ความเคลื่อนไหวของพรรคการเมืองต่างๆ ยังคงคึกคักอย่างยิ่ง แม้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพิ่งออกมาสำทับเมื่อวันศุกร์ที่ 3 ธ.ค.64 ว่าจะอยู่ในตำแหน่งจนครบวาระในปี 66
ยังคงเป็นกระแสที่วิจารณ์กันไม่จบ สำหรับปม “หมายจับอลเวง” คดี “เสี่ยโจ้ น้ำมันเถื่อน”
มีความคืบหน้าเกี่ยวกับ “หมายจับเสี่ยโจ้” ซึ่งกลายเป็น “หมายจับอลเวง” ไปแล้ว
อดีตนายกรัฐมนตรี ตอกย้ำประวัติศาสตร์บาดแผลของผู้คนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้อีกครั้ง ด้วยการออกมาโยนความผิดให้ทหาร ทำให้เกิดโศกนาฏกรรมตากใบ โดยที่ตนเองในฐานะนายกรัฐมนตรีได้เกี่ยวข้องรับรู้ใดๆ ด้วย
ฮือฮาพอสมควรกับคำแถลงของ พล.ต.ท.นันทเดช ย้อยนวล ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 (ผบช.ภ.9) ที่ข้อสรุปเกี่ยวกับ “หมายจับเสี่ยโจ้หาย” ออกมาในแบบที่หลายฝ่ายฟังแล้วได้แต่ทำตาปริบๆ
ผบ.ตร.ให้ข่าวแล้ว ยอมรับมีเจ้าหน้าที่เข้าข่ายถูกสอบข้อเท็จจริงทางวินัย กรณีหมายจับ“เสี่ยโจ้” หายจากสารบบ รอจเรตำรวจแห่งชาติพิจารณาว่ามีใครเอี่ยวบ้าง ส่วนการส่งหมายจับเป็นไปตามศาลชี้แจง พร้อมสั่งเร่งรัดสำนวน 3 คดีจาก 14 คดีของเสี่ยคนดังที่ยังไม่จบกระบวนความ
มีการตรวจสอบความคืบหน้ากรณีผลสอบสวน “หมายจับเสี่ยโจ้” นายสหชัย เจียรเสริมสิน เจ้าพ่อน้ำมันเถื่อน ตามคำประกาศของตำรวจสอบสวนกลาง
แม้ตำรวจจะบอกว่าตัวเองไม่ผิด กรณีหมายจับ "เสี่ยโจ้" ถูกซุก ไม่ถูกนำเข้าสารบบหมายจับ หรือ CRIME เพื่อประกาศสืบจับไปทั่วราชอาณาจักรก็ตาม
ชื่อของ “อนุมัติ อาหมัด” อดีต ส.ว.สงขลา และอดีต สนช. (สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ) ยุค คสช. ถูกพูดถึงไปไกลถึงขนาดเป็น 1 ใน 3 ขุนพลสำคัญของพรรคพลังประชารัฐในศึกเลือกตั้งครั้งหน้า
ประเด็น “เสี่ยโจ้” ถึงนาทีนี้ชัดเจนแล้วว่า หน่วยงานที่มีปัญหา ไม่นำหมายจับเข้าสารบบ หรือที่เรียกว่า “ซุกหมายจับ” แท้ที่จริงแล้วก็คือ “ตำรวจ” นั่นเอง