
“อัญชนา” เฮ! ศาลนราธิวาสยกฟ้องคดีโพสต์ทวงค่าน้ำประปา เชื่อทำไปโดยสุจริต เพื่อประโยชน์สาธารณะ ไม่มีเจตนานำความเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ หรือต้องการให้หน่วยราชการเสียหาย ด้านองค์กรภาคประชาสังคมจี้อัยการงดอุทธรณ์ พร้อมสรุปบทเรียนเลิกใช้ พ.ร.บ.คอมพ์ ปิดปากนักสิทธิฯ
วันพฤหัสบดีที่ 6 พ.ย.68 ศาลจังหวัดนราธิวาสออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ อ.786/2568 กองทัพเรือฟ้องดำเนินคดี นางสาวอัญชนา หีมมิหน๊ะ นายกสมาคมด้วยใจเพื่อการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14 จากกรณีโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กตั้งคำถามเรื่องการค้างชำระค่าน้ำประปาของหน่วยทหารที่ใช้น้ำจากมัสยิดในพื้นที่
ข้อเท็จจริงสืบเนื่องจากเมื่อเดือน พ.ย.67 นางสาวอัญชนาได้โพสต์ข้อความสอบถามเรื่องการค้างชำระค่าน้ำประปาของหน่วยงานรัฐ โดยระบุพื้นที่ผิดพลาดเป็น อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส ก่อนจะแก้ไขเป็นมัสยิดใน ต.บือเระ อ.สายบุรี จ.ปัตตานี ซึ่งต่อมากรมทหารพรานที่ 44 ได้ออกมาชี้แจงและแก้ไขปัญหาดังกล่าว อย่างไรก็ตาม กองทัพเรือได้มอบอำนาจให้ผู้แทนเข้าแจ้งความดำเนินคดีในข้อหานำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จ เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ โดยอ้างว่าโพสต์ดังกล่าวทำให้หน่วยงานของตนได้รับความเสียหาย
ภายหลังการไต่สวน ศาลจังหวัดนราธิวาสพิเคราะห์พยานหลักฐานทั้งฝ่ายโจทก์และจำเลยแล้วเห็นว่า โพสต์ของจำเลยเป็น “ข้อเท็จจริง” ไม่ใช่ “ความเท็จ” และมีเจตนาสุจริตเพื่อประโยชน์สาธารณะ มิได้มุ่งหวังให้เกิดความเสียหายต่อหน่วยงานรัฐ อีกทั้งมีการแก้ไขข้อความให้ถูกต้องในเวลาสั้นๆ หลังทราบความคลาดเคลื่อน จึงพิพากษาให้ยกฟ้องจำเลย
นางสาวอัญชนา กล่าวภายหลังฟังคำพิพากษาว่า คำตัดสินในวันนี้สะท้อนเจตนารมณ์ของตนที่ทำงานเพื่อสังคม แม้จะมีข้อผิดพลาด แต่ศาลพิจารณาเห็นถึงความสุจริตและประโยชน์ของประชาชน การใช้ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ในลักษณะนี้ควรยุติ เพราะไม่ควรเป็นเครื่องมือผลักประชาชนหรือนักพัฒนาให้กลายเป็นผู้ต้องหา
ขณะที่ นายปรีดา นาคผิว ทนายความจากมูลนิธิผสานวัฒนธรรม กล่าวว่า ศาลชี้ชัดว่าข้อความที่จำเลยโพสต์เป็นเรื่องจริง ไม่มีเจตนาทุจริตหรือหลอกลวง และก่อให้เกิดประโยชน์ต่อสาธารณะ เพราะช่วยให้หน่วยงานรัฐแก้ไขปัญหาค้างค่าน้ำประปาที่เกิดขึ้นจริง การฟ้องในลักษณะนี้จึงไม่ควรเกิดขึ้นตั้งแต่ต้น
@@ ภาคสังคมรุกจี้อัยการยุติคดี - งดอุทธรณ์

ภายหลังทราบคำพิพากษา กลุ่มองค์กรภาคประชาสังคมในพื้นที่ได้รวมตัวกันยื่นหนังสือต่ออัยการจังหวัดนราธิวาส เรียกร้องให้ไม่อุทธรณ์คำพิพากษา โดยให้เหตุผลว่า การดำเนินคดีต่อไปจะเป็นการซ้ำเติมผู้ทำงานเพื่อสิทธิมนุษยชน และบั่นทอนความเชื่อมั่นของประชาชนต่อกระบวนการยุติธรรม
หนังสือดังกล่าวเสนอข้อเรียกร้อง 4 ประการ ได้แก่
1.ยุติคดีความทันที โดยไม่ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษายกฟ้อง
2.ยืนยันคำพิพากษาศาลจังหวัดนราธิวาสเป็นที่สุด เพื่อคุ้มครองการทำงานอย่างสุจริตของภาคประชาชน
3.คุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชน ตามหลักสากล (UN Declaration on Human Rights Defenders)
4.ส่งเสริมบรรยากาศแห่งความไว้วางใจและสันติภาพ โดยยุติการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือจำกัดเสรีภาพของประชาชน
ในช่วงบ่ายวันเดียวกัน เครือข่ายภาคประชาสังคมจัดเวที “Civic Space กับสันติภาพในจังหวัดชายแดนใต้/ปาตานี” ณ โรงแรมอิมพีเรียล นราธิวาส เพื่อร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์และข้อเสนอเชิงนโยบายในการเปิดพื้นที่ให้ประชาชนและนักกิจกรรมสามารถแสดงออกได้อย่างปลอดภัย โดยไม่ถูกคุกคาม หรือฟ้องปิดปาก (SLAPPs)
กิจกรรมประกอบด้วยการเสวนาเรื่อง “กฎหมายปิดปากและผลกระทบต่อเสรีภาพของประชาชน” โดย นายปรีดา นาคผิว และทนายจากมูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิม, การแถลงข้อเสนอเชิงนโยบาย “เปิดพื้นที่พลเมือง” เพื่อผลักดันให้การสื่อสารและการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการสร้างสันติภาพในพื้นที่
