ตามดูความสำเร็จโครงการนำรถคนไทยจากฝั่งมาเลเซียข้ามแดนกลับมาตุภูมิ หลังต้องจอดทิ้งนานหลายเดือนเพราะปิดพรมแดน ปิดประเทศจากสถานการณ์โควิด ขณะที่ "บิ๊กเดฟ" แม่ทัพภาค 4 ประชุมทุกหน่วย วางมาตรการสกัดไวรัสร้าย หลังระบาดซ้ำฝั่งประเทศเพื่อนบ้านใกล้ชายแดนไทย
ปัญหาที่หลายคนอาจไม่ได้นึกถึง ซึ่งเป็นผลพวงจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ก็คือ รถยนต์ของคนไทยที่ไปทำงานในมาเลเซีย ต้องถูกจอดทิ้งไว้นานหลายเดือน เพราะการผ่อนผันให้คนไทยจากประเทศเพื่อนบ้านเดินทางกลับมาตุภูมิผ่านด่านพรมแดนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ 5 ช่องทาง ตั้งแต่วันที่ 18 เม.ย.63 นั้น ให้เข้ามาเฉพาะคน แต่ไม่อนุญาตให้นำยานพาหนะเข้ามาด้วย
สถานการณ์ในห้วงที่ผ่านมาคือ 1. รัฐบาลมาเลเซียประกาศล็อคดาวน์ประเทศ ปิดการคมนาคมทั้งหมด 2. รถที่มีการสัญจรบนท้องถนนจะมีเฉพาะรถเจ้าหน้าที่รัฐที่อยู่ระหว่างการปฏิบัติหน้าที่เท่านั้น 3. คนส่วนใหญ่อยู่ในบ้าน ขณะที่ร้านค้าและสถานประกอบการส่วนใหญ่ปิดทั้งหมด 4. คนไทยที่จะกลับประเทศ และนำยานพาหนะกลับมาไม่ได้ จึงต้องตัดสินใจจอดไว้ที่บ้านญาติหรือเพื่อนฝูง แต่ก็มีอยู่เป็นจำนวนมากที่ต้องเช่าที่จอดรถในประเทศมาเลเซีย ซึ่งมีค่าใช้จ่ายประมาณวันละ 60-70 บาท ซึ่งขณะนี้ล่วงเลยมาประมาณ 4 เดือนแล้ว ค่าใช้จ่ายสะสมจึงอยู่ที่ประมาณ 7,000-8,000 บาทต่อคัน 5. คนไทยที่กลับมามีปัญหาตกงาน ว่างงาน จะกลับไปมาเลเซียก็ไม่ได้ เพราะยังมีการแพร่ระบาดของโควิด หากจะเช่าพื้นที่จอดรถไปเรื่อยๆ ก็เป็นภาระที่เกินจะรับไหว
จากสถานการณ์นี้ หน่วยงานภาครัฐทั้งจังหวัดนราธิวาส และอำเภอสุไหงโก-ลก ไม่ได้เพิกเฉย ได้พยายามใช้ทุกช่องทางเพื่อหาทางออก ล่าสุด นายรุ่งเรือง ธิมาบุตร นายอำเภอสุไหงโก-ลก กล่าวว่า ผลจากการเจรจาของหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องกับชายแดนในระดับท้องถิ่นของอำเภอสุไหงโก-ลก กับรัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย ได้บรรลุข้อตกลงร่วมกันที่จะนำรถยนต์ของคนไทยในประเทศมาเลเซียกลับเข้ามาในราชอาณาจักร โดยดีเดย์นำรถยนต์จากมาเลเซียกลับเข้ามาในวันแรก วันที่ 10 ส.ค.63 โดยมีเจ้าหน้าที่ของอำเภอสุไหงโก-ลก จำนวน 5 คนเข้าไปรับรถยนต์ทั้งหมดบริเวณเส้นแบ่งเขตระหว่างประเทศ สะพานมิตรภาพไทย-มาเลเซีย
ผ่านไป 2 วัน (นับถึงวันที่ 11 ส.ค.) มียานพาหนะถูกส่งกลับเข้ามา 30 คัน จากที่ลงทะเบียนไว้ทั้งหมด 114 คัน
"แบยา นายกิริยา อาแซ เจ้าหน้าที่ปกครองประจำที่ว่าการอำเภอสุไหงโก-ลก เป็นฝ่ายประสานงานระหว่างประเทศ ซึ่งได้มีการแสดงความจริงใจของเจ้าหน้าที่หน่วยงานชายแดนของทั้ง 2 ประเทศ และเล็งเห็นความเดือดร้อน จึงตัดสินใจเปิดด่านเพื่อให้รถยนต์ของไทยกลับออกมาจากประเทศมาเลเซีย ถือเป็นโมเดลต้นแบบแห่งแรกของการแก้ปัญหาผลกระทบจากโควิด-19 ระหว่างประเทศในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ โดยได้รับความร่วมมือจากทางการมาเลเซียอย่างเต็มที่" นายอำเภอสุไหงโกลก กล่าว
ขณะที่ นายแพทย์วิเศษ สิรินทรโสภณ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนราธิวาส ได้ชี้แจงแนวทางการปฏิบัติตามมาตรการด้านสาธารณสุข เนื่องจากประเทศมาเลเซียยังเป็นท้องที่นอกราชอาณาจักรที่เป็นเขตโรคติดต่ออันตราย จึงต้องดำเนินการทุกขั้นตอนด้วยความรอบคอบรัดกุม ป้องกันความเสี่ยงที่จะนำเชื้อกลับเข้ามาภายในประเทศ
นายแพทย์วิเศษ บอกว่า แนวทางการปฏิบัติคือ บุคคลที่จะเดินทางเข้าไปรับรถจากหน้าด่านพรมแดนรันเตาปันยัง (ด่านพรมแดนฝั่งตรงข้ามด่านสุไหงโก-ลก) จะต้องแต่งกายด้วยชุดปฏิบัติหน้าที่ป้องกันการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 และรถทุกคันนอกจากการฆ่าเชื้อภายนอกรถแล้ว จำเป็นต้องตากแดดเพื่อฆ่าเชื้อทั้งภายในและภายนอกเพิ่มเติม เพราะหากมีบุคคลใดที่เป็นผู้ติดเชื้อสัมผัสรถจากต้นทางที่ประเทศมาเลเซีย เมื่อนำรถกลับมาแล้วขับกลับบ้านทันที เจ้าของรถก็จะมีโอกาสติดเชื้อ และแพร่เชื้อไปยังบุคคลอื่นๆ ด้วย ฉะนั้นจึงจำเป็นต้องจอดไว้ที่หน้าด่านพรมแดนสุไหงโกลกเป็นระยะเวลา 3 วัน ก่อนนำรถกลับไปใช้งานได้ตามปกติ
"บิ๊กเดฟ" ถกรับมือโควิดระบาดมาเลย์ใกล้แนวชายแดนไทย
อีกด้านหนึ่ง ที่ห้องประชุมด่านศุลกากรสะเดา อ.สะเดา จ.สงขลา พล.ท.พรศักดิ์ พูลสวัสดิ์ หรือ "บิ๊กเดฟ" แม่ทัพภาคที่ 4 และผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ได้ร่วมประชุมติดตามการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ตามแนวชายแดนไทยที่ติดกับประเทศมาเลเซีย หลังมาเลเซียพบการแพร่ระบาดเพิ่ม 25 ราย ซึ่งเป็นผู้ติดเชื้อรายใหม่ กระจายอยู่ในรัฐเคดาร์ เปอร์ลิส โดยเฉพาะ Pulau Pinong (พูเลา ปีนัง) ซึ่งเป็นเขตพื้นที่ติดชายแดนไทย ห่างจาก อ.สะเดา จ.สงขลา เพียง 18 กิโลเมตร และยังมีช่องทางธรรมชาติที่สามารถลักลอบเข้าประเทศไทยได้
หลังเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดรอบใหม่ ทางการมาเลเซียได้ประกาศล็อคดาวน์เฉพาะพื้นที่ แต่ไม่มีการปิดพรมแดนระหว่างรัฐ ทำให้แม่ทัพภาคที่ 4 ห่วงใยในสถานการณ์ โดยเฉพาะการขนส่งสินค้าจากมาเลเซียเข้ามายังฝั่งไทย และแรงงานต่างด้าวที่อาจลักลอบเข้ามา จึงได้ประชุมร่วมกับ นายจารุวัฒน์ เกลี้ยงเกลา ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา พล.ต.เกรียงไกร ศรีรักษ์ รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดสงขลา นายอำเภอสะเดา นายด่านศุลกากรสะเดา และส่วนราการอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อวางมาตรการรับมือ โดยเฉพาะการป้องกันขนส่งรถสินค้า สกัดแรงงานต่างด้าวที่ลักลอบเข้าเมือง ซึ่งมักจะมีกลุ่มนายหน้าทั้งฝั่งไทยและมาเลเซียนำพาเข้ามา
ในการนี้ แม่ทัพภาคที่ 4 ได้มอบหมายให้กองกำลังเทพสตรี และตำรวจ ประสานการทำงาน ดำเนินการกับกลุ่มนายหน้าดังกล่าว พร้อมย้ำเตือนเรื่องการสวมหน้ากากอนามัยที่ยังคงเป็นเรื่องสำคัญ และเจ้าหน้าที่ที่ทุกคนต้องตระหนัก การ์ดอย่าตก เจ้าหน้าที่ของรัฐต้องเป็นแบบอย่างให้ประชาชนในการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง
นอกจากนั้นที่ประชุมยังได้หารือเกี่ยวกับการช่วยเหลือคนไทยที่ฝากยานพาหนะไว้ที่มาเลเซีย ซึ่งฝั่งพรมแดน อ.สะเดา มีอยู่ประมาณ 49 คัน โดยขณะนี้มาเลเซียยังไม่อนุญาตให้คนไทยข้ามฝั่งเข้าไปเพื่อนำยานพาหนะกลับออกมา แต่ถ้าเป็นกรณีคนไทยที่ยังอยู่ในมาเลเซีย และประสงค์จะเดินทางกลับประเทศไทยหลังวันที่ 31 ส.ค. ก็สามารถเดินทางมาพร้อมกับยานพาหนะของตนได้ โดยต้องประสานกับกงสุลใหญ่เมืองปีนัง