
ตกเป็นกระแสฮือฮาในพื้นที่ชายแดนใต้มาระยะหนึ่ง นั่นก็คือข่าว พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ได้รับทาบทามเป็น “แคนดิเดตนายกฯของพรรคเพื่อไทย”
สาเหตุที่เรื่องนี้ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง เพราะพรรคประชาชาติคือ “แชมป์ สส.ชายแดนใต้” และภาพของ พ.ต.อ.ทวี ก็คือ “คนการเมือง” ที่ได้รับการยอมรับอย่างสูงในพื้นที่ ทั้งๆ ที่ไม่ใช่คนสามจังหวัด และไม่ใช่คนมุสลิม
ข่าวเกี่ยวกับ พ.ต.อ.ทวี ออกมาไล่หลังจากกรณี “ท็อป” วราวุธ ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ถูกพูดถึงเป็นคนแรกว่าจะไปนั่งเป็นแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคสีแดง แต่ล่าสุดมีข่าวใหม่ว่าอาจจะไปพรรคภูมิใจไทยเสียแล้ว
ทำให้สปอตไลต์ “ดึงคนนอกพรรคไปนั่งเป็นแคนดิเดตเพื่อไทย” เหลือเพียง พ.ต.อ.ทวี คนเดียว
ล่าสุดมีความเคลื่อนไหวที่ทำให้ตีความได้ว่า พ.ต.อ.ทวี อาจจะไม่ทิ้งพรรคประชาชาติที่ตัวเองนั่งเป็น “หัวหน้า” อยู่ในขณะนี้ ไปเป็นแคนดิเดตนายกฯให้พรรคเพื่อไทย เพราะเมื่อวันพุธที่ 19 พ.ย.68 ยังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคเพื่อเดินหน้าสู้ศึกเลือกตั้ง พร้อมลงนามในประกาศรับสมัคร ผู้ประสงค์ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ทั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง และแบบบัญชีรายชื่อ ของพรรค รวมถึงออกประกาศอย่างเป็นทางการเป็นที่เรียบร้อย

การประชุมมีขึ้น ณ ที่ทำการพรรค ย่านดอนเมือง กรุงเทพฯ พ.ต.อ.ทวี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาชาติ พร้อมด้วย นายซูการ์โน มะทา สส.ยะลา ในฐานะเลขาธิการพรรคประชาชาติ ตลอดจน สส.ของพรรค และคณะกรรมการบริหารพรรค ได้ประชุมร่วมกันอย่างพร้อมเพรียง โดยมีวาระพิจารณาหลายเรื่อง เช่น การสรรหาผู้สมัคร สส.ทั้งแบบแบ่งเขต และบัญชีรายชื่อ โดยได้ร่วมประชุมออนไลน์กับกรรมการบริหารพรรคที่อยู่ในจังหวัดชายแดนใต้ไปพร้อมกันด้วย
ภายหลังการประชุม พรรคประชาชาติได้เผยแพร่ประกาศ เรื่อง การรับสมัครสมาชิกผู้ประสงค์ลงสมัครรับเลือกตั้ง เป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง และแบบบัญชีรายชื่อ ตั้งแต่ต่วันที่ 17 พ.ย.68 ถึง วันที่ 30 พ.ย.68 ณ สำนักงานพรรคประชาชาติ (ดอนเมือง) เลขที่ 9/22-23 ซอยเชิดสุข 1 ถนนเชิดวุฒากาศ แขวงสีกัน เขตดอนเมือง กรุงเทพมหานคร (อ่านรายละเอียดตามเอกสาร)

@@ ประชาธิปัตย์ขอทวงเก้าอี้ชายแดนใต้
ก่อนถึงยุคประชาชาติเป็นแชมป์ สส.ชายแดนใต้ ดินแดนปลายด้ามขวานเคยเป็นฐานเสียงสำคัญของพรรคประชาธิปัตย์มาก่อน
โดยเฉพาะยุคหลังเกิดโศกนาฏกรรมตากใบ เมื่อ 25 ต.ค.47 กวาด สส.กลุ่มวาดะห์ที่ร่วมรัฐบาลไทยรักไทยในยุคที่เกิดเหตุการณ์ ตกเวทีไปจนหมด รวมถึงผู้สมัครทุกคนที่สวมเสื้อพรรคเครือข่ายของเพื่อไทยในการเลือกตั้งทุกครั้งที่เกิดขึ้นต่อมาด้วย
ส่งผลให้พรรคประชาธิปัตย์ยึดภาคใต้ตลอดด้ามขวาน จนถึงสุดปลายขวานมากว่า 1 ทศวรรษ กระทั่งมนต์ขลังเริ่มเสื่อมคลายในการเลือกตั้งปี 62 ต่อด้วยปี 66 ซึ่งมีการก่อกำเนิดของพรรคประชาชาติ ภายใต้การประสานมือระหว่าง “ประมุขวาดะห์” อย่าง “อาจารย์วันนอร์” วันมูหะมัดนอร์ มะทา กับอดีตเลขา ศอ.บต.คนดัง พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง
ประชาธิปัตย์ไม่ใช่แค่กระแสตกธรรมดา แต่ถึงขั้น “ตกต่ำ” โดยเฉพาะในการเเลือกตั้งปี 62 กับปี 66 ที่ได้ สส.สามจังหวัดชายแดนภาคใต้มาเพียง 1 ที่นั่ง จาก 11 และ 13 ที่นั่งตามลำดับ
วันนี้ประชาธิปัตย์มาถึงยุค “ผลัดใบ” อีกรอบ แต่เป็นการ “ผลัดใบเก่า” ให้หวนคืนสู่บรรยากาศเก่าๆ ไม่ใช่การ “ผลัดใบใหม่” ตามความหมายของการเปลี่ยนแปลงทั่วไป
ประชาธิปัตย์จึงพยายามขับเคลื่อนเพื่อค้นหา “ความสำเร็จเก่าๆ” ในดินแดนปลายด้ามขวาน สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ อย่างเช่นการเลือกตั้งปี 54 ที่ได้ สส.ถึง 9 ที่นั่ง จาก 11 ที่นั่ง (ก่อนจะมาเหลือแค่ 1 ที่นั่งในการเลือกตั้ง 2 ครั้งต่อมา)
@@ “อดีต รมต.แทน” บุกนราฯ อ้าแขนรับว่าที่ผู้สมัคร สส.

เมื่อเร็วๆ นี้ ที่ห้องประชุมอ่าวมะนาวรีสอร์ท ต.กะลุวอเหนือ อ.เมือง จ.นราธิวาส นายชัยชนะ เดชเดโช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จัดกิจกรรมพบปะสมาชิกที่แสดงความจำนงเป็นผู้สมัคร สส.ของพรรคประชาธิปัตย์ ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ คือ จ.ยะลา ปัตตานี นราธิวาส
ปรากฏว่ามีผู้แสดงความจำนง และมาประชุมถึง 30 คน จากเขตเลือกตั้งที่มี 13 เขต แบ่งเป็น จ.ยะลา 3 เขต, ปัตตานี 5 เขต และนราธิวาส 5 เขต
งานนี้มี นายเจะอามิง โตะตาหยง รองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ เป็นผู้รับผิดชอบคัดเลือกผู้ที่แสดงความจำนง โดยพิจารณาจากวุฒิภาวะ ประสบการณ์ด้านการเมือง และคุณสมบัติเด่นอื่นๆ เพื่อนำรายชื่อเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการสรรหา และจะประกาศรายชื่อผู้สมัครอย่างเป็นทางการ ภายในต้นเดือน ธ.ค.
@@ ปลุกนโยบายตรวจสอบการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ

นายชัยชนะ กล่าวในที่ประชุมตอนหนึ่งว่า นโยบายของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งด้านหนึ่งมาจากเสียงสะท้อนจากในพื้นที่ด้วยก็คือ การใช้กฎอัยการศึก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ หรือกระบวนการยุติธรรมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ บางครั้งใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรม
“ถ้าบอกว่าเขาจะถูกนำไปเป็นพยาน ก็ควรเชิญไปตามกระบวนการ ไม่ใช่นำกำลังเป็นสิบเป็นร้อยนายไปปิดล้อมบ้าน จนเพื่อนบ้านเข้าใจผิด คิดว่าเขาเป็นผู้ก่อเหตุ ส่งผลกระทบกับครอบครัว ทั้งด้านภาพลักษณ์และสภาพจิตใจ”
“ถ้าย้อนกลับไปสมัยรัฐบาลท่านชวน หลีกภัย เหตุความไม่สงบไม่ได้รุนแรงเท่าวันนี้ แม้ในปี 2552 ตอนที่เราเป็นรัฐบาล เราก็พยายามแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง ผมจึงเชื่อว่าปัญหาชายแดนใต้ต้องแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ 1.ผู้ก่อเหตุความไม่สงบ ซึ่งมีอยู่จริง 2.เจ้าหน้าที่รัฐที่อาจมีส่วนร่วมในความไม่เป็นธรรม รัฐต้องจัดการอย่างเด็ดขาด ถ้าเจ้าหน้าที่รัฐไม่เกี่ยวข้อง การก่อเหตุก็จะไม่ทำได้ง่ายขนาดนี้แน่นอน”
@@ เล่นบทเข้ม ขู่ตรวจ “งบลับ” รื้อประมูลงานสามจังหวัด

นายชัยชนะ กล่าวอีกว่า นโยบายสันติภาพของประชาธิปัตย์ ต้องเป็นการพูดคุยแบบ “เปิดใจและเข้าใจบริบทจริง” ไม่ใช่แค่พูดคุยเชิงวรรณกรรม
“วันนี้พี่น้องในสามจังหวัดจำนวนมากอพยพออกนอกพื้นที่เพราะความไม่ปลอดภัย รัฐบาลต้องสร้างอาชีพ สร้างความมั่นคง สร้างแรงจูงใจให้คนอยู่ในระบบ เพื่อให้มีรายได้มั่นคง พร้อมกับปลูกฝังค่านิยมการอยู่ร่วมกันในสังคมพหุวัฒนธรรม”
“เราต้องถามรัฐบาลตรงๆ ว่า จริงจังแค่ไหน? ผมขอเรียกร้องไปยังท่านนายกรัฐมนตรี เวลาลงพื้นที่สามจังหวัดใต้ ต้องลงด้วยหัวใจ ไม่ใช่หวังแค่ดึง สส. เพื่อสร้างเสียงข้างมากในสภา ประชาชนเสียชีวิตอีกกี่ศพ ต้องเกิดเหตุร้ายอีกกี่ครั้ง ราคายางต้องตกต่ำอีกแค่ไหน ท่านถึงจะจริงจัง ท่านพูดเสมอว่าชายแดนใต้คือหัวใจของปลายด้ามขวาน แต่หัวใจจริงๆ คือประชาชน ไม่ใช่จำนวน สส. ของพรรคท่าน ผมอยากให้ท่านประกาศให้ชัดว่าภายในหนึ่งเดือน จะแก้ปัญหาความไม่เป็นธรรม กฎอัยการศึก และเหตุร้ายในพื้นที่อย่างไร เพราะ 2 เดือนที่ผ่านมาเราเห็นเพียงการดูด สส. เท่านั้น”
รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวด้วยว่า ถ้าพรรคได้กลับมาเป็นรัฐบาล จะแก้ปัญหาชายแดนใต้ด้วยความจริงใจและจริงจัง จะเปิดคลินิกกฎหมายให้ความรู้ประชาชนเกี่ยวกับกฎอัยการศึก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ พร้อมกับรวบรวมผู้เสียหายทั้งหมดเพื่อตรวจสอบว่าหน่วยงานรัฐได้เยียวยาอะไรแล้วบ้าง ทัึ้งจะตรวจสอบงบประมาณลับของทุกหน่วยงานด้านความมั่นคงว่า ถูกใช้ไปเพื่อแก้ปัญหาจริงหรือไม่ รวมถึงตรวจสอบการจัดซื้อจัดจ้างในสามจังหวัดชายแดนใต้ ว่าเป็นไปตามขั้นตอนหรือใช้วิธีพิเศษที่อาจมีการทุจริต
@@ จุดขาย “อภิสิทธิ์” ปลดแอก “ผู้กำกับการเมือง”

นายชัยชนะ ยังบอกทิ้งท้ายถึงจุดขายของประชาธิปัตย์ว่า เน้นแข่งขันทางความคิด ชิงนำเสนอนโยบายที่จับต้องได้ และประชาชนเชื่อมั่น เชื่อว่าจะได้ความศรัทธากลับคืนมา
อีกส่วนหนึ่ง คือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ต้องยอมรับเป็นนักการเมืองในประเทศนี้ ใช้คำว่าน่าจะหายากเป็นผู้นำที่มีสัจจะ รักษาคำพูดและสุจริต
“ท่านเป็นผู้นำที่มีจิตวิญญาณ ท่านไม่มีใครอยู่ข้างหลัง เราทราบดีว่าถ้าเลือกพรรคไหนไป มีใครอยู่ข้างหลัง เลือกน้ำเงินใครควบคุม เลือกแดงใครควบคุม เลือกส้มใครควบคุม ถ้าแบบนั้นเลือกประชาธิปัตย์แน่นอนกว่า เพราะคนอยู่ข้างหลังคือประชาชน”
@@ ลุยปัตตานี รับฟังเหยื่อบังคับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ

สำหรับการลงพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของนายชัยชนะ เดชเดโช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และคณะ ก่อนหน้าไปนราธิวาส ได้ลงพื้นที่หมู่ 1 ต.เขาตูม อ.ยะรัง จ.ปัตตานี เพื่อเยี่ยมครอบครัวผู้ได้รับผลกระทบจากกรณีการบังคับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉอินฯ โดยมีตัวผู้ที่ได้รับผลกระทบ ผู้แทนชุมชน และประชาชนในหมู่บ้านร่วมแลกเปลี่ยนข้อมูล
ทั้งยังเดินทางต่อไปยัง สภ.โสร่ง ต.เขาตูม อ.ยะรัง จ.ปัตตานี เพื่อสอบถามข้อเท็จจริงและข้อมูลการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ที่เกี่ยวข้องกับข้อร้องเรียนของชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากการบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงด้วย
