
ผู้เชี่ยวชาญที่เกาะติดสถานการณ์ไฟใต้ ถึงกับ “พูดไม่ออก บอกไม่ถูก” หลังจากบุคคลระดับรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ยังไม่ยอมฟันธงว่า เหตุลอบวางระเบิดแสวงเครื่องที่ จ.ภูเก็ต และจังหวัดโดยรอบทางฝั่งอันดามัน เกี่ยวโยงกับปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้หรือไม่
“ยังไม่สามารถสรุปได้” นี่คือคำตอบจากรองนายกฯ ภูมิธรรม เวชยชัย ซึ่งขณะตอบคำถามยังนั่งควบ รมว.กลาโหมด้วย
พร้อมขยายความว่า “(เหตุระเบิด) ไม่มีนัยทางการเมือง แต่เมื่อเกิดเหตุขึ้น หน่วยที่รับผิดชอบก็ต้องดูแล และยังไม่ได้สรุปว่าเกี่ยวอะไรกับการท่องเที่ยวหรือไม่ แต่ที่เราไปขยายความเป็นการทำลายประเทศเราเอง ผมคิดว่าต้องช่วยกันประคับประคอง เพราะวันนี้ทุกคนเห็นว่ามีการพยายามสร้างเงื่อนไขให้ประเทศอ่อนแอเพื่อผลทางการเมืองของทุกฝ่าย จึงอยากให้ระมัดระวังเรื่องนี้ด้วย”
จะว่าไป เหตุผลของรองนายกฯภูมิธรรม ก็ไม่ผิด เพียงแต่ถ้ามองในแง่ของการแจ้งเตือนให้สังคมรู้ การแสดงให้กลุ่มผู้ก่อเหตุรู้ว่าหน่วยงานรัฐเท่าทัน และมีแผนรับมือพร้อมหมดแล้ว ฯลฯ ในมิติเหล่านี้ถือว่าสอบตก
เพราะข้อมูลจากหน่วยข่าวทุกหน่วย รวมถึง กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ยืนยันตั้งแต่แรกแล้วว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นการกระทำของกลุ่มก่อความไม่สงบจากชายแดนใต้ เพื่อขยายพื้นที่ปฏิบัติการ และต้องการเพิ่มแรงกดดันให้กับรัฐบาลไทยที่ไม่มีความชัดเจนเกี่ยวกับทิศทางการแก้ปัญหาชายแดนใต้
โดยเฉพาะการตั้ง “คณะพูดคุยสันติสุข” ชุดใหม่ รวมถึงการเดินหน้าพูดคุยตามกรอบ JCPP หรือ แผนปฏิบัติการร่วมเพื่อสร้างสันติสุขแบบองค์รวม ซึ่งทางบีอาร์เอ็นเพิ่งออกแถลงการณ์เรียกร้องอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 6-7 มิ.ย.68 ที่ผ่านมา ก่อนเทศกาลฮารีรายอ นี่เอง
ถัดจากนั้นเพียง 1 วัน คือ 8 มิ.ย.ก็เกิดเหตุระเบิดกลางตลาดโต้รุ่ง ในเขตเทศบาลเมืองปัตตานี แถมมีระเบิดตกค้างต้องเก็บกู้กันเพิ่มเติมในช่วงเช้า
ตามด้วยระเบิดในงานกาชาดปัตตานี เมื่อวันที่ 20 มิ.ย. มีผู้ได้รับบาดเจ็บทั้งเจ้าหน้าที่ ประชาชน และเจ้าของร้านค้ารวม 7 ราย โดยคนร้ายใช้ระเบิดถึง 3 ลูก ส่งผลให้งานกาชาดแทบจะเลิกก่อนเวลา เนื่องจากผู้ค้าเก็บของหนีระเบิดกันหมด
ทั้งหมดนี้คือการก่อเหตุรุนแรงต่อเนื่อง แต่ไม่ได้รับการตอบสนอง จึงต้องขยายพื้นที่ปฏิบัติการไปยังเมืองท่องเที่ยวสำคัญอย่างภูเก็ต เพื่อเพิ่มแรงกดดันให้หนักขึ้น ผสานกับปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ที่กำลังรุมเร้ารัฐบาลแพทองธารอยู่
ที่กลายเป็นเรื่องตลกร้ายในแวดวงความมั่นคงก็คือ วันเดียวกับที่รองนายกฯภูมิธรรมให้สัมภาษณ์ ปรากฏว่า พล.ท.ไพศาล หนูสังข์ แม่ทัพภาคที่ 4 / ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ก็มีสัมภาษณ์เป็นคลิปตัวเป็นๆ ออกมาเหมือนกัน ยืนยันว่าเหตุระเบิดจังหวัดฝั่งอันดามัน เป็นการกระทำของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงชายแดนใต้
หนักกว่านั้นคือ ทีมปฏิบัติการที่ถูกจับกุมได้ สารภาพหมดแล้วว่าใครเป็นคนสั่งการ สั่งจากที่ไหน และจุดประสงค์คืออะไร
เมื่อข่าวไปไกลขนาดนี้แล้วฝ่ายการเมืองจะปิดข้อมูลไปเพื่ออะไร
ในยุคข้อมูลข่าวสาร ข่าวร้ายไปเร็ว ขยายไกลกว่าข่าวดี 6 เท่า ความพยายามปิดข่าว คือความสูญเปล่า ทำอะไรไม่ได้เลย
ขณะที่การข่าวของฝ่ายความมั่นคง รวมถึง “นักวิจัย” จากต่างประเทศที่เกาะติดปัญหาชายแดนใต้ ก็มีข้อมูลในมืออีกมากมาย ซึ่งฝ่ายรัฐบาลควรหยิบมาใช้เพื่อวางแผนป้องกันเหตุการณ์ซ้ำรอยหรือขยายวงมากกว่านี้ น่าจะดีกว่ามาให้ข่าวเชิงปฏิเสธ
ข้อมูลเชิงลึกที่สรุปกันภายในก็คือ
1.เหตุระเบิดที่ภูเก็ต น่าจะมาจากทีมปฏิบัติการของขบวนการพูโล
2.เป้าหมายกดดันให้มีการเจรจาสันติภาพกับพูโล
3.ใช้อดีตสมาชิกบีอาร์เอ็นประกอบระเบิด อาจมีเรื่องของการว่าจ้าง
4.หนุ่มปัตตานี 2 คนที่ถูกจับชุดแรกที่ จ.พังงา เคยเป็นสมาชิกบีอาร์เอ็นมาก่อน
5.ปฏิบัติการครั้งนี้ บีอาร์เอ็นสมประโยชน์ เพราะสามารถสร้างอำนาจต่อรองทางการเมือง และเพิ่มความสนใจให้กับปัญหาภาคใต้
ที่สำคัญ พูโลไม่ได้ใช้สมาชิกของบีอาร์เอ็นในปฏิบัติการ แต่ใช้คนของบีอาร์เอ็นที่เกษียณแล้ว จึงเป็นที่ยอมรับได้ของทั้งสองฝ่าย

นอกจากข้อมูลเชิงลึกที่สรุปตรงกัน และสวนทางกับท่าทีของรัฐบาลอย่างสิ้นเชิง หากเราย้อนกลับไปพิจารณาเหตุระเบิดนอกพื้นที่ชายแดนใต้ ซึ่งเป็นวัตถุระเบิดรูปแบบเดียวกัน ใช้วัสดุหรือองค์ประกอบเหมือนกัน และบุคคลที่นำมาก่อเหตุก็เป็นคนจากสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วย จะว่าไปก็เคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้ง นับรวมๆ ได้ราวๆ 10 ครั้ง
เช่น ระเบิด 9 จุดช่วงปลายปี 2549 หลังการรัฐประหารเพียง 3 เดือน เป็นเหตุระเบิดช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่
ระเบิดที่สมานเมตตาแมนชั่น ย่านบางบัวทอง เมื่อปี 2553 แม้จะเชื่อมโยงกับการชุมนุมทางการเมืองไล่รัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แต่รถกระบะที่ลำเลียงระเบิดไปส่ง เป็นรถจาก จ.นราธิวาส
ระเบิดไปป์บอมบ์ทั้งที่มีนบุรี เมื่อปี 2557 และสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสสยามในปีถัดมา อุปกรณ์ที่ใช้ประกอบระเบิด และดินระเบิด ล้วนตรงกับที่เคยใช้ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
ส่วนรถคาร์บอมบ์ที่ถูกขับไปจอดกลางเมืองภูเก็ต แต่ไม่ระเบิด เมื่อปี 2556 ระเบิดหน้าร้านทำผมย่านรามคำแหง ในปีเดียวกัน และคาร์บอมบ์ในลานจอดรถห้างเซ็นทรัล เฟสติวัล ที่เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี เมื่อเดือน เม.ย.ปี 58 ภายหลังจับกุมกลุ่มผู้ก่อเหตุได้ ก็เป็นคนจากสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ทั้งหมด
โดยระเบิดที่รามคำแหง มือระเบิดที่ถูกจับกุมได้ สารภาพว่าเป็นสมาชิกขบวนการพูโล

เช่นเดียวกับเหตุระเบิด 7 จังหวัดภาคใต้ตอนบน ซึ่งตั้งเวลาระเบิดไล่กันไปเป็นเหมือนลูกคลื่น ตั้งแต่วันที่ 10-12 ส.ค. ปี 59 ทั้งที่ จ.ตรัง นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี กระบี่ พังงา ภูเก็ต และประจวบคีรีขันธ์ สุดท้ายจับกุมผู้ต้องหาได้นับสิบคน ล้วนเป็นคนจากสามจังหวัดชายแดนภาคใต้
รวมถึงระเบิดป่วนกรุงมากกว่า 10 จุด ใช้ระเบิดถึง 20 ลูก ผู้ก่อเหตุก็มาจากสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ผู้ต้องหาคนแรกที่ถูกจับกุมได้ ถูกรวบตัวที่ จ.ชุมพร ขณะนั่งรถโดยสารหนีกลับบ้าน
ฉะนั้นแทนที่ผู้ใหญ่ในรัฐบาลจะออกมาให้สัมภาษณ์แนวๆ สยบข่าวไม่ให้เป็นเรื่องใหญ่ รัฐบาลควรตั้งโจทย์ใหม่ให้ชัดว่า
- เหตุใดกลุ่มขบวนการที่เราเรียกว่า “โจรใต้” จึงมีศักยภาพมากขึ้น และต้องการขยายพื้นที่ปฏิบัติการ
- สิ่งที่พวกเขาต้องการ คือ แยกดินแดนจริงหรือไม่ หรือตกเป็นเครื่องมือของฝ่ายการเมือง หรือผู้มีอิทธิพลกลุ่มอื่น
- หรือพื้นที่ชายแดนใต้ กลายเป็น “แหล่งส่งออกมือระเบิด” และ “วัตถุระเบิด” เพื่อนำไปใช้ในวัตถุประสงค์ต่างๆ กัน โดยเฉพาะจุดประสงค์ทางการเมือง
