถึง BRN และรัฐบาลใหม่... ไฟใต้เอาไงต่อ?
@@ พูดคุยสันติสุข.. แนะเปิดเกมบุก ไม่ต้องกลัว JCPP
แน่นอนว่าโจทย์ใหญ่ที่สุดโจทย์หนึ่งที่หลายฝ่ายพูดถึง และรอกันอยู่ ก็คือ “โต๊ะพูดคุยเพื่อสันติภาพ/สันติสุข”
เจ้าหน้าที่ระดับสูงจากหน่วยงานความมั่นคงชายแดนใต้ ให้ข้อมูลว่า การพูดคุยสันติสุขเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความจริงใจของรัฐต่อประชาชนในพื้นที่ จึงควรดำเนินการต่อไป โดยมองว่าสามารถทำได้ทั้งการพูดคุยแบบเปิดเผยและแบบลับ
"การพูดคุยแบบลับมีความยืดหยุ่น ลดแรงกดดันทางการเมือง และเปิดโอกาสให้กลุ่มที่ไม่ต้องการเปิดเผยตัวตนเข้าร่วมได้ แต่ก็มีความเสี่ยงที่จะขาดความโปร่งใส และอาจถูกตั้งคำถามจากบางกลุ่ม"
ส่วนการตัดสินใจว่าจะเดินหน้าพูดคุยสันติสุขภายใต้กรอบข้อตกลงตาม “แผนปฏิบัติการร่วมเพื่อสร้างสันติสุขแบบองค์รวม” หรือ JCPP ซึ่งคณะพูดคุยสันติสุขชุดก่อนหน้านี้ ในรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน ไปตกลงกับคณะพูดคุยฝ่าย BRN เอาไว้หรือไม่นั้น เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงรายนี้มองว่า เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องพิจารณา โดยหากเดินหน้าต่อ จะทำให้การพูดคุยมีเป้าหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษรและวัดผลได้จริง แต่ก็มีข้อจำกัดที่อาจถูกวิจารณ์ว่าเป็นการให้สถานะ “คู่เจรจาทางการเมือง” กับกลุ่ม BRN อย่างชัดเจน
"จะกลัวหรือไม่ถ้าเป็นแบบนี้ หรือถ้ายอมรับได้ก็โอเค ส่วนตัวมองว่าทำได้ ถ้าดีก็ทำต่อไป เพราะอะไรก็ตามถ้าทำแล้วประโยชน์ไปตกที่ประชาชนก็ย่อมดีกว่าแน่นอน”
@@ หนุนลดดีกรี แต่อย่าเพิ่งเลิก “กม.ฉุกเฉินฯ”
โจทย์สำคัญอีกข้อหนึ่งที่ถกเถียงกันมานาน ก็คือ การใช้กฎหมายพิเศษ ทั้ง พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และกฎอัยการศึก ยังมีความจำเป็นอยู่หรือไม่
จากการตรวจสอบของ “ทีมข่าวอิศรา” พบว่า ปัจจุบันมีการยกเลิกการประกาศและบังคับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ไปแล้ว 15 อำเภอ จากทั้งหมด 33 อำเภอ ยังคงใช้อยู่ในอีก 18 อำเภอ และยังคงใช้กฎอัยการศึกในทุกจังหวัดในพื้นที่ โดยจะมีการพิจารณาต่ออายุการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินอีกครั้งในวันที่ 19 ต.ค.68 ที่จะถึงนี้ โดยเป็นการต่ออายุขยายเวลาครั้งที่ 78 ครั้ง
“ทีมข่าวอิศรา” สอบถามความเห็นจากเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติที่ทำงานในพื้นที่มานาน ได้รับคำตอบว่า เรื่องกฎหมายพิเศษมองได้ 2 มุม หากยังคงบังคับใช้อยู่ ก็จะช่วยให้เจ้าหน้าที่มีเครื่องมือในการปฏิบัติงานได้อย่างคล่องตัว แต่ผลก็คืออาจก่อภาพลักษณ์เชิงลบกับฝ่ายรัฐ เหมือนสถานการณ์ในพื้นที่ไม่ดีขึ้น และมาตรการตามกฎหมายพิเศษมีการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ทำให้เกิดแรงต้านได้เหมือนกัน
“ผมคิดว่าน่าจะเดินทางสายกลาง คือ ลดระดับความเข้มข้นของการใช้กฎหมายพิเศษ เช่น ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ แต่ใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง แทน (พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551) โดยอาจจะยกเลิกพร้อมกันทั้งหมด หรือค่อยเป็นค่อยไปอย่างที่ทำอยู่ก็ได้”
@@ ถอนทหาร - ส่งมอบพื้นที่ให้ อส. โยงบทบาท กอ.รมน.
อีกหนึ่งโจทย์ไฟใต้ที่ยึดโยงกับกรอบเวลาตามแผนยุทธศาสตร์ คือ การส่งมอบพื้นที่และสับเปลี่ยนกำลังดูแลความสงบเรียบร้อย จากฝ่ายทหาร เป็น กองกำลังอาสารักษาดินแดน หรือ อส. สังกัดกระทรวงมหาดไทย โดยมีการขีดกรอบเอาไว้ให้ดำเนินการในปี 2570
พูดง่ายๆ คือ “ถอนทหาร” เปิดทางให้ฝ่ายปกครองรับผิดชอบพื้นที่แทน
แน่นอนว่าแนวคิดนี้ไม่มีใครคัดค้าน แต่ปัญหาอยู่ที่ความพร้อม ถือเป็นความท้าทายอย่างยิ่งของรัฐบาลนายอนุทิน เนื่องจากนายกฯ ดำรงตำแหน่งควบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งเป็นผู้บัญชาการกองอาสารักษาดินแดน หรือ อส. ของทั้งประเทศด้วย
นายรักชาติ สุวรรณ์ อดีตประธานสภาประชาสังคมชายแดนใต้ กล่าวว่า เรื่องนี้หลายฝ่ายเห็นด้วย แต่ปัญหาคือความไว้วางใจ เพราะประชาชนโดยเฉพาะชาวพุทธยังไม่มั่นใจ สิ่งที่ต้องการจริงๆ คือ อส. ที่เป็นคนในพื้นที่ ไม่ใช่รับคนนอกพื้นที่เข้ามาทำงาน เพราะจะยิ่งทำให้เกิดความไม่ไว้วางใจ
นายรักชาติ ซึ่งเป็นแกนนำคนพุทธในพื้นที่ด้วย มองเรื่องการส่งมอบพื้นที่ให้ อส. โยงไปถึงบทบาทของ กอ.รมน. หรือ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ซึ่งมีหน่วย “ส่วนหน้า” ทำงานในพื้นที่ คือ กอ.รมน.ภาค 4 สน.
“มีข้อเรียกร้องให้ยุบ กอ.รมน. เป็นประเด็นการเมืองที่สำคัญ เพราะมีมุมมองถึงการปฏิบัติหน้าที่ของ กอ.รมน.ที่ทำงานย้อนแย้งกับการปฏิบัติในกระบวนการสันติภาพ แต่ก็ยอมรับว่าพื้นที่นี้ยังจำเป็นต้องมีโครงสร้างของรัฐที่ทำงานด้านความมั่นคงเป็นการเฉพาะอยู่ เพียงแต่ควรพิจารณาปรับโครงสร้างหรืออัตรากำลังทหารให้ลดลง และเปิดพื้นที่ให้ข้าราชการพลเรือนเข้ามามีบทบาทมากขึ้น”
@@ ปธ.บ้านบุญเต็ม ชงโมเดล “ปกติทีละอำเภอ”
นางบุษยมาส อิศดุลย์ ประธานกลุ่มบ้านบุญเต็ม ซึ่งทำงานภาคประชาสังคมช่วยเหลือเด็กและเยาวชนที่ถูกดำเนินคดี เสนอโมเดล “ปกติขึ้นทีละอำเภอ” โดยไม่หักดิบ
พร้อมขยายความว่า การแก้ปัญหาขัดแย้งในพื้นที่ต้องยึดหลัก 3 อย่าง คือ ลดความรุนแรงอย่างเป็นรูปธรรม, เพิ่มความไว้วางใจ และทำให้ระบบกฎหมายราชการ “ปกติขึ้นทีละอำเภอ”
“กฎอัยการศึก เก็บไว้เฉพาะจุดเสี่ยงสูง แนวป่า แนวเขตแดน และต้องมีการทบทวนทุก 90 วัน พร้อมรายงานต่อสาธารณะสั้นๆ ว่าใช้แล้วได้ประโยชน์อะไรบ้าง เพื่อลดปัญหาความไม่ไว้วางใจ”
ส่วนหน่วยงานพิเศษอย่าง กอ.รมน.ภาค 4 สน. บุษยมาส บอกว่า มีปัญหาการทำงานกับภาคประชาสังคมจริงๆ แต่การยุบทันทีระหว่างที่กระบวนการพูดคุยและแก้ปัญหาในมิติอื่นๆ ยังเดินเดิน อาจทำให้กลไกการประสานงานด้านความมั่นคงขาดตอน จึงควรออกกฎหมาย หรือระเบียบ กำหนดขอบเขตภารกิจและการสั่งการให้แคบลง เปิดให้สังคมตรวจสอบได้ พร้อมตั้งคณะกรรมการกำกับจากภาคประชาชน และกลไกรับร้องเรียนอิสระ
“ต้องโอนภารกิจที่เป็นงานของพลเรือนและงานพัฒนาไปอยู่กับมหาดไทย และ ศอ.บต.ให้มากขึ้น โดย กอ.รมน.ควรเหลือบทบาทประสานงานด้านความมั่นคงเป็นการเฉพาะเท่านั้น”
@@ กม.พิเศษด้านบวก “คงไว้” เตือนอย่าให้กระทบความรู้สึก
อีกหนึ่งข้อเสนอที่น่าสนใจไม่น้อยจาก นายดุลยรัตน์ บูยูโส๊ะ ประธานคณะขับเคลื่อนการพูดคุยสันติสุขระดับพื้นที่ ก็คือ การแยกกฎหมายพิเศษออกเป็น 2 กลุ่ม และจำกัดขอบเขตการใช้ไม่ให้กระทบความรู้สึกของพี่น้องประชาชน
“มิติของกฎหมายพิเศษ จริงๆ แล้วนอกเหนือจากกฎหมายความมั่นคง ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ยังมีกฎหมายอีก 2 ฉบับเป็นอย่างน้อยที่มีผลบังคับใช้อยู่ และใช้เฉพาะพื้นที่นี้เท่านั้น จึงเรียกว่าเป็นกฎหมายพิเศษด้วยเหมือนกัน แต่เนื่องจากทั้ง 2 ฉบับส่งผลด้วนบวกกับคนในพื้นที่ จึงไม่มีใครพูดถึง นั่นก็คือ พ.ร.บ.ศอ.บต. (พระราชบัญญัติการบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ.2553) และ พ.ร.บ.การจัดการมรดกตามหลักชารีอะห์ (พระราชบัญญัติว่าด้วยการใช้กฎหมายอิสลามในเขตต์จังหวัดปัตตานี นราธิวาส ยะลา และสตูล พ.ศ.2489 และร่างพระราชบัญญัติการใช้กฎหมายอิสลามว่าด้วยครอบครัวและมรดก พ.ศ. …) พื้นที่อื่นไม่มีสิทธิใช้นะ”
“สำหรับกฎหมายพิเศษด้านความมั่นคง ผมคิดว่าให้คงอยู่ไว้ แค่ปรับกระบวนการการใช้ไม่ให้กระทบความรู้สึกของสังคมส่วนใหญ่ เนื่องจากเวลานี้ประชาชนในพื้นที่เองยังเห็นต่างกันอยู่ จะยกเลิกหรือคงไว้ จะมีแนวทางใด อยากให้ประชาชนในพื้นที่เป็นคนตัดสิน อาจจะผ่านกระบวนการทำประชามติ หรือแนวทางใดที่กรอบกฎหมายอนุญาต ค่อยมาดูกัน”
ในความเห็นของ นายดุลยรัตน์ การใช้กฎหมายพิเศษ หากใช้ในมิติที่ถูกต้อง ก็เป็นประโยชน์เช่นกัน
“อย่างแนวคิดเรื่องนำกฎอัยการศึกมาจัดการกับยาเสพติด ถือว่าเป็นเรื่องเร่งด่วนที่สมควรทำอย่างยิ่ง เพราะความเดือดร้อนของชาวบ้านในพื้นที่ที่เป็นผลมาจากยาเสพติดนั้นมีทุกหย่อมหญ้า ทั้งอิทธิพล ลักขโมย ผู้ป่วยจิตเวช สมควรอย่างยิ่งที่ต้องแก้ปัญหาแบบบูรณาการทุกฝ่ายอย่างจริงจัง ถ้าทำตามคำสั่งไปวันๆ ก็เป็นแบบเดิม”
