
ศอ.บต. จับมือ ปภ. ผนึกกำลังรับมืออุทกภัยใหญ่ชายแดนภาคใต้ หลังมีคาดการณ์ 17-22 พ.ย.นี้ ฝกตกหนักต่อเนื่องใน 11 จังหวัด สรุปบทเรียนปัญหาปีที่แล้ว ปิดช่องโหว่ปีนี้ ยก “ปภ.จังหวัด” เป็นเจ้าภาพจัดระบบครบวงจร ส่วนหน่วยอื่น ทั้งทหาร พลเรือน เป็นหน่วยสนับสนุน ตั้ง “ศูนย์ช่วยเหลือ” เชื่อมการทำงานเป็นจุดเดียว
หลังจากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เผยแพร่ประกาศของสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ให้เฝ้าระวังสถานการณ์ น้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก ในพื้นที่ภาคใต้ เนื่องจากมีการคาดการณ์ว่าจะมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางพื้นที่ ตั้งแต่วันที่ 17-22 พ.ย.68 มีพื้นที่เฝ้าระวังครอบคลุมถึง 11 จังหวัด
โดยเน้นย้ำให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงเฝ้าระวังน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก น้ำท่วมขัง และดินโคลนถล่ม ทุกอำเภอของ จ.สงขลา จ.ปัตตานี จ.ยะลา และ จ.นราธิวาส ทั้งยังมีการเฝ้าระวังระดับน้ำเพิ่มสูงและล้นตลิ่งในพื้นที่ลุ่มต่ำของแม่น้ำสายหลักและลำน้ำสาขาของ แม่น้ำปัตตานี และแม่น้ำสายบุรี นั้น

ล่าสุด นายนันทพงศ์ สุวรรณรัตน์ รองเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) เปิดเผยถึงแนวทางการเตรียมความพร้อมและปรับปรุงการทำงานเพื่อรับมือกับภัยพิบัติในปีนี้ โดยเฉพาะอุทกภัยช่วงปลายปี ว่า ได้นำบทเรียนจากปีที่ผ่านมา ซึ่งพบปัญหาความไม่ลงตัวในการบริหารจัดการ เนื่องจากสถานการณ์หนักและมีหลายหน่วยงานเข้ามาพร้อมกัน
ฉะนั้นการทำงานปีนี้จะเน้นการจัดระบบและประสานงานร่วมกับ ปภ.จังหวัด ซึ่งทำหน้าที่เป็น “แม่งาน” ในการจัดระบบ ตั้งแต่การช่วยเหลือ การจำแนกพื้นที่เสี่ยงภัย ไปจนถึงการปฏิบัติการในระดับท้องถิ่น/หมู่บ้าน/ชุมชน

“ศอ.บต.จะดึงศักยภาพและพลังของภาคประชาสังคมและภาคประชาชนเข้ามาเสริม โดยมีการกำหนดกติกาให้การทำงานขององค์กรภาคประชาชนต้องสอดคล้องกับแผนของ ปภ.จังหวัด เพื่อให้การช่วยเหลือตอบโจทย์กับพื้นที่เสี่ยงภัยอย่างแท้จริง และยังช่วยลดภาระงบประมาณของภาครัฐด้วย”
รองเลขาฯ ศอ.บต. กล่าวต่อว่า เพื่อให้เกิดความคล่องตัว ศอ.บต.จะทำหน้าที่เป็น “หน่วยสนับสนุน” ร่วมกับ กองทัพภาคที่ 4 โดยจะจัดระบบให้ “ศูนย์สนับสนุน” เหล่านี้เป็นศูนย์รวมเดียวกัน และเชื่อมโยงการทำงานกับจังหวัดเพียงจุดเดียว จึงเชื่อมั่นว่าการเตรียมการที่รอบคอบนี้จะช่วยลดผลกระทบและความสูญเสียที่จะเกิดขึ้นกับพี่น้องประชาชนได้
@@ พ่อเมืองนราฯ สั่งเฝ้าระวังพื้นที่ลาดเชิงเขา

ขณะที่ นายวีรพัฒน์ บุณฑริก รองผู้ว่าราชการจังหวัด รักษาราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส ได้แจ้งเตือนให้เฝ้าระวังสถานการณ์ทั้ง 13 อำเภอ โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขา ซึ่งได้แก่ อ.เมืองนราธิวาส, อ.บาเจาะ, อ.รือเสาะ, อ.ยี่งอ, อ.ศรีสาคร, อ.ระแงะ, อ.ตากใบ, อ.เจาะไอร้อง, อ.จะแนะ, อ.สุคิริน, อ.สุไหงปาดี, อ.สุไหงโก-ลก และ อ.แว้ง โดยได้จัดเจ้าหน้าที่ บุคลากร และอุปกรณ์เข้าเผชิญเหตุเพื่อช่วยเหลือประชาชนได้อย่างทันท่วงที
@@ ยะลาเตือนโคลนถล่ม “เบตง-นังตา-ธารโต”
ด้าน นายมูฮัมมัด ศานติภิมุข รองผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา กล่าวว่า กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดยะลา ได้แจ้งเตือนหน่วยงานให้เตรียมพร้อมรับมือ โดยเน้นย้ำพื้นที่เสี่ยงน้ำป่าไหลหลาก ดินโคลนถล่ม อย่าง อ.เบตง, อ.ธารโต, อ.บันนังสตา, อ.กาบัง, อ.กรงปีนัง, และ อ.ยะหา พื้นที่ที่ระดับน้ำอาจเพิ่มขึ้นฉับพลัน/น้ำท่วมขัง อ.เมืองยะลา, อ.รามัน, และ อ.ยะหา
“ยังได้กำชับให้ทุกหน่วยงานในจังหวัดติดตามสภาพอากาศอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีฝนตกสะสมเกิน 90 มิลลิเมตรใน 24 ชั่วโมง รวมถึงการตรวจสอบซ่อมแซมแนวคันริมแม่น้ำ และเร่งกำจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำ พร้อมทั้งปรับแผนการบริหารจัดการน้ำในแหล่งเก็บกักน้ำทุกขนาดให้เหมาะสมกับสถานการณ์และอิทธิพลของน้ำทะเล เพื่อให้สามารถเร่งระบายและพร่องน้ำ รองรับฝนที่คาดว่าจะตกหนักอย่างเต็มที่ต่อไป” รองผู้ว่าฯยะลา ระบุ
