
ท่ามกลางความเคลื่อนไหวการเปิด “โต๊ะพูดคุยสันติสุข” รอบใหม่ ระหว่างตัวแทนรัฐบาลไทย กับ ขบวนการบีอาร์เอ็น โดยมีมาเลเซียเป็นผู้อำนวยความสะดวกเช่นเดิม
ปรากฏว่ามีการช่วงชิงแสดงบทบาทการเป็น “ตัวแทนชาวปัตตานี” หรือประชาชนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มีทัศนคติต่อต้านรัฐไทย หรือต้องการสิทธิ์ในการปกครองตัวเอง เมื่อ “ประธานองค์การพูโล” หนึ่งในขบวนการติดอาวุธและเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ต่อสู้กับรัฐไทยมาหลายทศวรรษ ชิงเปิดตัวในเวทีสหประชาชาติ
แม้จะเป็นวงประชุมเล็กๆ แต่มีการพยายามเผยแพร่ภาพถ่ายในวงกว้าง เพื่อแสดงตัวตนว่า “องค์การพูโล” ก็มีบทบาทในกระบวนการเคลื่อนไหวเพื่อปลดปล่อยดินแดนปัตตานีด้วย
ความเคลื่อนไหวนี้แม้จะเงียบเชียบ แต่ส่งแรงกระเพื่อมไปถึงหน่วยงานความมั่นคงไทยไม่น้อย เพราะถือเป็นเรื่องที่เรียกความสนใจของฝ่ายอนุรักษ์นิยมในประเทศไทย เมื่อปรากฏภาพ “นายกัสตูรี มะห์โกตา” ประธานองค์การพูโล (PULO) จับไมค์บนเวทีสหประชาชาติ (UN) ณ กรุงเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส
เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในรอบการประชุมที่เกี่ยวกับ “ประเด็นชนกลุ่มน้อย และสิทธิของชนกลุ่มน้อย” โดย นายกัสตูรี ได้กล่าวถ้อยแถลง ซึ่งเจ้าตัวได้เปิดเผยข้อมูลที่น่าสนใจว่า ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เดินทางไป UN แต่มีความพิเศษกว่าทุกครั้งในอดีต
“การร่วมประชุมลักษณะนี้เคยไปมาแล้วหลายครั้ง ประมาณ 2-3 ครั้ง ช่วงปี 2004 และปี 2005 ตอนนั้นไปในนาม NGO ต่างประเทศ ได้ไปแจกวิดีโอเหตุการณ์ตากใบ แต่ครั้งนี้ได้ไปร่วมประชุมในนามของพูโล ถือเป็นครั้งแรก” ประธานพูโล กล่าวระหว่างให้สัมภาษณ์ข้ามประเทศกับ “ทีมข่าวอิศรา”

เมื่อถามว่า กลุ่มที่เคลื่อนไหวเรียกร้องสิทธิ์ในการปกครองจากรัฐไทย ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ กลุ่มอื่นๆ ไปปรากฏตัวในเวที UN บ้างหรือไม่
นายกัสตูรี ตอบแบบตรงไปตรงมาว่า “ในส่วนของบีอาร์เอ็น ผมเองไม่เจอ”
สาเหตุที่นายกัสตูรี ตอบแบบเฉพาะเจาะจงถึงขบวนการบีอาร์เอ็น เพราะพวกเขาได้รับเชิญให้ร่วมโต๊ะพูดคุยสันติสุขรอบใหม่ที่รัฐบาลไทยเปิดขึ้น โดยมี พล.อ.สมศักดิ์ รุ่งสิตา อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ เป็นหัวหน้าคณะพูดคุย
โดยข่าวที่ออกมาในเบื้องต้น ไม่ปรากฏว่ามีการเชิญตัวแทนกลุ่มเคลื่อนไหวอื่นๆ รวมถึง “พูโล” ร่วมโต๊ะพูดคุย
@@ โต้ “พูโล” อาศัยเวทีเปิด UN - ไร้นัยสำคัญต่อรองไทย
ขณะที่แหล่งข่าวระดับสูงจากหน่วยงานความมั่นคง ให้ข้อมูลเชิงลึกเพื่อลดความสับสนว่า การประชุมที่นายกัสตูรีเข้าร่วมนั้น คือ การประชุมสมัชชาสหประชาชาติว่าด้วยประเด็นชนกลุ่มน้อย สมัยที่ 18 ซึ่งมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างจากการประชุมสมัชชาใหญ่ปกติ
“เวทีนี้เป็นเวทีเปิดกว้าง ถูกออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อให้พื้นที่แก่ ‘ตัวแสดงที่ไม่ใช่รัฐ’ หรือ Non-state actors โดยเฉพาะองค์กรภาคประชาสังคม และผู้แทนชนกลุ่มน้อย ให้สามารถเข้าร่วมได้โดยไม่ต้องได้รับการรับรองจากรัฐ เพียงแค่ลงทะเบียนในนามองค์กร หรือกลุ่มชาติพันธุ์ที่ทำงานด้านสิทธิมนุษยชน ก็สามารถขอขึ้นพูดได้ตามโควตาเวลาที่กำหนด”
@@ ย้ำไม่ใช่การรับรองสถานะ “พูโล”
แหล่งข่าวระบุต่อว่า UN เน้นหลักการเปิดกว้าง จึงไม่ปิดกั้นบุคคลที่มีคดีความทางการเมืองหรือความมั่นคงในประเทศต้นทาง ตราบใดที่ไม่ใช่บุคคลที่ถูกคว่ำบาตรโดยคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ
“ดังนั้น การขึ้นเวทีนี้ ไม่ได้หมายความว่า UN จะรับรองสถานะความเป็นรัฐ หรือรับรองความถูกต้องในการกระทำของกลุ่มพูโล แต่เป็นเพียงการใช้สิทธิ์ตามกลไกเฉพาะกิจที่เกิดขึ้นเท่านั้น”
@@ แฉแผนฟอกขาว - เปลี่ยนสถานะสู่ “นักต่อสู้”
อย่างไรก็ดี แม้จะเป็นเพียงเวทีเปิด แต่ฝ่ายความมั่นคงประเมินว่า นี่คือยุทธศาสตร์ที่วางแผนมาอย่างดี โดยมีเป้าหมายซ่อนเร้น ชุบตัวฟอกขาวของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ โดยพยายามเปลี่ยนสถานะตัวเองจาก “กลุ่มติดอาวุธ” ให้เป็น “นักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน” หรือตัวแทนทางการเมืองในสายตาชาวโลก เพื่อยกระดับความขัดแย้ง และดึง UN เข้ามาเกี่ยวข้อง หวังทำลายอธิปไตยไทยทางอ้อม และกดดันให้ไทยต้องแก้ปัญหาบนเวทีโลก แทนที่จะใช้กฎหมายภายในประเทศตามปกติ
“ถือเป็นการสร้างภาพลักษณ์ให้ ‘แนวร่วม’ ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้เห็นว่า องค์กรของพวกเขาได้รับการยอมรับในระดับสากล ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อขวัญกำลังใจและการระดมมวลชนในอนาคตได้” แหล่งข่าวระดับสูงจากหน่วยงานความมั่นคง ระบุ
