
"...ทั้งหมดนี้ คือความเคลื่อนไหวของสมรภูมิ ‘3 ก๊กการเมืองไทย’ ที่กำลังคุกรุ่น ในช่วงโค้งสุดท้าย ก่อนมีการเลือกตั้ง 8 ก.พ. 2569 ท่ามกลางกระแสเชี่ยวกรากของ ‘ฝ่ายอนุรักษนิยม’ จับตา ‘ก๊กแดง-ส้ม’ จะทิ้ง ‘อัตตา’ คัมแบ็กกลับมา จับมือสานฝันดัน ‘ฝ่ายประชาธิปไตย’ ผงาดตั้งรัฐบาล หรือ ‘ก๊กแดง-น้ำเงิน’ จะทิ้งเบื้องหลังหันมา ‘จูบปาก’ จัดตั้งรัฐบาล ‘รบไป-คุยไป’ กันใหม่ โดยมี ‘ก๊วนผู้กอง’ สอดแทรกเป็นปึกแผ่นอีกครั้ง..."
ถ้าไม่มีอุบัติเหตุทางการเมืองใด ๆ ณ เวลานี้กำลังอยู่ในช่วงโค้งสุดท้าย อีกไม่ถึง 2 สัปดาห์ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะเปิดรับสมัคร สส.ทั้งแบบแบ่งเขต และปาร์ตี้ลิสต์ รวมถึงบัญชีแดนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคการเมืองต่าง ๆ ระหว่างวันที่ 27-31 ธ.ค. เพื่อเข้าสู่ ‘โหมดเลือกตั้ง’ อย่างเต็มรูปแบบในช่วงต้นปี 2569
อย่างไรก็ดี สำนักงาน กกต.มีสิทธิ ‘ขยายเวลา’ ในการเลือกตั้งให้ทอดยาวออกไปได้อีก หากเกิด ‘เหตุจำเป็น’ ตามรัฐธรรมนูญ 104 ท่ามกลางสถานการณ์ตึงเครียดทางชายแดนไทย-กัมพูชา ที่กองทัพเริ่มโหมโรงสรรพกำลังโจมตีกัมพูชาอย่างหนักในช่วงเวลานี้
ขณะเดียวกันพรรคการเมืองต่าง ๆ ทยอยเปิดตัว สส.-แคนดิเดตนายกฯของพรรคไปบ้างแล้ว หากโฟกัสเฉพาะสมรภูมิ ‘3 ก๊กการเมือง’ ได้แก่ พรรคประชาชน (ปชน.) พรรคเพื่อไทย และพรรคภูมิใจไทยนั้น 2 ใน 3 พรรคนี้ได้เปิดโฉมหน้า ‘แคนดิเดตนายกฯ’ ของพรรคแก่สาธารณชนให้รับทราบกันไปแล้วเช่นกัน
@ ‘ก๊กส้ม’ ‘เท้ง’ ณัฐพงษ์ นำทีม

เริ่มจาก ‘ก๊กส้ม’ จั่วหัวด้วย ‘เท้ง’ ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรค ปชน.คนปัจจุบัน ‘ไหม’ ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคด้านเศรษฐกิจ ผู้คุมนโยบายต่าง ๆ ของพรรค ‘ต้น’ วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร ผู้อยู่เบื้องหลังการร่างนโยบายของพรรคตั้งแต่ยุคอนาคตใหม่ และเป็นหนึ่งใน ‘วงใน’ ของ ‘กลุ่มเพื่อนเอก’
ที่น่าสนใจ 2 ใน 3 แคนดิเดตนายกฯของพรรค ปชน. ต้องเผชิญคดีความในชั้นการไต่สวนของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กรณี 44 อดีต สส.พรรคก้าวไกล ร่วมกันลงนามเสนอแก้ไขร่างประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ส่อผิดจริยธรรมร้ายแรงหรือไม่ ขณะที่ ป.ป.ช.เตรียมเงื้อมือจะลงดาบภายในสิ้นเดือน ธ.ค. หรืออย่างช้าทอดยาวออกไปไม่เกินวันเลือกตั้ง
เบื้องต้น ปชน.เตรียมแผนรองรับฉากทัศน์ดังกล่าวไว้แล้ว โดย 25 สส.ปชน.ที่ติดบ่วงในคดี 44 สส.ก้าวไกล ดังกล่าว รวมถึงบางคนที่โดนคดีความทางอาญาในชั้นศาล มีบางคนตัดสินใจ ‘วางมือ’ ทางการเมือง เพื่อส่งไม้ต่อให้คนรุ่นถัดไปลงสมัครรับเลือกตั้ง ส่วนบางคนที่มีภาพลักษณ์ดี และกลายเป็น ‘แบรนด์’ ของพรรคไปแล้ว จะถูกผลักดันให้เป็น สส.ปาร์ตี้ลิสต์ เพื่อดึงดูดคะแนนนิยมของพรรค
ขณะเดียวกัน ปชน.กำลังเผชิญ ‘วิกฤติศรัทธา’ อย่างหนักจากบรรดาแฟนคลับ-ด้อมส้ม จากการลงนามข้อตกลง MOA กับพรรคภูมิใจไทย แปลงกายจากฝ่ายค้านเป็น ‘ฝ่ายค้ำ’ ผลักดัน ‘อนุทิน ชาญวีรกูล’ หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เป็นนายกฯคนที่ 32 เพื่อหวังให้ ‘ก๊กน้ำเงิน’ โน้มน้าวใจ สว.ให้ช่วยดันร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ เปิดทางร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ก่อนการเลือกตั้ง
แต่สุดท้ายกลายเป็น ‘มวยล้มต้มส้ม’ เมื่อ ‘ภูมิใจไทย’ ร่วมมือกับ สว.หัก ปชน. โหวตสวนมติ กมธ.แก้ไขรัฐธรรมนูญฯ ข้างมาก ไม่ยอมตัดอำนาจ สว. 1 ใน 3 ในการผ่านร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพื่อหวังให้กลายเป็น ‘ฉบับสีน้ำเงิน’ ส่งผลให้ ‘ก๊กส้ม’ เตรียมยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่ไม่ทันจะได้ยื่นซักฟอก ‘นายกฯอนุทิน’ ตัดสินใจ ‘ยุบสภาฯ’ ลงเสียก่อน ทำให้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ‘แท้ง’ กลางคัน
แม้เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาแกนนำพรรคส้ม หรือที่หลายคนเรียกว่า ‘โปลิตบูโร’ ของพรรค ไม่ว่าจะเป็น ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ชัยธวัช ตุลาธน ปิยบุตร แสงกนกกุล พร้อมด้วยแกนนำ ปชน. เช่น เท้ง ณัฐพงษ์ รังสิมันต์ โรม วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล จะจัดกิจกรรม ‘ปิกนิก’ พบปะประชาชน เพื่อ ‘ขอโทษ’ และขอโอกาส ‘ไปกันต่อ’ ในการเลือกตั้งครั้งหน้าก็ตาม
ทว่าการเล่าเบื้องลึกฉากหลังของ ‘ปิยบุตร’ ในประเด็น MOA สร้างความเจ็บช้ำให้กับ ‘ด้อมส้ม’ บางส่วนไม่มากก็น้อย เนื่องจากเปรียบกระบวนการทำ MOA กับ ‘ก๊กน้ำเงิน’ เป็นแค่ ‘การทดลอง’ ทางการเมืองเท่านั้น ในเมื่อผลลัพธ์ออกมาล้มเหลว ก็จำเป็นต้องเดินไปข้างหน้าต่อ
นอกเหนือจากเงื่อนปมข้างต้นแล้ว หัวหน้าพรรค ปชน.คนปัจจุบันอย่าง ‘ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ’ ด้อมส้มหลายคนมองว่าอาจ ‘ไม่ตอบโจทย์’ โดยเฉพาะเรื่อง ‘ภาพลักษณ์-บุคลิกความเป็นผู้นำ’ ที่เทียบไม่ได้เลยกับหัวหน้าพรรคส้มคนก่อน ๆ อย่าง ธนาธร หรือพิธา หรือแม้แต่ชัยธวัชก็ตาม
ดังนั้นโจทย์สำคัญของ ปชน.ในการรับมือศึกเลือกตั้งครั้งหน้า นอกจากต้องประเมินฉากทัศน์ สารพัดคดี-44 สส.ก้าวไกล ที่กำลังงวดเข้ามาในตอนนี้แล้ว ยังจำเป็นต้อง ‘ปรับโครงสร้างพรรค’ รวมถึงเปิดตัวนโยบาย ‘เรือธง’ เพื่อฟื้นเรตติ้งซึ่งกำลังตกต่ำ โดยเฉพาะในสถานการณ์ ‘อำนาจนิยม’ กำลังกระแสสูง จากเหตุการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ในตอนนี้ด้วย
@ ‘ก๊กแดง’ ‘ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์’ นักวิชาการ ‘ไฮโปรไฟล์’

ถัดมา ‘ก๊กแดง’ เพิ่งเปิดตัวแคนดิเดตนายกฯของพรรคไปเมื่อ 16 ธ.ค.ที่ผ่านมา แม้ไม่หวือหวามากนัก และเป็นไปตามโผนั่นคือ ผลักดัน ‘ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์’ นักวิชาการ ‘ไฮโปรไฟล์’ ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของ ‘สมชาย-เยาวภา วงศ์สวัสดิ์’ ให้เป็นแคนดิเดตนายกฯของพรรค หวังให้เป็น ‘ชินวัตรคนที่ 5’ นั่งเก้าอี้นายกฯคนที่ 33 แต่ก็ดูเหมือนจะ ‘ไม่ปัง’ มากนัก
ส่วนแคนดิเดตนายกฯอีก 2 คน อย่าง ‘จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์’ หัวหน้าพรรคเพื่อไทยคนปัจจุบัน อดีต สส.รุ่นกลางเก่ากลางใหม่ ประสานได้กับทุกกลุ่มขั้วในพรรค และได้รับ ‘ไฟเขียว’ จาก ‘บ้านจันทร์ส่องหล้า’ ก็ตาม แต่ก็ยัง ‘ดีกรี’ ไม่ถึงนั่งเก้าอี้นายกฯ เช่นเดียวกับ ‘สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ’ นายทุนคนสำคัญของพรรค ที่ตอนแรกถูกวางตัวให้อยู่ ‘เบื้องหลัง’ ยุทธศาสตร์การเลือกตั้ง สส. แต่กลับต้องถูกดันมาเป็นแคนดิเดตนายกฯเช่นกัน
ว่ากันว่า ก่อนหน้านี้ ‘ก๊กแดง’ พยายามต่อสายดีล ‘บิ๊กเนมนักธุรกิจ’ หลายคน เพื่อมาเป็นแคนดิเดตนายกฯคนใหม่ ในลักษณะ ‘เศรษฐาโมเดล’ เพื่อหวังล้างภาพ ‘ชินวัตร’ ออกไปในการเลือกตั้งครั้งหน้า เนื่องจากกรณี ‘คลิปเสียงฉาว’ ระหว่าง ‘แพทองธาร ชินวัตร-ฮุน เซน’ ยังคงคุกรุ่นในใจคนในสังคม แต่บรรดาบิ๊กเนมนักธุรกิจเหล่านี้ ‘เซย์ โน’ ทุกคน เพราะสถานการณ์การเมืองตอนนี้ ไม่เหมาะจะไปล่มหัวจมท้ายกับ ‘ก๊กแดง’
ขณะที่นโยบายระดับ ‘เรือธง’ ของพรรคเพื่อไทย ส่วนใหญ่เป็นเรื่องเดิม ๆ ลักษณะ ‘เหล้าเก่าในขวดใหม่’ เช่น นโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ ต่อยอด 30 บาทรักษาทุกโรคเดิมในยุครัฐบาลไทยรักไทย นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย หรือนโยบาย ‘หวยเกษียณ’ ที่เคยทำไว้ในรัฐบาล ‘เศรษฐา-แพทองธาร’ แต่ผลักดันยังไม่สำเร็จ เป็นต้น ส่วนนโยบายที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก เช่น แจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต หรือโครงการซอฟต์พาวเวอร์ ถูกพับเก็บในลิ้นชักเอาไว้
นอกจากนี้กูรูการเมืองประเมินว่า ‘ก๊กแดง’ อาจได้ สส.ไม่ได้เท่าเดิมในการเลือกตั้งปี 2566 (141 เสียง) และอาจกลายเป็นพรรคลำดับที่ 2 หรือ 3 ทำให้โจทย์สำคัญของ ‘เพื่อไทย’ ในการเลือกตั้งครั้งหน้า นอกเหนือจากการกลับมาเป็นรัฐบาลที่ค่อนข้าง ‘เข็นครกขึ้นภูเขา’ แล้ว ยังจำเป็นต้อง ‘ตรึงกำลัง’ บรรดา ‘บ้านใหญ่-ซุ้มการเมือง’ ที่กระจัดกระจายในหลายพื้นที่ ให้กลับมาอยู่ในแถวอีกครั้ง เพื่อป้องกันมิให้ ‘ถูกพลังดูด’ พลิกขั้วไปอยู่ในสังกัดการเมืองอื่น ๆ
@ ‘ก๊กน้ำเงิน’ ‘อนุทิน' นอนมาแคนดิเดตนายกฯลำดับที่ 1

สุดท้าย ‘ก๊กน้ำเงิน’ แม้ยังไม่เปิดตัวแคนดิเดตนายกฯอย่างเป็นทางการ แต่มองจากดาวอังคารก็น่าจะทราบกันดีว่าชื่อของ ‘อนุทิน ชาญวีรกูล’ นายกฯคนที่ 32 นอนมาเป็นแคนดิเดตนายกฯลำดับที่ 1 อย่างแน่นอน และพรรคภูมิใจไทยพร้อมจะ ‘สานฝัน’ ให้เขาได้เป็นนายกฯ 2 สมัยด้วย
ส่วนแคนดิเดตนายกฯอีก 2 คน ก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวว่า ‘ก๊กน้ำเงิน’ ทาบทาม ‘เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ’ รองนายกฯ และ รมว.คลัง ‘เทคโนแครตรุ่นใหม่’ รวมถึง ‘ศุภจี สุธรรมพันธุ์’ รมว.พาณิชย์ นักธุรกิจชื่อดัง อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มของบริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) มาเป็นบัญชีแคนดิเดตนายกฯ ลำดับ 2-3 ท่ามกลางกระแสข่าวว่า ทั้ง 2 คนยังไม่ตอบรับ คงต้องรอจับตาดูในช่วงโค้งสุดท้ายนี้อีกครั้ง
สำหรับ ‘ก๊กน้ำเงิน’ ที่เรตติ้งกำลังฟื้นคืน จากกระแส ‘ชาตินิยม’ ในเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา แม้ก่อนหน้านี้จะเพลี่ยงพล้ำหนักในประเด็น ‘สแกมเมอร์-น้ำท่วมภาคใต้’ ก็ตาม ทว่าพรรคภูมิใจไทยในปัจจุบัน ขยับขยายเติบโตขึ้นจาก ‘พรรคขนาดกลาง’ ที่พร้อมเป็น ‘ตัวแปร’ เสียบร่วมรัฐบาล กลายเป็น ‘พรรคขนาดใหญ่’ เดิมมีแค่ ‘ก๊กครูใหญ่บุรีรัมย์-ก๊กภาคกลาง’ แต่ปัจจุบันมีทั้ง ‘ก๊กสุพรรณบุรี-ก๊วนภาคใต้ตอนบน-กลุ่มมังกรน้ำเค็ม’ ทยอยเข้าพรรคต่อเนื่อง ด้วยความหวัง ‘กระแสขวาหัน’ จะนำพาให้พรรคนี้เป็นรัฐบาลต่อสมัยหน้า
ดังนั้นโจทย์สำคัญของ ‘ภูมิใจไทย’ นอกเหนือจากแบกความคาดหวังของ ‘ฝ่ายอนุรักษนิยม’ ในการเลือกตั้งครั้งถัดไปแล้ว การบริหารจัดการภายในสำคัญอย่างยวดยิ่ง โดยเฉพาะการ ‘แบ่งเค้ก’ กลุ่ม-ก๊วนในพรรคอย่าง ‘สมน้ำสมเนื้อ’ เพื่อป้องกันภาวะ ‘เลือดไหล’ แบบที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วกับ ‘พรรคพลังประชารัฐ’ (พปชร.) จนทำให้ ‘พรรคแตก’ แทบจะสูญพันธุ์ในช่วงเวลานี้
ทว่าในสมการการเมือง 3 ก๊กในตอนนี้ มีอีก 1 พรรคสำคัญที่จะกลายเป็น ‘ตัวแปร’ ในการเลือกตั้งครั้งหน้า นั่นคือ ‘พรรคกล้าธรรม’ ซึ่งมี ‘ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า’ รองนายกฯ และ รมว.เกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานที่ปรึกษา โดยมีการเปิดตัว ‘ผู้กองธรรมนัส’ เป็นแคนดิเดตนายกฯลำดับ 1 ของพรรคไปแล้ว
@ ‘พรรคกล้าธรรม’ เปิดตัว ‘ผู้กองธรรมนัส’

นั่นเพราะ ‘ก๊วนผู้กอง’ อัพไซส์จากพรรคขนาดเล็ก กลายมาเป็นพรรคขนาดกลาง โดยเฉพาะการดึงกลุ่มการเมืองสำคัญมาเข้าพรรคหลายคน ทั้งในพื้นที่ภาคใต้ ภาคกลาง และภาคอีสานบางส่วน ซึ่งส่วนใหญ่ดึงมาจากอดีตผู้แทนฯ ‘ค่ายสีฟ้า-ก๊กสีแดง’ ทำให้ค่อนข้างการันตีเก้าอี้ในการเลือกตั้งครั้งหน้าได้พอสมควร
ดังนั้นโจทย์สำคัญของ ‘ก๊วนผู้กอง’ คือทำอย่างไรก็ได้ให้เป็นรัฐบาล เพราะนับตั้งแต่ ‘ผู้กองธรรมนัส’ คัมแบ็กกลับมาโลดแล่นหน้าฉากบนเวทีการเมืองระดับชาติ เขาแทบไม่เคยเป็นฝ่ายค้านเลย ตั้งแต่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา 2 จนมาถึงปัจจุบัน หรือกว่า 6 ปีมาแล้ว
@ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ‘พี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์’

นี่ยังไม่นับบรรดา ‘พรรคขนาดกลาง’ ที่ยังหลงเหลืออยู่ในสมการเลือกตั้งครั้งหน้า เช่น พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ที่แม้หลายคนมองว่าใกล้ ‘สูญพันธุ์’ แล้วก็ตาม ทว่า ‘บิ๊กป้อม’ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ‘พี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์’ หัวหน้าพรรค พปชร. ยังคงผลักดันให้พรรคนี้โลดแล่นในยุทธจักรการเมืองต่อ โดยมีตัวเขาเป็นแคนดิเดตนายกฯลำดับที่ 1 ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รองหัวหน้าพรรค ลำดับ 2 และ ตรีนุช เทียนทอง รมว.แรงงาน ‘บ้านใหญ่สระแก้ว’ เลขาธิการพรรค ลำดับ 3
ถ้ามองจากภาพรวมในพรรค พปชร.ปัจจุบัน หลงเหลือแค่ สส.ระดับ ‘แถว 2-3’ หลายคนเป็น สส.นกแล-สส.สอบตก จากพรรคการเมืองอื่น คงเหลือฝากผีฝากไข้ได้เพียง จ.สระแก้ว ในการดูแลของ ‘ตระกูลเทียนทอง’ สายของ ‘ขวัญเรือน เทียนทอง’ มารดาของ ‘ตรีนุช’
@ ‘ค่ายสีฟ้า’ ประชาธิปัตย์ (ปชป.) 'อภิสิทธิ์' กลับมาแล้ว

อีกพรรคหนึ่งคือ ‘ค่ายสีฟ้า’ ประชาธิปัตย์ (ปชป.) ที่แม้ได้ ‘หล่อใหญ่’ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คัมแบ็กนั่งหัวหน้า และอดีตทีมบริหารพรรคยุคปี 2551 กลับมากุมบังเหียนอีกครั้ง แต่แลกด้วยการเสีย ‘บ้านใหญ่’ หลายพื้นที่ จ.ภาคใต้ โดยเฉพาะ จ.สงขลา และ จ.ตรัง ซึ่งเป็นพื้นที่ฐานเสียงมายาวนาน ย่อมส่งผลเสียอย่างหนักต่อเรตติ้งในพื้นที่ด้ามขวาน
ในการเลือกตั้งครั้งถัดไป ปชป.ใช้ยุทธวิธี ‘ชิงกระแส’ ซึ่งเป็นวิธีการเดียวกับ ปชน. ซึ่งในข้อเท็จจริงความนิยมของ ‘ค่ายสีฟ้า’ ณ เวลานี้สู้ได้ค่อนข้างยาก ขณะที่ตัวผู้สมัคร สส.ยังคงเคาะไม่สะเด็ดน้ำ แต่คาดว่าน่าจะคว้าชัยได้แค่พื้นที่บางส่วนในภาคใต้ เช่น จ.นครศรีธรรมราช ที่ยังคงมี ‘ตระกูลเดชเดโช’ คอนโทรลในบางพื้นที่อยู่ ขณะที่จังหวัดอื่น ๆ แนวโน้มสอบตกสูง
ทั้งหมดนี้ คือ ความเคลื่อนไหวของสมรภูมิ ‘3 ก๊กการเมืองไทย’ ที่กำลังคุกรุ่น ในช่วงโค้งสุดท้าย ก่อนมีการเลือกตั้ง 8 ก.พ. 2569 ท่ามกลางกระแสเชี่ยวกรากของ ‘ฝ่ายอนุรักษนิยม’ จับตา ‘ก๊กแดง-ส้ม’ จะทิ้ง ‘อัตตา’ คัมแบ็กกลับมา จับมือสานฝันดัน ‘ฝ่ายประชาธิปไตย’ ผงาดตั้งรัฐบาล
หรือ ‘ก๊กแดง-น้ำเงิน’ จะทิ้งเบื้องหลังหันมา ‘จูบปาก’ จัดตั้งรัฐบาล ‘รบไป-คุยไป’ กันใหม่ โดยมี ‘ก๊วนผู้กอง’ สอดแทรกเป็นปึกแผ่นอีกครั้ง
ลุ้นกันหลังเลือกตั้ง!
