
“...เรื่องนี้ก็คงต้องคุยและวางแผนกัน ต้องสู้ค่ะ เพราะว่าถ้าเกิดเรายังไม่ได้รับความยุติธรรม เราก็ต้องสู้ต่อค่ะ แต่ว่าจุดนี้ก็ยังเป็นห่วงเรื่องความรู้สึกคุณพ่อ เพราะว่าท่านอยู่ในนี้ ก็ไม่ได้มีใครอยู่กับท่านเลย พวกเราก็ได้แต่ส่งกำลังใจ อันนี้มันก็เพิ่งวันนี้ ที่เราโชคดีที่ได้เข้ามาเยี่ยมคุณพ่อ ที่คุณพ่อได้เจอกับครอบครัวในวันนี้...”
ปัญหาคดีความต่างๆ กำลังส่งผลกระทบต่อคนในตระกูลชินวัตร โดยมิอาจหลีกเลี่ยง พลันที่ ‘ทักษิณ ชินวัตร’ อดีตนายกรัฐมนตรี เจอ 2 จังหวะเพลี่ยงพล้ำทางการเมืองติดต่อกัน ภายในเวลาไล่เลี่ยกัน
1.กรณีถูกอัยการสูงสุด (อสส.) ยื่นอุทธรณ์คดีมาตรา 112 ต่อศาล แม้ว่าคณะกรรมการพิจารณาคดีมาตรา 112 ก่อนหน้านี้จะมีมติ 8-2 ไม่ยื่นอุทธรณ์ก็ตาม ส่งผลให้คดีดังกล่าวที่ ‘ค่ายแดง’ ประเมินแล้วว่าโอกาสรอดสูง กลับส่อแววต้องมาสู้กันต่อในชั้นอุทธรณ์
2.กรณีศาลฎีกาพิพากษากลับ คดีเกี่ยวกับการเรียกเก็บภาษี จากการขาย ‘หุ้นชินคอร์ป’ ของ ‘ทักษิณ’ จำนวนกว่า 1.76 หมื่นล้านบาท ขั้นตอนหลังจากนี้จะมีการบังคับคดี ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาราว 1-2 เดือนถึงออกหมายบังคับคดีได้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ในศาลภาษีอากรกลาง (ชั้นต้น) และศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ ให้เพิกถอนการประเมินภาษีของกรมสรรพากร โดยชี้ว่าการดำเนินการไม่ชอบด้วยกฎหมาย นั่นคือในชั้นต้นและชั้นอุทธรณ์ ‘ทักษิณ’ คือผู้ชนะคดีนี้ แต่กรมสรรพากรยื่นฎีกา จนสุดท้าย ‘ทักษิณ’ พ่ายแพ้
ในวันเดียวกัน (17 พ.ย.) บุตรสาว-บุตรชายของ ‘ทักษิณ’ อย่าง ‘พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์-พานทองแท้ ชินวัตร’ เดินทางไปเยี่ยม ‘ทักษิณ’ ที่ปัจจุบันถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำกลางคลองเปรม ซึ่ง ‘ครอบครัวชินวัตร’ ยืนยันว่า ‘ทักษิณ’ เสียใจ และเจ็บช้ำกับเรื่องนี้ แถมครอบครัวยังจิตตก แต่ก็พร้อมวางแผนสู้ต่อ
โดย ‘พินทองทา’ เล่าให้สื่อฟังว่า “ท่านก็เสียใจ เจ็บช้ำ จากกรณีอัยการสูงสุด จะยื่นอุทธรณ์คดีมาตรา 112”
เมื่อสื่อถามว่าทักษิณจะมีวิธีการต่อสู้คดีอย่างไร พินทองทา อธิบายว่า “เรื่องนี้ก็คงต้องคุยและวางแผนกัน ต้องสู้ค่ะ เพราะว่าถ้าเกิดเรายังไม่ได้รับความยุติธรรม เราก็ต้องสู้ต่อค่ะ แต่ว่าจุดนี้ก็ยังเป็นห่วงเรื่องความรู้สึกคุณพ่อ เพราะว่าท่านอยู่ในนี้ ก็ไม่ได้มีใครอยู่กับท่านเลย พวกเราก็ได้แต่ส่งกำลังใจ อันนี้มันก็เพิ่งวันนี้ ที่เราโชคดีที่ได้เข้ามาเยี่ยมคุณพ่อ ที่คุณพ่อได้เจอกับครอบครัวในวันนี้”
ถามย้ำว่า เป็นเรื่องที่กระทบจิตใจครอบครัวมากใช่หรือไม่ เพราะว่าทักษิณ เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแล้วแต่ยังถูกคำสั่งอุทธรณ์กลับ พานทองแท้ กล่าวว่า “ก็เป็นเรื่องที่ทำให้จิตตกพอสมควร แต่ว่าเราขอบคุณทุกกำลังใจที่มีกับครอบครัวเรา”
ประเด็นที่น่าสนใจทั้ง 2 คดีดังกล่าว เคยถูกศาลพิพากษายกฟ้อง หรือพูดง่าย ๆ คือ ‘ทักษิณ’ ชนะคดีในศาลชั้นต้นไปแล้วทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น ‘คดีมาตรา 112’ ศาลอาญา (ชั้นต้น) พิพากษายกฟ้อง ส่วนคดีเรียกเก็บภาษีขายหุ้น 1.76 หมื่นล้านบาท ศาลภาษีอากรกลาง (ชั้นต้น) และศาลอุทธรณ์ชำนัญพิเศษ สั่งเพิกถอนคำสั่งประเมินภาษีของกรมสรรพากร เนื่องจากดำเนินการไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ที่สำคัญ 2 คดีนี้เกิดขึ้นในช่วง ‘หัวเลี้ยวหัวต่อ’ จะมีการ ‘ยุบสภาฯ’ เพื่อนำไปสู่การเลือกตั้งใหม่ช่วงต้นปี 2569 แบบจังหวะเหมาะเหม็งพอดิบพอดี
แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาหลัง ‘รัฐบาลเพื่อไทย’ เสียรังวัดทางการเมืองไปพอสมควรกับกรณีของ ‘แพทองธาร ชินวัตร’ อดีตนายกฯ กรณีคลิปเสียงสนทนาฉาวกับ ‘ฮุน เซน’ ส่งผลให้เธอต้องพ้นเก้าอี้นายกฯ และรัฐบาลพลิกขั้วอำนาจไปสู่ ‘ค่ายน้ำเงิน’ โดยมี ‘พรรคส้ม’ เล่น 2 หน้าทั้ง ‘ฝ่ายค้ำ-ฝ่ายค้าน’ เพื่อหวังผลเรื่องเดียวคือ การร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่

ภาพ ‘อุ๊งอิ๊ง’ แพทองธาร ชินวัตร จาก www.innnews.co.th
มีความพยายามจาก ‘พรรคเพื่อไทย’ ในการจัดทัพปรับศึกเพื่อเตรียมรบในสมรภูมิเลือกตั้งครั้งหน้า ทั้งการวางตัวหัวหน้าพรรคคนใหม่คือ ‘หนิม’ จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ สส.5 สมัย และอดีต รมช.คลัง ในฐานะ ‘คนรุ่นกลางเก่ากลางใหม่’ ขึ้นมานำพรรค และได้รับการยอมรับจากทั้ง สส.บ้านใหญ่ และ ‘เครือข่ายชินวัตร’ แทบทุกสาย
ขณะเดียวกันเลขาธิการพรรคมี ‘เสี่ยไก่’ ประเสริฐ จันทรรวงทอง เครือข่ายของ ‘เฮียเพ้ง’ พงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล หุ้นส่วน ‘ชินวัตร’ คัมแบ็กกลับมา ทำให้ ‘คนเพื่อไทย’ หลายคนยังยอมยืนหยัดอยู่กับพรรค ไม่ย้ายไปซบขั้วอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น ‘ขั้วน้ำเงิน-หรือค่ายผู้กอง’
พร้อมกับเตรียมเปิดตัวแคนดิเดตนายกฯคนใหม่ มีการแย้มกันว่าอาจมีชื่อของ ‘สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ’ หนึ่งในแกนนำพรรคคนสำคัญลุ้นติด 1 ใน 3 ชื่อด้วย แน่นอนว่าชื่อชั้น ‘จึงรุ่งเรืองกิจ’ สายสีแดง ค่อนข้างเรืองอำนาจพอสมควร โดยเฉพาะในสาย สส.อีสาน หวังสกัด ‘เลือดไหลออก’
เหมือนคำกล่าวของอดีตรัฐมนตรีผู้ไม่เคยเป็นฝ่ายค้าน ที่ว่า “ผมถนัดเป็นรัฐบาลมากกว่าฝ่ายค้าน ผมตอบไม่ได้นะครับว่าจะได้เป็นรัฐบาลรึเปล่า แต่ผมก็ไม่เคยเป็นฝ่ายค้านในตอนที่เป็น สส.” แน่นอนบรรดา สส.เพื่อไทย ทั้งระดับนกแล ไล่มาถึงบ้านใหญ่ จนถึงระดับขุนพล ไม่มีใครอยากเป็น ‘ฝ่ายค้าน’ ทุกคนหวังอยากเป็น ‘รัฐบาล’ กันทั้งนั้น
ทว่าเมื่อเกิด 2 จังหวะสำคัญในทางการเมืองข้างต้น ทั้งคดีมาตรา 112 และคดีเรียกเก็บภาษีขายหุ้นชินคอร์ป ที่ ‘บังเอิญ’ ออกมาในช่วงเวลานี้ ย่อมส่งผลให้ ‘ขุนพล’ หลายคน เกิดความระส่ำระส่ายเพราะหาก ‘ทักษิณ’ เพลี่ยงพล้ำอีกครั้ง อาจส่งผลสะเทือนใหญ่ถึง ‘พรรคเพื่อไทย’ ขึ้นได้ ทำให้คงไม่มีทางเลือกนอกจาก ‘ย้ายพรรค’ ไปอยู่กลุ่มขั้วที่อาจได้เป็นรัฐบาลสมัยหน้า นั่นคือ ‘ขั้วน้ำเงิน’
เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่า ‘เพื่อไทย’ ณ เวลานี้ค่อนข้างโดดเดี่ยว เมื่อสลัดทิ้ง ‘ค่ายน้ำเงิน’ ไปเมื่อไม่กี่เดือนก่อน จากจังหวะบาดหมางกันในทางการเมือง ขณะเดียวกันเมื่อมองที่เหลือมีแค่ ‘ขั้วส้ม’ ที่แม้จะมีจุดยืนร่วมกันคือต้านรัฐประหาร แต่ใส้ในอุดมการณ์แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว
ที่สำคัญหาก ‘เพื่อไทย’ จะไปร่วมมือเป็นพันธมิตรกับส้มเพื่อจัดตั้งรัฐบาล ย่อมเป็นไปได้ยากที่จะได้ ‘ใบอนุญาตใบที่ 2’ ตามทฤษฎี ‘ประชาธิปไตย 2 ใบอนุญาต’ ของ ‘ปิยบุตร แสงกนกกุล’ อดีตเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ เคยวิเคราะห์เอาไว้
ทว่า ‘ขั้วน้ำเงิน’ ที่แม้จะเดินเกม ‘ชาตินิยม’ มาขายประชาชนบางกลุ่ม และมี ‘ฝ่ายอนุรักษนิยม’ สนับสนุนจำนวนไม่น้อย ก็ไม่อาจจัดตั้ง ‘รัฐบาลพรรคเดียว’ หรือรัฐบาลที่มีพันธมิตรเท่าที่มีอยู่ในตอนนี้ได้ เพราะแนวโน้มสูงที่เสียง สส.ไม่เพียงพอ ดังนั้นจึงมีความจำเป็นต้องจับมือกับขั้วใดขั้วหนึ่ง แน่นอนว่าการคุยกับ ‘ขั้วแดง’ ย่อมง่ายกว่าหารือกับ ‘ขั้วส้ม’ ที่อาจไม่ได้ใบอนุญาตใบที่ 2 เพื่อตั้งรัฐบาล
ในเมื่อถึงจุดที่กลืนไม่เข้า-คายไม่ออก ‘บ้านจันทร์ส่องหล้า’ จึงเหลือ 2 ทางเลือกคือ 1.ยอมหมอบเล่นตามเกม ‘ขั้วน้ำเงิน-ฝ่ายอนุรักษนิยม’ ที่กำลังใช้เกม ‘นิติสงคราม’ รุกไล่ เปิดดีลใหม่เจรจาเพื่อร่วมรัฐบาลกันอีกครั้ง แม้จะเป็นไปในลักษณะ ‘รบไป-คุยไป’ ก็ตาม
หรือ 2.ถึงจุดลุกขึ้นสู้อีกครั้ง โดยนำพา ‘ค่ายแดง’ ร่วมเป็นพันธมิตรกับ ‘ขั้วส้ม’ ลุยรื้อโครงสร้างทางการเมืองไทยไปด้วยกัน โดยไม่สนใจว่าจะโดนเล่นงานทางการเมืองอย่างไรบ้าง ซึ่งแนวโน้มมาทางนี้ค่อนข้างน้อย เพราะ ‘ชินวัตร’ มีอุดมการณ์ทางการเมืองค่อนข้างแตกต่างกับ ‘ศาสดาส้ม’ แถมเสี่ยงถูกยุบพรรค และติดคุกยาวอีกด้วย

อย่างไรก็ดีจุดยืนของ ‘ทักษิณ’ ณ ช่วงเวลานี้ คงไม่มีใครทราบได้ว่าจะเดินหมากอย่างไร แต่ถ้าจะมองภาพให้ชัดเจนขึ้น ลองย้อนกลับไปวันที่ ‘ทักษิณ’ ที่บินออกนอกประเทศไปถึงดูไบแล้ว แต่ยอมกลับมาเพื่อฟังคำสั่งของศาลฎีกา เมื่อวันที่ 9 ก.ย. น่าจะสะท้อนอะไรบางอย่างได้
ไม่ว่าจะ ‘ถูกหลอก’ ให้กลับมา หรือมี ‘ดีลพิเศษ’ รอบใหม่หรือไม่ ต้องรอติดตามหลังจากนี้
