
"...หากเด็กไม่ชกครู แต่อาจกลับไปทำร้ายตัวเองเพราะรับไม่ได้กับผลการเรียนที่ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องนี้ นี่เป็นเรื่องที่ทุกคนควรคิดกันให้ยาว..."
จากกรณีคุณครูผู้สอนโรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดอุทัยธานี ถูกนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ทำร้ายร่างกาย เนื่องจากไม่พอใจที่ครูให้คะแนนสอบกลางภาค 18 คะแนนเต็ม 20
ต่อมามีรายงานว่า นักเรียนได้แสดงความสำนึกผิดและได้เข้าไปขอโทษคุณครูขณะที่รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลแล้ว โดยโรงเรียนกำลังประสานงานกับผู้ปกครองของนักเรียนเพื่อดูแลสุขภาพจิตของเด็กอย่างใกล้ชิด โดยยังคงรักษาสถานภาพการเป็นนักเรียนไว้ แต่ในช่วงนี้จะให้นักเรียนเรียนหนังสือผ่านระบบออนไลน์ไปก่อน จนกว่าสถานการณ์จะกลับคืนสู่ปกติ
ล่าสุดเมื่อวันที่ 14 ส.ค. 2568 คณะกรรมการบริหารโรงเรียนได้มีมติเอกฉันท์ ประกาศไล่ออกนักเรียนผู้ก่อเหตุ
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นเพียงแค่ข่าวอาชญากรรม แต่เป็นสัญญาณเตือนถึงปัญหาเชิงโครงสร้างในระบบการศึกษาและสังคมไทยที่กำลังส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเด็กและเยาวชน
ศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ นักวิชาการด้านการศึกษา และที่ปรึกษาคณะกรรมการบริหาร กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) พูดคุยกับสำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) โดยได้ให้มุมมองที่น่าสนใจที่ชี้ให้เห็นถึงความเชื่อมโยงของปัญหานี้จากหลายมิติ ทั้งจากตัวเด็ก ครอบครัว และระบบการศึกษาโดยรวม
@การศึกษาไทยเน้น 'คะแนนและการแข่งขัน'
ศ.ดร.สมพงษ์ ชี้ให้เห็นว่าระบบการศึกษาในปัจจุบันมีส่วนทำให้เกิดพฤติกรรมเช่นนี้ โดยเฉพาะระบบที่เน้นการวัดและประเมินผล รวมถึงการนำผลการเรียนไปใช้ในการศึกษาต่อมากเกินไป ส่งผลให้เด็กให้ความสำคัญกับคะแนนจนลืมสิ่งอื่น ๆ ซึ่งอาจทำให้เด็กเข้าใจผู้อื่นและสังคมน้อยลง
"แรงกดดันที่เด็กต้องเผชิญนั้นเกิดจากระบบการศึกษาที่เน้น 'คะแนนและการแข่งขัน' เป็นหลัก สังคมไทยให้คุณค่ากับคะแนนสอบจนกลายเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จเพียงอย่างเดียว เมื่อเด็กพลาดคะแนนไปเพียงเล็กน้อยจากคะแนนเต็ม ก็ทำให้เกิดความรู้สึกผิดหวังและกดดันอย่างรุนแรง จนมองว่าความผิดพลาดเล็กน้อยนี้จะขัดขวางอนาคตที่ดีที่วาดฝันไว้" ศ.ดร.สมพงษ์ ระบุ
นอกจากนี้ การเลี้ยงดูจากครอบครัวก็มีส่วนสำคัญ ศ.ดร.สมพงษ์ ตั้งข้อสังเกตว่าเด็กถูกเลี้ยงดูแบบดูแลเอาใจใส่มากเกินไป (Over Protect) ควบคู่ไปกับการให้รางวัลอย่างต่อเนื่องเมื่อทำได้ตามความคาดหวัง การเลี้ยงดูเช่นนี้ทำให้เด็กขาดทักษะการแก้ปัญหาและขาด 'ความฉลาดทางอารมณ์' (EQ) ซึ่งสะท้อนได้จากพฤติกรรมที่ใช้ความรุนแรงในการจัดการกับความผิดหวัง
@การปกป้องที่ผิดที่ผิดทาง
ศ.ดร.สมพงษ์ กล่าวด้วยว่า สิ่งที่น่ากังวลคือ 'การปกป้อง' เด็กจากครอบครัวและสังคม เมื่อเด็กเคยทำร้ายคนอื่นรวมถึงบิดาของตัวเอง แต่ยังได้รับการปกป้องและยกย่องว่าเป็นเด็กดี ทำให้เด็กขาดการเรียนรู้ที่จะสำนึกในความผิด การลงโทษที่เหมาะสมและสอดคล้องกับพฤติกรรมจึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้เด็กได้เรียนรู้จากความผิดพลาด และเข้าใจถึงผลของการกระทำของตัวเอง
"สิทธิเด็กเป็นเรื่องสำคัญ แต่เด็กก็จำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะ เคารพสิทธิของผู้อื่น เช่นเดียวกับที่ครูเองก็ควรได้รับการปกป้องและการเยียวยาจากสังคมอย่างเหมาะสม" ศ.ดร.สมพงษ์ กล่าว
ศ.ดร.สมพงษ์ กล่าวว่า ถึงเวลาแล้วที่สังคมไทยจะต้องทบทวนและแก้ไขในระดับโครงสร้าง เช่น การทบทวนระบบการวัดผลและหลักสูตร เนื่องจาก ระบบการศึกษาควรลดการให้ความสำคัญกับคะแนนเพียงอย่างเดียว และหันมาส่งเสริมการพัฒนาในด้านอื่น ๆ เช่น ทักษะชีวิต, ความฉลาดทางอารมณ์ และความรับผิดชอบต่อสังคม
ศ.ดร.สมพงษ์ กล่าวด้วยว่า จากข่าวที่เกิดขึ้น ยังไม่เห็นการสร้างความรับผิดชอบร่วมกัน เนื่องจากหน่วยงานก็โยน อ้างว่าไม่ใช่โรงเรียนในสังกัด เป็นโรงเรียนเอกชน ทั้งนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงศึกษาธิการ หรือ สพฐ. ควรแสดงความรับผิดชอบต่อปัญหาที่เกิดขึ้น และร่วมกันหาแนวทางแก้ไขอย่างจริงจัง
ในส่วนบทลงโทษ ศ.ดร.สมพงษ์ กล่าวว่า ควรมีบทลงโทษที่เหมาะสมสำหรับเด็กที่กระทำความผิด เพื่อให้เกิดการเรียนรู้และสำนึกในสิ่งที่ได้ทำลงไป
" เด็กที่กระทำผิดก้าวพลาด สังคมไทยและครูต้องให้โอกาส แต่เด็กก็จำเป็นที่จะต้องสำนึก รับผิด และต้องเรียนรู้ในเรื่องของการแก้ไขปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้น แต่เรายังไม่เห็นสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นในกรณีนี้" ศ.ดร.สมพงษ์ กล่าวทิ้งท้าย

ศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ
@เศรษฐกิจบีบให้เกิดพ่อแม่กดดันทางอ้อม
ด้าน ศ.ดร.ปังปอนด์ รักอำนวยกิจ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านสังคมศาสตร์ คณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับปัญหาที่นักเรียนทำร้ายคุณครูว่า ปัญหาดังกล่าวไม่ใช่ความผิดของเด็กเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากหลายปัจจัยหลายอย่างในระบบและสังคม ซึ่งรวมถึงครอบครัว โรงเรียน เพื่อน การสื่อสาร และโครงสร้างทางสังคม
ศ.ดร. ปังปอนด์ วิเคราะห์ว่าปัญหาดังกล่าวมีสาเหตุหลักอยู่ 2 ประการ คือ 1) การเลี้ยงดูแบบผิดๆ พ่อแม่บางส่วนเลี้ยงดูลูกแบบสปอยล์ หรือโอ๋ลูกจนเกินไป โดยมักจะบอกลูกว่า 'เราเก่ง' 'เรารวย' 'เราห้ามเฟล' ทำให้เด็กเหล่านี้รับไม่ได้เมื่อต้องเผชิญกับความล้มเหลว ซึ่งอาจทำให้เด็กแสดงพฤติกรรมรุนแรงออกมา
และ 2) ความกดดันทางอ้อม เนื่องด้วยสภาพเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบันมีการแข่งขันสูง พ่อแม่จึงมักจะผลักดันลูกให้อยู่ในระดับที่สูงขึ้นกว่าตน เป็นการสร้างความกดดันทางอ้อมให้กับเด็กไม่ว่าจะอยู่ในชนชั้นทางสังคมใดก็ตาม ซึ่งการกดดันดังกล่าวบางทีพ่อแม่อาจจะไม่รู้ตัว
@แนะเปลี่ยนการวัดผลเป็นแบบองค์รวม
ทั้งนี้ ศ.ดร. ปังปอนด์ ได้เสนอแนวทางแก้ไข 4 ประการ ดังนี้
1. เปลี่ยนการวัดผลแบบองค์รวม
ระบบการศึกษาควรเปลี่ยนจากการวัดผลด้วยคะแนนเพียงอย่างเดียว มาเป็นการวัดผลแบบองค์รวมมากขึ้น โดยเน้นการยอมรับกฎเกณฑ์ ความคิดสร้างสรรค์ และการทำงานร่วมกับผู้อื่น
2. สร้างความเข้าใจและการสื่อสารที่ดีระหว่างครูและนักเรียน
ศ.ดร. ปังปอนด์ ชี้ว่า อาจมีการสื่อสารที่ไม่เหมาะสมระหว่างครูและนักเรียน ครูควรสื่อสารให้เด็กได้เรียนรู้และเข้าใจปัญหา รวมถึงมีความเห็นอกเห็นใจต่อเด็กด้วย
3. ปลูกฝังจริยธรรมที่นำไปใช้ได้จริง
ระบบการศึกษาไทยล้มเหลวในการปลูกฝังจริยธรรม จึงต้องเปลี่ยนระบบใหม่ โดยให้รางวัลหรือคะแนนกับความซื่อสัตย์ การไม่ลอก ไม่โกง และการเสียสละเพื่อส่วนรวม
4. ปรับปรุงเกณฑ์การรับเข้าศึกษาต่อ
สถาบันการศึกษาในระดับสูง เช่น โรงเรียนนายร้อย ควรเน้นการประเมินคุณลักษณะของผู้เข้าศึกษา ไม่ใช่เพียงแค่คะแนนสอบเท่านั้น เนื่องจากคะแนนที่ได้มาอาจไม่สะท้อนถึงคุณค่าที่แท้จริงของเด็ก การมุ่งเน้นแต่คะแนนอาจทำให้เด็กทำทุกอย่างเพื่อให้ได้คะแนน ซึ่งจะนำไปสู่ความล้มเหลวของระบบในที่สุด
ศ.ดร. ปังปอนด์ กล่าวทิ้งท้ายว่า กระทรวงศึกษาธิการต้องทบทวนบทบาทของตนอย่างชัดเจน โดยต้องเปลี่ยนรูปแบบการประเมินผลและการสื่อสารของครูกับเด็ก รวมถึงการปลูกฝังจริยธรรมที่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์รุนแรงแบบนี้ขึ้นอีก และต้องมีแนวทางในการดูแลเด็กที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ เพราะในกรณีนี้มีการปกป้องครู แต่ไม่ได้ปกป้องเด็ก
"หากเด็กไม่ชกครู แต่อาจกลับไปทำร้ายตัวเองเพราะรับไม่ได้กับผลการเรียนที่ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องนี้ นี่เป็นเรื่องที่ทุกคนควรคิดกันให้ยาว" ศ.ดร. ปังปอนด์ กล่าว

ศ.ดร.ปังปอนด์ รักอำนวยกิจ
ทั้งหมดนี้ คือ ความเห็นจากนักวิชาการด้านการศึกษา ที่สะท้อนให้เห็นว่ากรณีเด็กทำร้ายครูไม่ใช่ปัญหาของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นปัญหาเชิงระบบที่สั่งสมมานาน และเป็นบทเรียนสำคัญที่ทุกคนในสังคม ทั้งครอบครัว โรงเรียน และผู้กำหนดนโยบาย จะต้องร่วมกันหาทางออกอย่างมีสติและรอบคอบ เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีกในอนาคต
