
"...‘ตระกูลชินวัตร’ ถึงจุดจำเป็นต้อง ‘หลบฉาก’ ไปเร้นกายอยู่หลังม่านอีกครั้ง จนกว่าสถานการณ์จะ ‘สุกงอม’ ถึงค่อยกลับออกมาเฉิดฉายใหม่ จึงมีความจำเป็นอย่างมากที่ต้องส่ง ‘หัวโขน’ ให้แก่บุคคลใกล้ชิดที่ไว้วางใจ แต่มิใช่นามสกุลชินวัตร..."
ใครจะไปเชื่อว่า พรรคการเมืองที่แข็งแกร่ง และได้รับชัยชนะในศึกเลือกตั้งแทบทุกครั้งในห้วงเวลากว่า 20 ปี นับตั้งแต่ปี 2544 อย่าง ‘เครือข่ายชินวัตร’ จะอ่อนกำลังลงอย่างหนักในช่วงเวลานี้ โดยพ่ายแพ้การเลือกตั้งครั้งแรก (ได้ สส.อันดับ 2) เมื่อปี 2566 แม้ว่าจะใช้เล่ห์กลทางการเมือง จับมือเป็นพันธมิตรกับ ‘เครือข่ายอนุรักษนิยม’ จัดตั้งรัฐบาลขึ้นมาได้ก็ตาม
แต่ในช่วงเวลาเป็นรัฐบาลราว 2 ปี มีการเปลี่ยนนายกรัฐมนตรีถึง 2 คน โดยทั้ง 2 คนดังกล่าวถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่ง ในประเด็น ‘ฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรม’ ทั้งสิ้น ไล่เรียงมาตั้งแต่ ‘เศรษฐา ทวีสิน’ นายกฯคนที่ 30 ถูกศาลรัฐธรรมนูญชี้ว่า ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ กรณีเสนอชื่อแต่งตั้ง ‘พิชิต ชื่นบาน’ อดีตทนายความตระกูลชินวัตร เป็น รมต.ประจำสำนักนายกฯ ถัดมา ‘แพทองธาร ชินวัตร’ บุตรสาว ‘ทักษิณ ชินวัตร’ ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งพ้นเก้าอี้นายกฯ กรณีคลิปเสียงสนทนากับ ‘ฮุน เซน’

ภาพ ‘อุ๊งอิ๊ง’ แพทองธาร ชินวัตร จาก www.innnews.co.th
ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน ‘ทักษิณ ชินวัตร’ อดีตนายกฯ 2 สมัยผู้มากบารมี ที่กลับไทยเมื่อปี 2566 และเลือกเคลื่อนไหวทางการเมืองในนาม ‘สทร.’ พ่ายแพ้คดีในศาลฎีกา ถูกบังคับโทษให้กลับไปจำคุก 1 ปี ในคดีทุจริตที่เขาเคยถูกศาลฎีกาฯพิพากษาไปก่อนหน้านี้ แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาเคยถูกส่งเข้าเรือนจำ และถูกส่งตัวไปพักรักษาตัวที่ชั้น 14 รพ.ตำรวจ จนพ้นโทษออกมาแล้วก็ตาม แต่ศาลเห็นว่าคำแก้ต่างเรื่องอาการป่วย ฟังไม่ขึ้น และการส่งตัวไป รพ.ตำรวจ นั้นอาจเป็นไปโดยมิชอบตามขั้นตอน

เหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด พลันที่รัฐบาล ‘ไร้หัว’ ทำให้ศัตรูคู่อาฆาตทางการเมืองอย่าง ‘ก๊กน้ำเงิน’ สบช่องเดินเกมจับมือกับ ‘ก๊กส้ม’ ดีลแลกการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เปิดช่องทำรัฐธรรมนูญใหม่ ผ่านการทำประชามติ และยุบสภาฯ จัดเลือกตั้งใหม่ภายใน 4 เดือน ผลักดัน ‘อนุทิน ชาญวีรกูล’ ขึ้นเป็นนายกฯคนที่ 32 ได้สำเร็จ
พร้อมกับใช้สารพัดวิธีการ ‘ดูด สส.’ ไปเข้าซุ้มสีน้ำเงินจำนวนไม่น้อย บางคนได้รับปูนบำเหน็จนั่งเก้าอี้รัฐมนตรี บางคนได้รับสัญญาใจจะผลักดันให้มีตำแหน่งแห่งที่ในรัฐบาลชุดหน้า ทำให้ปรากฏข่าว ‘คนใกล้ชิด’ ของ ‘ตระกูลชินวัตร’ หลายคน ย้ายออกจาก ‘พรรคเพื่อไทย’ เตรียมไปสังกัด ‘ภูมิใจไทย’ เช่น ‘ตระกูลปัทมะ’ แห่งโคราช และ ‘เกรียง กัลป์ตินันท์’ บ้านใหญ่อุบลราชธานี เป็นต้น
มิใช่แค่ สส.แดง ไหลไป ‘ซุ้มน้ำเงิน’ เพียงอย่างเดียว แต่ สส.บางคนยังไหลไป ‘ซุ้มผู้กอง’ เนื่องจากสายสัมพันธ์ใกล้ชิดส่วนตัว หรือมองว่าในพื้นที่ตัวเองย้ายไปพรรคน้ำเงินน่าจะคะแนนตก แต่อย่างน้อยอยู่พรรคผู้กองที่เคยเป็นพันธมิตรใกล้ชิด ‘นายใหญ่’ น่าจะปลอดภัย และได้น้ำได้เนื้อมากกว่า

@ อนุทิน ชาญวีรกูล
ต้องไม่ลืมว่า ในช่วงหลัง ‘ก๊กสีแดง’ แทบไม่ค่อยจ่าย ‘ค่ากระสุน’ หวังพึ่ง ‘กระแส’ เป็นหลัก โดยอาศัยใบบุญ ‘ทักษิณ’ มาขายในการเลือกตั้ง ทั้งการเลือกตั้งนายก อบจ. และการเลือกตั้งซ่อม สส.หลายครั้งที่ผ่านมา บางแห่งชื่อ ‘ทักษิณ’ ยังมีมนต์ขลังก็ชนะไป แต่บางแห่งที่สิ้นมนต์ขลังแล้วก็พ่ายแพ้หมดท่า เอาแค่การเลือกตั้งซ่อม สส. 2 ครั้งหลังสุดที่ จ.ศรีสะเกษ อดีตถิ่นเสื้อแดง บัดนี้แปรเปลี่ยนเป็นฐานที่มั่น ‘ก๊กน้ำเงิน’ ภายใต้ ‘บ้านใหญ่ไตรสรณกุล’ กันหมดแล้ว
อีกแห่งที่ จ.กาญจนบุรี ซึ่งในการเลือกตั้งปี 2566 เป็นฐานที่มั่นแดงเกือบยกจังหวัด ส่งผลให้ ‘บ้านใหญ่ปิยะโชติ’ ที่คุมทุกซุ้มในเมืองกาญจน์ ผงาดนั่งเก้าอี้รัฐมนตรี ทว่าในการเลือกตั้งซ่อมล่าสุดกลับพ่ายแพ้แบบห่างหลักหมื่นแต้มแก่ ‘เครือข่ายศักดิ์ดา วิเชียร์ศิลป์’ ที่ส่งลูกสาวตัวเองชิงตำแหน่ง
ถึงคิว ‘คุณหญิงหลังม่าน’ จำเป็นต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อหยุดสภาวะ ‘เลือดไหลออก’ ดังกล่าวทันที ไม่อย่างนั้นจะส่งผลสะเทือนมหาศาลในการเตรียมสู้ศึกเลือกตั้งครั้งหน้า ซึ่ง ‘บวรศักดิ์ อุวรรณโณ’ รองนายกฯฝ่ายกฎหมาย กางไทม์ไลน์ในสภาฯแล้วว่า จะมีการยุบสภาฯเมื่อ 31 ม.ค. 2569 และคาดว่าจะเลือกตั้งใหญ่ 29 มี.ค. 2569

@ สมพงษ์ อมรวิวัฒน์
แถมล่าสุดเกิดประเด็น ‘พรรคแตก’ ขึ้นมาอีกคำรบ พลัน ‘สมพงษ์ อมรวิวัฒน์’ อดีตแกนนำกลุ่ม 16 และอดีต สส.ลายคราม หลายสมัย ผู้วางกลยุทธ์สู้ศึกเลือกตั้ง จ.เชียงใหม่ ‘เมืองหลวงชินวัตร’ มาช้านาน ประกาศ ‘ลาออก’ จากพรรค เนื่องจากทนไม่ไหวกับบารมีของ ‘เจ๊วังบัวบาน’ ที่วางคนของตัวเองเพื่อเตรียมสู้ศึกเลือกตั้ง โดยไม่สนกระแสในพื้นที่ ทำให้พ่ายแพ้ศึกเลือกตั้ง สส.ปี 2566 แก่ ‘กระแสส้ม’ แม้ว่าจะได้เก้าอี้ นายก อบจ.เชียงใหม่ มากู้หน้า แต่เชื่อว่าในการเลือกตั้ง สส.ปีหน้า อาจต้องพ่ายให้แก่ ‘พรรคส้ม’ ที่ยังคงเบ่งบานอยู่
ต้องไม่ลืมว่า ‘สมพงษ์’ มิใช่แค่เคยเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย แต่ในอดีตเขาถูกขนานว่า ‘หัวหน้ากลุ่ม 16’ กลุ่มการเมืองที่มีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์การเมืองไทยหลายครั้ง ‘สมพงษ์’ เติบโตมากับ ‘ซุ้มกำนันเป๊าะ’ ในช่วงหัดโลดแล่นในยุทธจักรการเมือง ปัจจุบันยังได้รับความเคารพนับถือจาก สส.รุ่นเก๋า-อดีตนักการเมืองหลายคน ไม่ว่าจะเป็น ‘เนวิน ชิดชอบ’ ครูใหญ่สีน้ำเงิน ‘สรอรรถ กลิ่นประทุม’ แกนนำภูมิใจไทย ‘วราเทพ รัตนากร’ บ้านใหญ่กำแพงเพชร ‘สุชาติ ตันเจริญ’ แกนนำกลุ่มบ้านริมน้ำ เป็นต้น
ดังนั้นการลาออกของ ‘สมพงษ์’ แม้ลึก ๆ แกนนำพรรคจะพอทราบกันล่วงหน้าแล้วว่า เหตุผลหลักมาจากเรื่อง ‘วัยวุฒิ’ ที่อายุปาเข้าไป 84 ปีแล้ว และ ‘จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์’ ลูกชาย สส.เชียงใหม่ ยังคงปักหลักอยู่เพื่อไทยต่อ และมีแววถูกดันเข้าไปมีบทบาทเป็นแกนนำพรรคมากขึ้น แต่ปัญหาการจัดการภายในคือ ‘ข้อเท็จจริง’ ที่ยากจะมองข้ามได้
จึงมีการชูแคมเปญ ‘ยกเครื่องเพื่อไทย’ ขั้วอำนาจจึงสวิงกลับมาที่ ‘ตระกูลจึงรุ่งเรืองกิจ’ สายสีแดง นำโดย ‘เดอะ ซัน’ สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ก้าวขึ้นมามีบทบาทสำคัญอีกครั้ง โดยนั่งเก้าอี้ ‘ผอ.เลือกตั้ง’ ประจำพรรค คอยคัดตัวผู้สมัครลงชิงเก้าอี้ สส. และดูแล-ประสานการลงสมัคร สส.ของพรรคทั้งหมด ขณะเดียวกัน ‘พงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ’ ผู้เป็นหลาน ที่มีบทบาทหลังม่านคอยคุมเสียง สส.ในพรรค ในช่วง 2 ปีหลังสุด ว่ากันว่าจะถูกผลักดันขึ้นเป็น ‘แม่บ้านพรรค’ คนใหม่

@ สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ
พร้อมวางเกมป้องกันข้อครหา ‘ยุบพรรคเพื่อไทย’ ด้วยการให้ ‘แพทองธาร ชินวัตร’ ลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เนื่องจากหากยังนั่งเก้าอี้ตัวนี้อยู่ จำเป็นต้องใช้สถานะ ‘หัวหน้าพรรค’ ลงนามเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งครั้งหน้า รวมถึงการลงนามยินยอมให้ผู้สมัครรับเลือกตั้ง สส.ของพรรค ซึ่งอาจถูก ‘ฝ่ายแค้น’ วางเกม ‘นิติสงคราม’ ไปร้ององค์กรอิสระ จนลุกลามกลายเป็นชนวน ‘ยุบพรรค’ ได้
โดยวางบทบาทให้ ‘อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร’ กลับไปนั่งเก้าอี้ ‘หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย’ เพื่อวางยุทธศาสตร์ด้านมวลชน รวมถึงปั้น ‘คนรุ่นใหม่’ ภายในพรรค เหมือนที่เคยทำช่วงโควิด-19 ที่ผ่านมาจนถึงก่อนการเลือกตั้งปี 2566 โดยมี ‘ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ’ อดีตแกนนำ นปช. ประคับประคองฐานมวลชน ไม่ให้แตกกระสานซ่านเซ็นมากไปกว่าเดิม
นอกจากนี้ ‘ตระกูลชินวัตร’ ถึงจุดจำเป็นต้อง ‘หลบฉาก’ ไปเร้นกายอยู่หลังม่านอีกครั้ง จนกว่าสถานการณ์จะ ‘สุกงอม’ ถึงค่อยกลับออกมาเฉิดฉายใหม่ จึงมีความจำเป็นอย่างมากที่ต้องส่ง ‘หัวโขน’ ให้แก่บุคคลใกล้ชิดที่ไว้วางใจ แต่มิใช่นามสกุลชินวัตร
ว่ากันว่าแคนดิเดตว่าที่หัวหน้าพรรคเพื่อไทยคนใหม่มี 2-3 ชื่อในเวลานี้ ได้แก่
1.สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ผู้มากบารมีในพรรค มี สส.ทั้งรุ่นใหญ่-นกแล ล้อมหน้าล้อมหลังไม่เคยขาด ที่สำคัญเขาไม่เคยเป็นฝ่ายค้านมาก่อน อดีตเคยขึ้นหม้อถึงขนาดนั่งเลขาธิการพรรคไทยรักไทย ในยุค ‘สารพัดวัง’ คุม สส.หลายร้อยคนมาแล้ว จึงมีแนวโน้มสูงที่อาจถูกดันเป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่
2.จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ สส.เชียงใหม่ ลูกชายผู้สืบทอดดีเอ็นเอของ ‘สมพงษ์ อมรวิวัฒน์’ ถูกมองว่าเป็น ‘คนรุ่นใหม่’ ในพรรคที่น่าจับตา เป็น สส.มาแล้วถึง 5 สมัย เคยเป็น รมช.คลัง ในรัฐบาลเศรษฐา และแพทองธาร ดังนั้นหาก ‘ชินวัตร’ ต้องการรีแบรนด์ให้เข้าถึงคนรุ่นใหม่ชื่อของ ‘จุลพันธ์’ ก็น่าจับตามองไม่น้อย
3.จาตุรนต์ ฉายแสง ผู้ได้รับฉายา สุภาพบุรุษประชาธิปไตย อดีตนักศึกษายุค 14 ตุลาฯ อดีต สส.ลายครามหลายสมัย อดีตรองนายกฯ อดีตรัฐมนตรีตั้งแต่ยุครัฐบาลไทยรักไทย และเพื่อไทย เคยรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทยมาแล้ว โดยเขามักถูกจับตามองว่ามีความ ‘รอมชอม’ ในประเด็นสาธารณะอ่อนไหว ทั้งกับขั้วผู้มีอำนาจ และฝ่ายประชาชน อย่างไรก็ดีก่อนหน้านี้ช่วง ‘ม็อบ 3 นิ้ว’ กระแสสูง เคยมีข่าวว่าเขากับ ‘เต้น ณัฐวุฒิ’ จะไปทำพรรคเส้นทางใหม่ แต่ต้องยุติลง เมื่อมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเปลี่ยนสูตรคำนวณปาร์ตี้ลิสต์ ไม่เอื้อพรรคเล็กอีกต่อไป ทำให้ทั้งคู่ต้องกลับมาพรรคเพื่อไทย ปัจจุบัน ‘จาตุรนต์’ ค่อนข้างมีภาพลักษณ์ดี ได้รับการยอมรับจาก ‘คนรุ่นใหม่-ก๊กส้ม’ รวมถึงประสานก๊กแดง-กลุ่มขั้วการเมืองอื่น ๆ ได้บ้าง
4.รายชื่อล่าสุดที่ถูกโยนหินถามทางมาคือ ‘พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง’ หัวหน้าพรรคประชาชาติ อดีตอธิบดีดีเอสไอยุคพรรคพลังประชาชน อดีตเลขาธิการ ศอ.บต. ในยุคเพื่อไทย อาจถูกทาบทามให้มานั่งเก้าอี้หัวหน้าพรรคเพื่อไทย โดยในการเลือกตั้งปี 2562 ‘ตระกูลชินวัตร’ ใช้ยุทธวิธี ‘แตกแบงก์พันเป็นแบงก์ร้อย’ อาศัย 3 พรรคเข้าสู้ในรัฐธรรมนูญปี 2560 ที่ยังใช้ระบบคำนวณแบบ ‘จัดสรรปันส่วน’ นั่นคือ พรรคเพื่อไทย พรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) และมีพรรคเพื่อชาติ กับพรรคประชาชาติ เป็นพันธมิตรหลัก ซึ่งพรรคประชาชาติ แสดงให้เห็นว่าสามารถยืนปักหลักได้บนเวทีการเมืองระดับชาติ ผ่านการเลือกตั้งมา 2 สมัย (2562/2566) และได้ สส.เป็นที่น่าพอใจทั้ง 2 ครั้ง ดังนั้นชื่อของ ‘ทวี’ จึงอาจกลับมาบรรจบที่พรรคเพื่อไทยก็เป็นไปได้

@ พงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ
ในส่วนเลขาธิการพรรคนั้น มี 2 ชื่อถูกโยนออกมา 1.พงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ ผู้เป็นหลานของ ‘สุริยะ’ ซึ่งปัจจุบันตัวเขาทำหน้าที่ในลักษณะเดียวกับอาเมื่อครั้งเป็นเลขาฯพรรคไทยรักไทย แทบทุกระเบียดนิ้ว ในการดูแล-ประสาน สส.-สมาชิก ทำได้แทบจะไม่ขาดตกบกพร่อง แถมได้ขึ้นชั้นประเดิมนั่งเก้าอี้รัฐมนตรีมาแล้ว จึงมีโอกาสเป็น ‘แม่บ้านพรรค’ คนใหม่
2.มนพร เจริญศรี อดีต รมช.คมนาคม บ้านใหญ่นครพนม ที่ผ่านมาไม่ค่อยปรากฏบทบาทหน้าฉากมากนัก แต่เธอคือหนึ่งในนักการเมือง ‘ประสานสิบทิศ’ คุมหลังม่านเพื่อไทย จนผ่านอุปสรรคไปได้หลายครั้ง จนได้รับการยอมรับจากทั้งในพรรค และต่างพรรค ที่สำคัญเธอคือหนึ่งในนักการเมืองสาย ‘เดอะ ซัน’ ด้วย ดังนั้นเธอมีสิทธิมงลงหัวเป็นเลขาธิการพรรคเช่นกัน
สุดท้ายต้องรอดูโฉมหน้าค่าตาของผู้บริหารเพื่อไทย ‘ชุดใหม่’ ว่าจะมีใครกันบ้าง ที่สำคัญจะสามารถฝ่าด่านหินในยุค ‘อนุรักษนิยม’ กำลังครองอำนาจนำได้หรือไม่
รู้ผลแน่หลังเลือกตั้งปีหน้า
