ไม่ต้องพูดเกริ่นอะไรกันเยอะ ทุกท่านคงทราบดีว่าเกิดอะไรขึ้นในภาคใต้ ทั้งยิงเณร ฆ่าคนแก่ สังหารเด็ก โดยอ้างว่าเป็นการแก้แค้นที่ทหารไปยิงอดีตอุสตาซ (ครูสอนศาสนา) ที่ อ.สุไหงโก-ลก นราธิวาส เมื่อ 18 เม.ย.ที่ผ่านมา
หลังเกิดเหตุรุนแรงหนักๆ ทุกครั้งที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ จะมี “คำถามที่พบบ่อย” แต่ไม่ค่อยมีคำตอบจากผู้เกี่ยวข้อง
วันนี้ผมได้รวบรวมคำถามเหล่านั้น และนำมาตอบให้ทุกท่านได้ทราบ จากมุมมองและประสบการณ์การทำงานของผมที่เกี่ยวข้องกับปัญหาชายแดนใต้มาประมาณ 20 ปี (ไม่นับตอนเรียนมหาวิทยาลัยที่ใต้ด้วย)
1.ทำไมถึงต้องฆ่าชาวบ้าน โดยเฉพาะชาวไทยพุทธ แถมฆ่าไม่เลือก ไม่เว้นแม้แต่คนแก่ และเด็ก จิตใจพวกนี้ทำด้วยอะไร ทำแล้วไม่กลัวบาปหรือ?
คำตอบ คือ กลุ่มติดอาวุธของขบวนการแบ่งแยกดินแดนในภาคใต้ได้รับการบ่มเพาะ ปลูกฝังความคิดมาว่า ดินแดนนี้ (ปัตตานี หรือ ปาตานี : ซึ่งหมายจังหวัดชายแดนภาคใต้) เป็นดินแดนสงคราม ถูกรุกรานโดนคนต่างศาสนา เรียกว่า “ดารุลฮารบี” (ดารุลฮัรบี)
เมื่อเป็นการทำสงคราม จึงได้รับอนุญาตให้สู้รบและจัดการกับ “ผู้รุกราน” ได้ แม้ศาสนาจะไม่ได้รับรองการฆ่าหรือทำลายชีวิตผู้รุกรานว่าไม่บาป แต่ลองคิดเปรียบเทียบกับการที่เราส่งทหารไปรบกับศัตรูของประเทศเรา และไปทำลายชีวิตศัตรู ทหารเหล่านั้นเป็น “คนบาป” หรือ “วีรบุรุษ” วิธีคิดจะคล้ายๆ แบบนี้
เรื่องดินแดน “ดารุลฮารบี” ยังเชื่อมโยงไปถึงการปลูกฝังความเชื่อเรื่อง “ดินแดนอาณานิคม” โดยกล่าวอ้างว่า “สยาม” หรือ “รัฐไทย” ในอดีต เข้ายึดครองดินแดนปัตตานีในฐานะ “รัฐอาณานิคม” (อ้างสนธิสัญญา แองโกล-สยาม พ.ศ.2452 ซึ่งสยามทำกับอังกฤษ แบ่งดินแดนในคาบสมุทรมลายู)
ฉะนั้น “สยาม” หรือ “รัฐไทย” จึงมีสถานะเป็นทั้ง “เจ้าอาณานิคม” และ “ผู้รุกราน” พวกเขาจึงต้องต่อสู้ และนำไปเชื่อมโยงกับ มติของสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติที่ 1514 เรื่อง “การให้เอกราชแก่ดินแดนอาณานิคม” เปิดทางให้ทำประชามติเพื่อแยกตัวเป็น “รัฐเอกราชใหม่” ได้ (จึงมีการทำกิจกรรม “ประชามติจำลอง” กันเมื่อปีก่อน)
ด้วยเหตุนี้ นักรบหรือกลุ่มติดอาวุธในพื้นที่ชายแดนใต้ จึงถูกมองเป็น “ฮีโร่” มากกว่า “คนบาป”
และรัฐไทย หรือฝ่ายความมั่นคงไทย ยังไม่เคยแก้ปัญหาการบ่มเพาะความคิดความเชื่อแบบนี้ หรือนำเสนอข้อมูลหักล้างอย่างเป็นระบบ เป็นรูปธรรม และเป็นทางการ เพื่อดึงมวลชนส่วนใหญ่กลับมาสนับสนุนฝ่ายรัฐได้เลย
2.ทำไมฆ่าแล้ว ก่อเหตุระเบิดแล้ว ถึงตามจับไม่ได้?
ก่อนเกิดเหตุปล้นปืนครั้งใหญ่เมื่อ 4 ม.ค.2547 กลุ่มขบวนการแบ่งแยกดินแดนเขาเตรียมการวางแผนกันมานานเป็นสิบๆ ปี เพื่อสร้าง “นักรบ” และวางระบบการต่อสู้กับรัฐไทยใน “สงครามอสมมาตร” (สงครามที่คู่ต่อสู้สองฝั่งมีกำลังไม่เท่ากัน เนื่องจากฝ่ายหนึ่งเป็นรัฐ มีกำลังพล อาวุธพร้อม แต่อีกฝ่ายหนึ่งเป็นแค่กลุ่ม หรือขบวนการปลดแอก)
พวกเขาเลือกใช้ยุทธวิธี “ก่อความไม่สงบ” หรือ insurgency ในลักษณะก่ออาชญากรรมร้ายแรงรายวัน โดยเลือกพื้นที่และเป้าหมายที่ฝ่ายตนควบคุมสถานการณ์และผลลัพธ์ได้เท่านั้น
ยกตัวอย่างข้อมูลจากงานวิจัยในหลักสูตรการพัฒนาองค์ความรู้การก่อการร้ายและการก่อความไม่สงบ สำหรับผู้บริหาร (หลักสูตร พรส.) ของโรงเรียนเสนาธิการทหารบก
หนึ่ง การก่อเหตุระเบิด หรือยิงแบบล็อกเป้า มีผู้เกี่ยวข้องในขบวนการตั้งแต่ต้นจนจบ 10-20 คน ไม่ใช่แค่คนสองคนเหมือนที่เห็นผ่านกล้องวงจรปิด เช่น
- ทีมสังเกตการณ์ ตามพฤติกรรมเหยื่อ/เป้าหมาย
- ทีมส่งอาวุธ / ตามเก็บอาวุธ (ฝ่ายเมล์/โลจิสติกส์)
- ทีมสังเกตการณ์ใกล้จุดเกิดเหตุ คอยส่งสัญญาณ
- ทีมสังหาร (มือปืน / มือกดระเบิด / ขับพาหนะนำระเบิดไปวาง)
- ทีมพาหนี
สอง เมื่อก่อเหตุเสร็จแล้ว ภายใน 5 นาที ทีมก่อเหตุจะไปถึงจุดนัดพบแรก (บ้านแนวร่วม) เพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า เปลี่ยนรถ ซ่อนอาวุธ จุดนี้จะอยู่ไม่ไกลจากจุดที่เลือกก่อเหตุ
สาม จากจุดแรกไม่เกิน 10 นาที ไปยังจุดนัดพบที่ 2 ทีมก่อเหตุจะไปเปลี่ยนรถ และเสื้อผ้าอีกครั้งหนึ่ง ขณะที่อีกด้าน ฝ่ายเมล์หรือโลจิสติกส์จะนำอาวุธไปเก็บซ่อนยังจุดนัดพบอีกแห่งหนึ่ง มีห้องลับ มีอุปกรณ์ถ่วงน้ำ เมื่อถูกเจ้าหน้าที่บุกค้น ก็จะหาอาวุธไม่เจอ
จากจุดนัดพบที่ 2 ทีมสังหารอาจพักรอดูสถานการณ์ จากนั้นเดินทางออกจากอำเภอที่ก่อเหตุ ข้ามไปอีกอำเภอหนึ่ง ภายใน 1 ชั่วโมงถัดไป
ฉะนั้นคนที่เจ้าหน้าที่ตามจับกุมได้ ส่วนใหญ่จึงเป็นกลุ่มแนวร่วมตามจุดนัดพบ หรือฝ่ายเมล์ ฝ่ายโลจิสติกส์ ที่พาหนี หรือเคลื่อนย้ายอาวุธเท่านั้น แต่ผู้ก่อเหตุตัวจริงมักหาตัวไม่เจอ ไม่ต้องพูดถึง “ทีมคิด - ทีมวางแผน” ยิ่งไม่มีทางหาเจอ
ในพื้นที่จะมี “หมู่บ้านแนวร่วม” ที่เรียกว่า support site หมู่บ้านลักษณะนี้จะมีคนคอยช่วยดูแล “นักรบ” หลายๆ หมู่บ้านตั้งอยู่เชิงเขา เมื่อผู้ก่อเหตุปฏิบัติการเสร็จ อาจหลบหนีขึ้นเขา เป็นวิธีการที่ใช้บ่อยของกลุ่มที่เคลื่อนไหวใน จ.นราธิวาส เพราะมีภูเขาหลายลูก และสามารถเดินข้ามฝั่งไปประเทศเพื่อนบ้านได้
บนภูเขาก็ยังมี “ฐานพัก” ซ่อนอยู่ มีแนวร่วมจากพื้นราบคอยส่งกำลังบำรุง ทั้งอาหารและน้ำ
นอกจากนั้นยังมีบางส่วน “หนีลงเรือ” โดยหลังก่อเหตุ ก็นัดแนะไปลงเรือ ออกไปลอยลำกลางทะเล เมื่อเรื่องเงียบ ค่อยกลับเข้าฝั่ง
3.รัฐบาลและฝ่ายความมั่นคงทำอะไรอยู่?
เฉพาะกรณีที่เพิ่งเกิดขึ้นนี้ แม่ทัพภาคที่ 4 บอกว่า จุดเริ่มต้นมาจากเหตุยิงอดีตอุสตาซที่สุไหงโก-ลก เมื่อ 18 เม.ย. หลังจากนั้นเกิดเหตุสังหาร “เป้าหมายอ่อนแอ - กลุ่มเปราะบาง” อีก 5 เหตุการณ์ มีผู้เสียชีวิต 5 ราย เป็นเด็ก คนแก่ หญิงชราตาบอด ฯลฯ และมีผู้บาดเจ็บอีกหลายสิบคน รวมผู้พิการทางสมอง
สิ่งที่แม่ทัพภาคที่ 4 และ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ดำเนินการก็คือ ตั้งศูนย์บังคับการทางยุทธวิธี เพื่ออุดช่องโหว่การก่อเหตุ, ให้สัมภาษณ์และออกแถลงการณ์ประณาม, เรียกร้องให้หยุดใช้ความรุนแรง หันมารวมกันพัฒนา, สั่งจับกุมคนร้ายให้ได้
ส่วน “บิ๊กอ้วน” รองนายกฯภูมิธรรม เวชยชัย ยังรอยุทธศาสตร์ดับไฟใต้ฉบับใหม่ซึ่งสั่งให้ทบทวนมาเกือบ 5 เดือนแล้วยังไม่เสร็จ
สิ่งที่ฝ่ายรัฐได้กระทำ ฟังเสียงจากคนในพื้นที่สรุปได้แบบนี้ “รัฐมีอาวุธครบมือยังเอาตัวเองไม่รอด แล้วชาวบ้านจะเอาอะไรมารอด” จบข่าว…
4.ต้องเร่งเปิดเจรจากับบีอาร์เอ็นแล้วใช่หรือไม่?
ไม่มีใครปฏิเสธว่า ปัญหาชายแดนภาคใต้ต้องจบด้วยการเจรจา และกระบวนการสันติภาพ แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้นต่างหาก เป็นโจทย์ยากว่าเราควรทำอย่างไร
หลายฝ่ายออกมาเรียกร้องให้รีบตั้ง “คณะพูดคุย” โดยด่วน แต่คำถามคือ ถ้าเร่งรัดตั้งคณะพูดคุยตอนนี้ จะกลายเป็นว่า รัฐบาลไทยเสียหายซ้ำซากจากเหตุรุนแรง นอกจากคุมสถานการณ์ไม่ได้แล้ว ยังรีบขอเจรจากับฝ่ายที่กระทำผิดกฎหมายหรือไม่ นี่คือความอ่อนไหวที่ต้องคิดด้วยเหมือนกัน
อดีตเจ้าหน้าที่ระดับสูงซึ่งเคยเป็นหัวหน้าหน่วยงานด้านความมั่นคงที่ได้รับการยอมรับอย่างมาก ให้ข้อคิดเอาไว้น่าสนใจว่า การเจรจาเพราะมีการใช้วิธีการก่อการร้ายมากดดัน ไม่มีประเทศใดยินยอม, ถ้าเจรจาแล้วอีกฝ่ายไม่ได้รับในสิ่งทึ่ต้องการ ก็ใช้การก่อการร้ายกดดันอีก
กลุ่มที่สนับสนุนการเจรจาอาจมองข้ามจุดนี้ หรือให้น้ำหนักเรื่องการลดดีกรีความรุนแรงลง แต่จริงๆ แล้วก็ไม่หลักประกันใดๆ
ขณะที่ อาจารย์สุรชาติ บำรุงสุข เพิ่งเขียนบทความไขข้อข้องใจว่า ทำไมบีอาร์เอ็นถึงเหิมเกริมหนักในภาคใต้ ปรากฏว่ามีอยู่ 4 ปัจจัยสำคัญ หนึ่งในนั้นคือ “ปัจจัยแนวหลังสงคราม” เพราะบีอาร์เอ็นมีพื้นที่หลบภัย และฝึกแนวร่วมรุ่นใหม่ในประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้อำนาจรัฐไทยเอื้อมไม่ถึง
ฉะนั้นก่อนเปิดเจรจา หรือรีบตั้งคณะพูดคุย เราควรเตรียมความพร้อมในเรื่องเหล่านี้อย่างเร่งด่วน เพื่อให้มี commitment หรือ “ความมุ่งมั่นร่วมกัน” ของสองประเทศ คือ ไทยกับมาเลเซีย อย่างน้อยก็เพื่อกดดันกลุ่มแบ่งแยกดินแดนระดับแกนนำที่หลบหรือพำนักอยู่ในมาเลเซียเกือบทั้งหมด
ความมุ่งมั่นร่วมกันนี้ เกิดขึ้นแล้วในยุครัฐบาลปัจจุบัน ภายใต้ความสัมพันธ์ของนายกฯอันวาร์ อิบราฮิม กับอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร
แต่ความมุ่งมั่นที่ผ่านมา ยังเน้นไปที่ปัญหาเมียนมา มากกว่าสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย ฉะนั้นโจทย์ใหญ่ก่อนเปิดเจรจา คือการแสวงหา commitment ที่ว่านี้ โดยเน้นที่การแก้ปัญหาไฟใต้
5.เจรจาแล้วจบหรือไม่?
ตอบตามตรงแบบไม่โลกสวยก็คือ ไม่สามารถการันตีได้เลยว่า “เจรจาแล้วจบ” เพราะปัญหาชายแดนใต้ไปไกลกว่าที่หลายฝ่ายคิดกันมาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การสร้างนักรบในรูปแบบ “องค์กรลับ” โดยให้นักรบเป็น “เซลล์อิสระ” ในการเลือกก่อเหตุ และขยายฐานสมาชิกได้เอง
เมื่อสถานการณ์ไฟใต้ยืดเยื้อยาวนานกว่า 20 ปี ทำให้การเชื่อมสายบังคับบัญชา (ซึ่งหลวมมากอยู่แล้ว) ระหว่างแกนนำระดับบนซึ่งอาจจะอยู่ต่างประเทศด้วยซ้ำ กับบรรดา “เซลล์อิสระ” ในพื้นที่ ทำได้ยากมากขึ้น อาจมีนโยบายรวมๆ ที่ทำร่วมกัน แต่การตัดสินใจปฏิบัติการ น่าจะไม่มีใครควบคุมสั่งการได้ทั้งหมดอีกต่อไป
ถามว่านับรบที่ก่อเหตุอยู่ในพื้นที่ปัจจุบัน รู้หรือเปล่าว่าใครคือหัวหน้าหรือแกนนำตัวจริง พวกเขาน่าจะไม่รู้ และหากวันหนึ่ง “ตัวจริง” ที่ว่านี้มาคุยกับรัฐไทย แล้วมีข้อตกลงสันติภาพออกมา พวกเขาอาจไม่ยอมรับ และเลือกที่จะต่อสู้ต่อก็เป็นได้
หรือในอีกด้าน ชนกลุ่มน้อยกลุ่มอื่นที่ถูกกระทำ เช่น ชาวไทยพุทธ อาจตั้งขบวนการขึ้นมาสู้กับ “กลุ่มอำนาจใหม่” ที่จะเข้ามาปกครองหลังมีข้อตกลงสันติภาพ ก็เป็นไปได้เช่นกัน
แต่แน่นอน...การเจรจาย่อมดีกว่าไม่เจรจา เพราะเท่ากับเราเปิดประตูหลายๆ บาน เพื่อเพิ่มโอกาสสู่ความสำเร็จ แต่สิ่งที่ต้องทำไปควบคู่กัน และทำโดยด่วนคือ
1.ประกาศเจตจำนงให้ชัดเจนว่า รัฐบาลไทย ในนาม “รัฐไทย” มีทิศทางนโยบายอย่างไรกับปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะความร่วมมือกับมาเลเซียในการไม่ให้ “ที่พักพิง” กับกลุ่มขบวนการ
2.เป้าหมายสุดท้ายคืออะไร ต้องวาดภาพให้ประชาชนเห็น ให้ขบวนการแบ่งแยกดินแดนได้เห็น เช่น เขตปกครองพิเศษทางวัฒนธรรม มีกลไกเลือกผู้นำของตนเองโดยผ่านความเห็นชอบจากรัฐบาล อะไรแนวๆ นี้ เพื่อสร้างความหวังใหม่ๆ เป้าหมายใหม่ๆ โดยไม่จำเป็นต้องใช้การต่อสู้ด้วยการจับปืน
3.พัฒนาการศึกษาภาษามลายูอย่างจริงจัง อาจประกาศให้ใช้เป็นภาษาทางการภาษาที่ 2 และสนับสนุนให้เยาวชนในพื้นที่ไปศึกษาต่อยังต่างประเทศ โดยเฉพาะโลกอาหรับ เพื่อเชื่อมประเทศไทยผ่านชายแดนใต้สู่โลกมุสลิม คือเปลี่ยนจุดอ่อน เป็นจุดแข็งใหม่ สร้างความหวังใหม่ๆ ชีวิตใหม่ให้กับคนพื้นที่โดยไม่ต้องหมกมุ่นเรื่องแยกดินแดน (มีทางเลือกที่ดีกว่านอกจากการต่อสู้เพื่อแยกดินแดน)
4.เคารพสิทธิมนุษยชน และปราบปรามคอร์รัปชั่นทุกระดับ โดยเฉพาะในหมู่เจ้าหน้าที่รัฐผู้ถืออาวุธเอง เพื่อลบข้อกล่าวหานำสิ่งไม่ดีไปแปดเปื้อนดินแดนบริสุทธิ์ โดยเฉพาะยาเสพติด ซึ่งมีเจ้าหน้าที่รัฐเกี่ยวข้องอยู่จริง
5.พัฒนาเศรษฐกิจในแนวทาง “ฮาลาล” และสร้างจุดขายด้านพหุวัฒนธรรม