
"...สิ่งหนึ่งที่จะปั้น ‘กระแส’ ให้กลับมาได้อีกครั้งในการเลือกตั้งครั้งหน้าคือ เหตุการณ์วิกฤติน้ำท่วมภาคใต้ โดยเฉพาะที่หาดใหญ่ อาจเป็นตัวแปรสำคัญในการตัดสินใจของ ‘โหวตเตอร์ภาคใต้’ ได้ โดยเฉพาะ ‘พรรคส้ม’ ที่เริ่มตีตื้นขึ้นมา และได้แสงไปไม่น้อยจากการลงพื้นที่ช่วยน้ำท่วม ซึ่งอาจปักธงได้เพิ่มเติม จากเดิมที่เคยปักธง สส.ภูเก็ตจนเปลี่ยนเป็น ‘เกาะส้ม’ ยกจังหวัดมาแล้ว..."
“เอาผมไปฆ่าให้ตาย ผมก็รักคุณ” คือประโยคคลาสสิกจากภาพยนตร์ ‘มหาลัย’เหมืองแร่’
อาจบ่งบอก ‘ความรักเฉพาะตัว’ แบบฉบับ ‘คนปักษ์ใต้’ ที่แม้ว่าใครบางคนจะเปลี่ยนไปขนาดไหน แต่ถ้าตกหลุมรักไปแล้วก็ยากจะถอนตัว ประเด็นนี้อาจนำมาใช้ได้กับการประเมินฐานเสียงของคนใต้ในการเลือกตั้งครั้งถัดไป
เพราะในการเลือกตั้งที่ผ่านมาหลายสิบปีหลัง ภาคใต้ถือเป็นฐานเสียงสำคัญให้กับ ‘ค่ายพระแม่ธรณีบีบมวยผม’ โดยมี ‘นายหัวชวน หลีกภัย’ อดีตนายกฯ 2 สมัยเป็น ‘สัญลักษณ์’ สำคัญในการเมืองภาคใต้ตอนบน-ตอนกลาง ทว่านับตั้งแต่หลังรัฐประหารปี 2557 ที่เซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบันทางการเมืองจนเหี้ยน ส่งผลให้พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ได้ สส.ลดน้อยลงอย่างมีนัยสำคัญ
ประการแรก
การรัฐประหารปี 2557 สลายภาพการเมือง 2 ขั้วอย่าง ‘แดง-เหลือง’ อย่างชัดเจน โดยเฉพาะ ‘ฝ่ายอนุรักษนิยม’ เลิกใช้งานพรรค ปชป.ที่ถูกผลักดันให้ก้าวขึ้นสู่อำนาจหลายครั้ง ทว่าไม่สามารถ ‘ตอบโจทย์’ ชนชั้นนำได้มากนัก ทำให้มีการผลักดันให้คณะรัฐประหาร ตั้ง ‘พรรคเฉพาะกิจ’ อย่างพลังประชารัฐ (พปชร.) ขึ้นมาสะสางหลายภารกิจสำคัญ โดยชู ‘บิ๊กตู่’ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯเมื่อรัฐประหารปี 2557 และประสบความสำเร็จ ได้รับการเลือกตั้งเป็นนายกฯสมัยที่ 2
ทว่าปัจจุบัน พปชร.แตกสลายอย่างสิ้นเชิง แทบจะ ‘สูญพันธุ์’ ในสมการการเมืองไทย ตั้งแต่ยุค ‘บิ๊กตู่’ แตกตัวออกมาร่วมพรรคเฉพาะกิจอีกพรรคคือ รวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) โดยทั้ง พปชร. และ รทสช. ต่างมีนโยบาย ‘ชาตินิยม’ และเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของฝ่ายอนุรักษนิยม ทว่ากลับพ่ายแพ้ในศึกเลือกตั้งปี 2566 อย่างย่อยยับ ได้ สส.ต่ำ 100 จนกลายเป็น ‘ตัวประกอบ’ ในพรรคร่วมรัฐบาลที่ผ่านมา
สถานะปัจจุบันทั้ง พปชร. ที่ยังมี ‘บิ๊กป้อม’ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ใหญ่ ‘บูรพาพยัคฆ์’ นั่งหัวหน้าพรรค แม้จะประกาศพร้อมสู้ศึกเลือกตั้งครั้งหน้า แต่แทบไม่ได้รับความสนใจจากนักเลือกตั้งมีชื่อ เพราะโยกย้ายไปสังกัดพรรคอื่นกันหมดแล้ว เช่นเดียวกับ รทสช. ที่ยังเหลือ ‘บิ๊กตุ๋ย’ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค กุมบังเหียน แต่ สส.เกือบทุกซุ้มหอบหิ้ว สส.ไปสังกัดพรรคการเมืองอื่น ทั้งพรรคภูมิใจไทย และพรรคกล้าธรรม กันหมด ส่งผลให้เหลือ สส.ที่ยังปักหลักอยู่ค่ายนี้ไม่ถึง 5 คนด้วยซ้ำ
ดังนั้นในการเลือกตั้งครั้งถัดไป พปชร.-รทสช. 2 พรรคเฉพาะกิจหลังรัฐประหาร น่าจะถึงกาลอวสาน ซ้ำรอยบทเรียนพรรคเฉพาะกิจที่ตั้งมาเพื่อสืบทอดอำนาจรัฐประหารหลายพรรคในอดีต
ประการต่อมา
เมื่อฝ่ายอนุรักษนิยมหันไปสนับสนุนพรรคเฉพาะกิจข้างต้น ส่งผลให้ ปชป.ที่เดิมเป็นฐานที่มั่นของฝ่ายอนุรักษนิยม ถึงคราวล่มสลาย มี สส.หลายคนถูกดูดไปสังกัดพรรคการเมืองอื่น ๆ อดีตแกนนำบางคนแยกย้ายไปตั้งพรรคการเมืองใหม่ ขณะที่ ‘อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ’ อดีตนายกฯ อดีตหัวหน้าพรรคต้องลาออกจาก สส. เนื่องจากทำพรรคพ่ายแพ้การเลือกตั้งปี 2562
เมื่อ ‘เดอะ มาร์ค’ ลาออกจาก ปชป.และให้ ‘จุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์’ มาเป็นหัวหน้าพรรค และตัดสินใจพา ปชป.เข้าร่วมรัฐบาลปี 2562 ส่งผลให้คะแนนนิยมของพรรคยิ่งดิ่งเหวอย่างหนัก เนื่องจากไม่สามารถทำนโยบายได้ตามที่หาเสียงไว้ และยิ่งหนักขึ้นในการเลือกตั้งปี 2566 ที่เอา ‘เสี่ยต่อ’ เฉลิมชัย ศรีอ่อน มาเป็นหัวหน้าพรรค และ ‘นายกฯชาย’ เดชอิศม์ ขาวทอง มาเป็นเลขาธิการพรรค ซึ่งตัดสินใจเข้าร่วมรัฐบาลกับ ‘เพื่อไทย’ ปิดฉากศัตรูคู่แค้นทางการเมืองมา 20 ปี ยิ่งสร้างความโกรธแค้นแก่ ‘แฟนคลับพันธุ์แท้’ ไม่ใช่น้อย โดยเฉพาะ ‘คนปักษ์ใต้’ ตัดสินใจเทคะแนนเสียงไปให้กับ 2 พรรคคือ รทสช.ซึ่งหลายคนยังเชื่อมั่นใน ‘ลุงตู่’ และอีกพรรคคือ ‘ภูมิใจไทย’ ที่ยึดหัวหาดอันดามันไปได้หลายจังหวัด
ประการที่สาม
ผลพวงจากรัฐประหารปี 2557 และการยุติสงคราม ‘แดง-เหลือ’ ส่งผลให้ก่อกำเนิดขั้วการเมืองใหม่ขึ้นมานั่นคือ ‘ก๊กส้ม’ นำโดยพรรคอนาคตใหม่ช่วงปลายปี 2561 และผ่านมาราว 7 ปีพรรคนี้ถูกยุบไปแล้ว 2 ครั้ง (อนาคตใหม่/ก้าวไกล) ปัจจุบันคือพรรคประชาชน (ปชน.) อย่างไรก็ดีพรรคนี้ได้รับความนิยมสูงขึ้นทุกปี เลือกตั้งปี 2562 อนค.ได้ สส.รวม 81 ที่นั่ง ถัดมาเลือกตั้งปี 2566 ก้าวไกลได้ สส.ไม่ต่ำกว่า 151 ที่นั่ง แม้ว่าจะถูกยุบพรรคไป และ สส.ทั้งหมดโยกย้ายมาสู่พรรค ปชน. ก็ยังมี สส.สูงสุดในสภาราว 140 เสียง (มี ‘งูเห่า’ 1 คน)
แม้ว่าการเลือกตั้งปี 2566 พรรคก้าวไกล (ขณะนั้น) จะชนะการเลือกตั้ง ด้วยจำนวน สส.มากสุดในสภาฯ 151 ที่นั่ง และคะแนนมหาชน (ปาร์ตี้ลิสต์) กว่า 14 ล้านเสียง แต่ด้วยเล่ห์เหลี่ยมทางการเมือง และกลไกรัฐธรรมนูญปี 2560 ส่งผลให้พรรคนี้อดจัดตั้งรัฐบาล โดย ‘เพื่อไทย’ ถอนตัวมารวมเสียงกับ ‘ขั้วอนุรักษนิยม’ จัดตั้งรัฐบาลเอง หลังจากนั้นไม่นานนัก ‘ทักษิณ ชินวัตร’ อดีตนายกฯผู้มากบารมี ที่หลบหนีคดีทุจริตไปต่างประเทศกว่า 16 ปี ได้กลับเข้าประเทศมารับโทษ อย่างที่หลายคนรับรู้กันไปแล้ว
ประการที่สี่
ความนิยมของ ‘ค่ายน้ำเงิน’ เพิ่มสูงขึ้นอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จากเดิมที่เป็นแค่กลุ่มขั้วทางการเมืองในนาม ‘เพื่อนเนวิน’ สู่พรรคภูมิใจไทย ที่ได้ สส.ราว 20-30 เสียง ในทุกการเลือกตั้ง ทว่าในการเลือกตั้งปี 2566 พรรคนี้ ได้รวมตัว ‘บ้านใหญ่’ หลายพื้นที่ โดยเฉพาะในพื้นที่ ‘ด้ามขวาน’ เกิดปรากฏการณ์ ‘อันดามันสีน้ำเงิน’ จากฝีมือของ ‘พิพัฒน์ รัชกิจประการ’ แกนนำภูมิใจไทยภาคใต้ จนกวาด สส.เข้าสภาฯมากถึง 70 ที่นั่ง นี่ยังไม่นับการปักธง ‘ท้องถิ่นสีน้ำเงิน’ ในการเลือกตั้ง ‘นายก อบจ.’ อีกราว 30 จังหวัด
หรือแม้แต่การเลือก สว.ที่ผ่านมาเมื่อปี 2567 ที่ว่ากันว่า สว.ที่เข้าสภาฯสูงเกือบ 140 คน ได้รับแรงสนับสนุนจาก ‘สีน้ำเงิน’ ท่ามกลางข้อครหาสำคัญ ‘คดีฮั้ว สว.’ ที่อยู่ระหว่างการไต่สวนของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) โดยมี ‘บิ๊กเนมสีน้ำเงิน’ ตกเป็นผู้ถูกกล่าวหา อยู่ในตอนนี้
นอกจากนี้หลัง ‘เพื่อไทย’ เพลี่ยงพล้ำทางการเมืองอย่างหนัก จนต้องตกมาเป็น ‘ฝ่ายค้าน’ ส่วน ‘ก๊กส้ม’ โดนวิจารณ์ว่าเป็น ‘ฝ่ายค้ำ’ ผลักดัน ‘อนุทิน ชาญวีรกูล’ หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ขึ้นเป็นนายกฯคนที่ 32 ส่งผลให้มี ‘บ้านใหญ่-นักเลือกตั้ง’ อีกหลายพรรค ตบเท้าเข้าร่วม ‘ก๊กน้ำเงิน’ แห่งนี้ จนขยับขยายกลายเป็น ‘พรรคขนาดใหญ่’ โดยสมบูรณ์

อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ’ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนปัจจุบัน
นอกจากนี้ด้วยกระแส ‘ชาตินิยม’ ที่กำลังพุ่งสูงอยู่จากเหตุการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ส่งผลให้พรรคนี้มีทั้ง ‘กระแส-กระสุน’ เตรียมไว้พร้อมสรรพในการเลือกตั้งครั้งหน้า จนหลายคนประเมินว่า อาจได้ สส.มากเกินกว่า 100 ที่นั่งด้วยซ้ำไป ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการ ‘ดูด’ สส.พรรคอื่นเข้ามา
ทว่าในสถานการณ์ปัจจุบัน ‘เดอะ มาร์ค’ ตัดสินใจคัมแบ็กกลับมา ‘กู้วิกฤติ’ ในค่ายสีฟ้า โดยหอบหิ้วทีมงานหน้าเดิม เหมือน ‘ครม.อภิสิทธิ์’ ปี 2551-2554 มาร่วมงานด้วย ซึ่งหลายคนเคยลาออกจากพรรคช่วงตกต่ำ แต่กลับเข้ามาเมื่อ ‘อภิสิทธิ์’ กลับมานำพรรค เช่น กรณ์ จาติกวณิช อดีตหัวหน้าพรรคกล้า นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีตรองหัวหน้าพรรคภาคใต้ สาทิตย์ วงษ์หนองเตย อดีตรัฐมนตรี แกนนำพรรค จ.ตรัง สาธิต ปิตุเตชะ บ้านใหญ่ระยอง เป็นต้น
แต่ด้วย 2 สถานการณ์ ‘ชาตินิยม’ ผสม ‘การเมือง 3 ก๊ก’ ซึ่งมี 3 พรรคใหญ่เป็นตัวแสดงขับเคลื่อนหลักคือ พรรคเพื่อไทย พรรคประชาชน และพรรคภูมิใจไทย ขณะเดียวกัน พปชร. และ รทสช.น่าจะถึงคราวล่มสลาย อาจได้ สส.น้อยลงกว่าเดิมค่อนข้างมาก ซึ่งโหวตเตอร์ของ 2 พรรคนี้ส่วนมากเคยเป็นโหวตเตอร์พรรค ปชป.มาก่อน ขณะเดียวกันพรรคขนาดกลาง อย่างชาติไทยพัฒนา ตัดสินใจหอบหิ้ว สส.ไปสังกัดพรรคภูมิใจไทย เกือบหมด มีส่วนสำคัญส่งผลให้ ปชป.อาจกลับมามีบทบาททางการเมืองอีกครั้ง ขยับขึ้นมาเป็นพรรคติด ‘ท็อป 5’ ได้
เห็นได้จาก ‘นิด้าโพล’ ล่าสุด เปิดเผยผลการสำรวจ เรื่อง ‘กระแสการเมือง ภาคใต้’ สำรวจระหว่างวันที่ 18 - 24 พ.ย. 2568 พบว่าบุคคลที่คนใต้จะสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรีในวันนี้ ปรากฏชื่อ ‘อภิสิทธิ์’ อยู่ในอันดับ 2 ที่ 25.65% แซง ‘อนุทิน ชาญวีรกูล’ นายกฯคนปัจจุบัน พรรคภูมิใจไทย ที่ได้ไป 15.40% และ ‘เท้ง’ ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรค ปชน. ที่ได้ไป 12.85% ส่วนอันดับ 1 คือยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้ 32.25%

ขณะที่พรรคการเมืองที่คนใต้จะสนับสนุนในวันนี้ พบว่า อันดับ 1 คือ พรรคประชาธิปัตย์ 28.60% อันดับ 2 ยังหาพรรคการเมืองที่เหมาะสมไม่ได้ 28.45% อันดับ 3 พรรคประชาชน 17.80% อันดับ 4 พรรคภูมิใจไทย 11.65% อันดับ 5 พรรครวมไทยสร้างชาติ 3.90% และอันดับ 6 พรรคเพื่อไทย 2.45%
แต่โพลนี้น่าสนใจ เพราะในการเลือกตั้งปี 2566 พรรค ปชน.คือพรรคที่ได้คะแนนมหาชน (ปาร์ตี้ลิสต์) อันดับ 1 เกือบทั้งประเทศ โดยเฉพาะในภาคใต้ได้อันดับ 1 หลายจังหวัด คิดเป็น 29.92% ทว่าปัจจุบันตามผลโพลดังกล่าวลดเหลือเพียง 17.80% สะท้อนให้เห็นว่า การเมืองใหม่ในกระแสชาตินิยมกำลังไปต่อยาก
ขณะที่ ปชป.เดิมที่ได้ไปเพียง 8.19% วันนี้เพิ่มเป็น 28.60% หรือเพิ่มขึ้นเกือบ 20% สะท้อนว่า ชาวปักษ์ใต้ ยังพร้อมใจกันเลือกค่ายสีฟ้า ถ้าหากได้ตัวผู้บริหารที่ ‘เหมาะสม’ และมีจุดยืนเรื่องต่อต้านการคอร์รัปชัน
อย่างไรก็ดีจุดที่เหมือนกันระหว่าง ปชป.และ ปชน.คือการใช้ ‘กระแส’ นำ ‘กระสุน’ โดย ปชป.มีจุดยืนชัดเจนเรื่อง ‘การเมืองสุจริต’ ปีนี้ชูม็อตโต้ ‘สส.ที่ดี คุณเองก็เป็นได้นะ’ เช่นเดียวกับ ปชน.ที่เน้นจุดยืนเรื่อง ‘ความเปลี่ยนแปลง’ ปีนี้ชูม็อตโต้ ‘มีเรา ไม่มีเทา’ ส่งผลให้ ‘โหวตเตอร์’ 2 กลุ่มนี้ ซึ่งทับซ้อนกันอย่างมีนัยสำคัญ อาจจำเป็นต้องตัดสินใจเลือกพรรคใดพรรคหนึ่ง
เพราะเดิม ‘ค่ายสีฟ้า’ เคยใช้ยุทธศาสตร์ ‘กระแส+กระสุน’ แต่ปัจจุบัน ‘บ้านใหญ่’ ในพื้นที่ภาคใต้หลายจังหวัด เช่น จ.ตรัง จ.พัทลุง หรือแม้แต่ จ.สงขลา โยกย้ายไปสังกัดพรรคอื่น ทำให้ ‘ค่ายสีฟ้า’ ต้องอาศัย ‘กระแส’ เพื่อฟื้นความนิยมพรรคให้กลับมาอีกครั้ง ซึ่งจะไปชิงฐานเสียงในลักษณะเดียวกับ ปชน.ที่เน้นกระแสเช่นกัน
โดยสิ่งหนึ่งที่จะปั้น ‘กระแส’ ให้กลับมาได้อีกครั้งในการเลือกตั้งครั้งหน้าคือ เหตุการณ์วิกฤติน้ำท่วมภาคใต้ โดยเฉพาะที่หาดใหญ่ อาจเป็นตัวแปรสำคัญในการตัดสินใจของ ‘โหวตเตอร์ภาคใต้’ ได้ โดยเฉพาะ ‘พรรคส้ม’ ที่เริ่มตีตื้นขึ้นมา และได้แสงไปไม่น้อยจากการลงพื้นที่ช่วยน้ำท่วม ซึ่งอาจปักธงได้เพิ่มเติม จากเดิมที่เคยปักธง สส.ภูเก็ตจนเปลี่ยนเป็น ‘เกาะส้ม’ ยกจังหวัดมาแล้ว
ส่วน ปชป.แม้จะไม่ค่อยมีสื่อรายงานมากนัก แต่ก็มีการบริจาค และช่วยเหลือประชาชนในหลายพื้นที่อยู่พอสมควร โดยมี ‘จูรี นุ่มแก้ว’ อินฟลูเอนเซอร์ดังภาคใต้ ในฐานะรองหัวหน้า ปชป.ช่วยโปรโมท
ดังนั้นสมรภูมิภาคใต้ครั้งหน้า แย่งชิง 54 ที่นั่ง สส. น่าจะแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ ภาคใต้ตอนบน ปชป.ต้องสู้กับ ปชน. ภูมิใจไทย และกล้าธรรม ส่วนภาคใต้ตอนล่าง-ปลายด้ามขวาน ปชป.ต้องเผชิญหน้ากับพรรคประชาชาติ ภูมิใจไทย และกล้าธรรม
จะดุเด็ดเผ็ดมันแค่ไหน ปชป.จะคัมแบ็กชิงฐานเสียงกลับมาได้หรือไม่ ต้องติดตาม
