
เหตุการณ์คนร้ายลอบวางระเบิดป้อมตำรวจทางหลวงบ้านกะลาพอ ริมทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 42 (ปัตตานี – นราธิวาส) ในท้องที่ หมู่ 1 ต.เตราะบอน อ.สายบุรี จ.ปัตตานี เมื่อคืนวันที่ 19 ก.ย.68 ที่ผ่านมา
นับเป็นอีกครั้งที่คนร้ายก่อเหตุโดยใช้ระเบิดแบบ “โชเล่ย์บอมบ์” ซึ่งเป็นการประกอบระเบิดแสวงเครื่องใส่ถังแก๊สหุงต้ม แล้วนำไปบรรทุกอำพรางในพ่วงข้างของรถจักรยานยนต์แบบพ่วงข้างที่ชาวบ้านชายแดนใต้เรียกกันว่า “รถโชเล่ย์” แล้วขับไปก่อเหตุ
อานุภาพความรุนแรงใกล้เคียงกับ “คาร์บอมบ์” หากใช้ปริมาณและขนาดระเบิดที่เท่าๆ กัน แตกต่างกันตรงที่ส่วนสังหาร หรือสะเก็ดระเบิดจะน้อยกว่า “คาร์บอมบ์” เพราะมีเศษซากของตัวรถจักรยานยนต์กลายเป็นสะเก็ดระเบิดได้น้อยกว่ารถยนต์ หรือรถกระบะ
ตั้งแต่ต้นปี 2568 เกิดเหตุ “คาร์บอมบ์” ขึ้น 2 ครั้ง คือ
- 8 มี.ค.68 คนร้ายยกพลบุกโจมตี อส.และขับรถยนต์เก๋งบรรทุกระเบิดเข้าไปวางคาร์บอมบ์ด้านหน้าที่ว่าการอำเภอสุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส
- 20 ส.ค.68 คาร์บอมบ์หน้าฐานปฏิบัติการชุดคุ้มครองตำบล (ชคต.) ศาลาใหม่ อ.ตากใบ จ.นราธิวาส
ขณะที่การก่อเหตุในรูปแบบ “โชเล่ย์บอมบ์” ในปี 2568 เกิดขึ้นมาแล้วทั้งหมด 5 ครั้ง ในพื้นที่ จ.นราธิวาส 4 ครั้ง และครั้งที่ 5 เกิดขึ้น ในพื้นที่ จ.ปัตตานี คือ
- 14 ก.พ.68 โชเล่ย์บอมบ์ ข้างกำแพงรั้วกองร้อย อส.อำเภอแว้ง ริมถนนราษฎร์บำรุง อ.แว้ง จ.นราธิวาส ทำให้ อส.-ชาวบ้านได้รับบาดเจ็บ 25 ราย
- 15 ก.พ.68 โชเล่ย์บอมบ์ ข้างกำแพงฐานปฏิบัติการ หน่วยปฏิบัติการพิเศษดุซงญอ (นปพ.ดุซงญอ) อ.จะแนะ จ.นราธิวาส แรงระเบิดทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับบาดเจ็บ 1 นาย
- 13 เม.ย.68 โชเล่ย์บอมบ์ ริมกำแพงวัดบ้านไทย หมู่ 3 ต.ตันหยงมัส อ.ระแงะ จ.นราธิวาส ทำให้เจ้าหน้าที่ทหารพรานได้รับบาดเจ็บ 4 นาย
- 20 เม.ย.68 โชเล่ย์บอมบ์ ริมรั้วกำแพงหลังแฟลตตำรวจ สภ.โคกเคียน อ.เมือง จ.นราธิวาส ตำรวจและชาวบ้านเจ็บ 10 ราย
- 19 ก.ย.68 โชเล่ย์บอมบ์ ป้อมตำรวจทางหลวงบ้านกะลาพอ ริมทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 42 (ปัตตานี – นราธิวาส) ในท้องที่ หมู่ 1 ต.เตราะบอน อ.สายบุรี จ.ปัตตานี ไม่มีผู้บาดเจ็บ
สาเหตุที่โชเล่ย์บอมบ์เกิดเยอะและถี่กว่าคาร์บอมบ์ น่าจะเป็นเพราะกลุ่มคนร้ายสามารถดำเนินการจัดหารถจักรยานยนต์มาต่อพ่วงข้าง ประกอบระเบิดใส่พ่วงข้าง แล้วอำพรางออกไปก่อเหตุได้ง่ายกว่า “คาร์บอมบ์” แต่อานุภาพใกล้เคียงและสร้างความเสียหายได้ไม่แพ้กัน ทำให้มีแนวโน้มการวางระเบิดแบบ “โชเล่ย์บอมบ์” จะถูกนำมาใช้บ่อยขึ้น
ที่สำคัญนอกจากความรุนแรงในรูปแบบของความเสียหายทางชีวิตและทรัพย์สินแล้ว การก่อเหตุ “โชเล่ย์บอมบ์” ของปีนี้ ในบางเหตุการณ์ยังก่อผลกระทบอื่นต่อเนื่องนอกเหนือจากความรุนแรงด้วย
อย่างเช่น เหตุ “โชเล่ย์บอมบ์” ริมกำแพงแฟลตตำรวจ สภ.โคกเคียน เคสนี้นอกจากสร้างเสียหายและมีผู้บาดเจ็บเป็นเด็กนักเรียนแล้ว ยังทำให้เกิดปัญหาความขัดแย้งกันเองของเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่อย่างรุนแรง เริ่มจากการสั่งย้าย พ.ต.อ.วีรยุทธ ตาสีพันธุ์ ผกก.สภ.โคกเคียน เจ้าของพื้นที่ โดยให้เหตุผลว่าปล่อยปละละเลยจนทำให้เกิดเหตุระเบิด
ทำให้ทาง ผกก.สภ.โคกเคียน รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้รับความเป็นธรรม เพราะทำงานและอยู่ในพื้นที่ตลอด แต่เหตุที่เกิดขึ้นเป็นเหตุสุดวิสัย พร้อมทั้งต่อว่าไปยัง พล.ต.ต.ไมตรี สันตยากุล ผบก.ภ.จว.นราธิวาส ว่าไม่เคยทำงานลงพื้นที่มาดูแลลูกน้อง เอาเวลาไปต้อนรับแต่ฝ่ายการเมือง รวมถึงตั้งคำถามถึงความโปร่งใสในการบริหารงานของ พล.ต.ท.ปิยวัฒน์ เฉลิมศรี ผบช.ภาค 9 จนทำให้เรื่องลุกลามบานปลาย มีการตั้งกรรมการสอบสวน และแจ้งความดำเนินคดีกันเลยทีเดียว
แม้วันนี้ ผบก.ภ.จว.นราธิวาส (พล.ต.ต.ไมตรี) จะถูกย้ายออกไปจากพื้นที่ไปแล้วเช่นกัน แต่ปัญหาความขัดแย้งก็ยังไม่ได้ข้อยุติ
นอกจากนี้การวางระเบิด “โชเล่ย์บอมบ์” ใน 3 ครั้งแรกของปี พบว่ามีเป้าหมายในการก่อเหตุคล้ายคลึงกัน คือมีการนำไปวางข้างรั้วของฐานที่ตั้งของหน่วยกำลังฝ่ายความมั่นคงครบทั้ง 3 ฝ่าย คือ กองร้อย อส.แว้ง, ฐานปฏิบัติการ ตำรวจ นปพ.ดุซงญอ อ.จะแนะ และฐานปฏิบัติการทหารพราน อ.ระแงะ ทั้งหมดอยู่ใน จ.นราธิวาส ซึ่งในเคสของกองร้อย อส.แว้ง เกิดความเสียหายเป็นวงกว้าง และมีผู้บาดเจ็บมากถึง 25 ราย
ส่วนเหตุการณ์ “โชเล่ย์บอมบ์” ครั้งล่าสุดที่ป้อมตำรวจทางหลวงกะลาพอ อ.สายบุรี จ.ปัตตานี แม้ภาพความเสียหายจะรุนแรง และยังก่อผลกระทบไปยังอาคารบ้านเรือนประชาชนที่อยู่ใกล้เคียงด้วย แต่เหตุการณ์นี้ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตแต่อย่างใด
แม้เจ้าหน้าที่จะให้ข้อมูลว่า เหตุ “โชเล่ย์บอมบ์” ที่เกิดขึ้นที่ป้อมตำรวจทางหลวงกะลาพอ จะเป็นการตอบโต้ของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ หลังจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงปฏิบัติการเชิงรุกไล่ล่าและวิสามัญฆาตกรรมสมาชิกของกลุ่มที่เคลื่อนไหวก่อเหตุในพื้นที่ปัตตานี ได้ถึงพื้นที่ อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา เมื่อวันที่ 11 ก.ย.68 ที่ผ่านมา
แต่ยังมีข้อสังเกตว่า การก่อเหตุ “โชเล่ย์บอมบ์” ครั้งล่าสุดเกิดขึ้นที่ปัตตานี โดย 4 ครั้งแรกของปีเกิดขึ้นในพื้นที่ จ.นราธิวาสทั้งหมดนั้น อาจจะมองได้ว่าเป็นการขยายพื้นที่การก่อเหตุมายัง จ.ปัตตานี เพื่อแสดงศักยภาพว่า กลุ่มก่อความไม่สงบมีเครือข่ายที่ยังสามารถเคลื่อนไหวได้ในหลายๆ พื้นที่
ทั้งยังเป็นการส่งสัญญาณไปยังรัฐบาลชุดใหม่ที่เพิ่งเข้ารับหน้าที่ ให้กลับมาเดินหน้าเรื่องของการพูดคุยสันติภาพที่หยุดชะงักไปนานข้ามปีอีกด้วย
