‘ธปท.’ เตรียมเปิดให้ผู้ประกอบ ‘ธุรกิจเช่าซื้อ-ลีสซิ่งฯ’ ลงทะเบียน 'รายงานตัว' ก.ย.นี้ พร้อมจัด ‘focus group’ ก่อนประกาศหลักเกณฑ์ ‘กำกับดูแล-กำหนดอัตราดอกเบี้ย’ 3 ธ.ค.นี้
...............................
เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. น.ส.พีรจิต ปัทมสูต ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายคุ้มครองและตรวจสอบบริการทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยในงาน Media briefing : การกำกับดูแลธุรกิจการให้เช่าซื้อและการให้เช่าแบบลีสซิ่งรถยนต์และรถจักรยานยนต์ ว่า พ.ร.ฎ.กำหนดให้การประกอบธุรกิจการให้เช่าซื้อและการให้เช่าแบบลีสซิ่งรถยนต์และรถจักรยานยนต์อยู่ภายใต้บังคับของพระราชบัญญัติธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ.2551 พ.ศ.2568 (พ.ร.ฎ.เช่าซื้อลีสซิ่งฯ) จะมีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด 180 วัน นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา หรือตั้งแต่วันที่ 2 ธ.ค.2568 เป็นต้นไป
ธปท.จึงมีการเตรียมการก่อนที่ พ.ร.ฎ.เช่าซื้อลีสซิ่งฯ จะมีผลบังคับใช้ฯ โดยในเดือน ก.ค.2568 ธปท.จะจัด focus group กับสมาคมที่เกี่ยวข้อง เช่น สมาคมเช่าซื้อฯ และสมาคมลีสซิ่งฯ เพื่อรับทราบสถานการณ์ ข้อมูล และปัญหา ตลอดจนรวบรวมความคิดเห็นต่างๆ เพื่อนำไปจัดทำร่างประกาศ ธปท. เกี่ยวกับหลักเกณฑ์การกำกับดูแลธุรกิจการให้เช่าซื้อและการให้เช่าแบบลีสซิ่งรถยนต์ฯ จากนั้นในเดือน ส.ค.-ก.ย.2568 จะมีการเปิดรับฟังร่างประกาศ ธปท. เกี่ยวกับหลักเกณฑ์การกำกับดูแลฯ เพื่อนำไปปรับปรุง และให้ประกาศ ธปท. ดังกล่าว มีผลบังคับใช้ในวันที่ 3 ธ.ค.2568
“เราจะกำหนดหลักเกณฑ์ โดยออกเป็นประกาศ ธปท. เช่น ถ้าต้องมีเรื่องขออนุญาต ขอผ่อนผัน หรือแจ้งเปลี่ยนแปลง ก็ต้องมาแจ้งเรา ซึ่ง ธปท.สามารถเข้าไปตรวจสอบ รวมทั้งสั่งให้แก้ไขได้ด้วย และภายใต้ พ.ร.ฎ.ฉบับนี้ ได้ กำหนดขอบเขตหน้าที่ ธปท. ค่อนข้างชัด ทั้งเรื่องการกำหนดอัตราดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียม การกำหนดให้ผู้ประกอบการต้องเปิดเผยข้อมูลอะไรบ้าง การประกอบธุรกิจต้องทำอย่างไร ที่สำคัญ ธปท.สามารถกำหนดหลักเกณฑ์การคุ้มครองได้ เช่น การให้สินเชื่ออย่างเป็นธรรม การคุ้มครองผู้บริโภค และการกำหนดเกณฑ์ Market conduct เป็นต้น” น.ส.พีรจิต ระบุ
น.ส.พีรจิต กล่าวว่า ในช่วง 3 เดือน ก่อนที่ พ.ร.ฎ.เช่าซื้อลีสซิ่งฯ จะมีผลบังคับใช้ หรือประมาณเดือน ก.ย.2568 ธปท.จะเปิดให้ผู้ประกอบธุรกิจ คือ นิติบุคคลที่ทำธุรกิจให้เช่าซื้อและให้เช่าแบบลีสซิ่งรถยนต์และรถจักรยานยนต์ เป็นการค้าปกติ มารายงานตัวกับ ธปท. ผ่านเว็บไซต์ของ ธปท. เป็นเวลา 6 เดือน ทั้งนี้ จากข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า พบว่า มีนิติบุคคลที่ทำธุรกิจให้เช่าซื้อและให้เช่าแบบลีสซิ่งฯ ประมาณ 3,000 ราย ในจำนวนนี้เป็นผู้ประกอบการที่มีพอร์ตสินเชื่อตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป 60 ราย และผู้ประกอบการที่มีพอร์ตสินเชื่อ 100-1,000 ล้านบาท ประมาณ 150 ราย
“สิ่งที่ต่างไปจากธุรกิจอื่นๆ อย่างธุรกิจพีโลน ธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคล ต้องมาขออนุญาตจาก ธปท. แต่อันนี้ (ธุรกิจให้เช่าซื้อและให้เช่าแบบลีสซิ่งฯ) ไม่ต้องขออนุญาต แต่ใช้ระบบการรายงานตัว ดังนั้น ผู้ประกอบธุรกิจสามารถดำเนินธุรกิจไปได้อย่างต่อเนื่อง ไม่ต้องมาขออนุญาตก่อนจึงจะทำได้ โดยเขาต้องมารายงานตัวเพื่อให้เรามีข้อมูล แล้วเราจะมีระบบให้ผู้ประกอบธุรกิจรายงานข้อมูลอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำใช้ประกอบในการทำนโยบาย ซึ่งในการรายงานข้อมูลนั้นอาจจะเริ่มในช่วงต้นปี 2570 เพื่อให้ผู้ประกอบการเตรียมระบบข้อมูลต่างๆให้เรียบร้อย” น.ส.พีรจิต กล่าว
น.ส.พีรจิต กล่าวว่า ในกรณีผู้ประกอบการฯไม่มารายงานตัวกับ ธปท. ไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การประกอบธุรกิจและการคุ้มครองผู้บริโภค และไม่รายงานข้อมูล จะมีบทโทษตาม พ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงินฯ ซึ่งมีทั้งปรับ โทษจำคุก หรือทั้งจำทั้งปรับ
น.ส.พีรจิต กล่าวถึงการกำหนดอัตราดอกเบี้ยเช่าซื้อและให้เช่าแบบลีสซิ่งรถยนต์และรถจักรยานยนต์ ภายใต้ พ.ร.ฎ.เช่าซื้อลีสซิ่งฯ ว่า เดิมอำนาจในกำหนดอัตราดอกเบี้ยเช่าซื้อรถ เป็นของสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) แต่เมื่อ พ.ร.ฎ.เช่าซื้อลีสซิ่งฯ มีผลบังคับใช้แล้ว อำนาจในการกำหนดอัตราดอกเบี้ยจะมาอยู่ที่ ธปท. ส่วนอัตราดอกเบี้ยเช่าซื้อในปัจจุบันจะเหมาะสมหรือไม่ ธปท.คงบอกไม่ได้ เพราะต้องมีการหารือกับผู้ประกอบการก่อน เช่น ต้องดูเรื่องต้นทุน เป็นต้น ดังนั้น จึงยังบอกไม่ได้ว่าจะคง ทบทวนหรือเปลี่ยนแปลงอย่างไร แต่เป็นเรื่องที่ ธปท.ต้องเข้าไปดู
ก่อนหน้านี้ สคบ.ได้ออกประกาศฯ กำหนดอัตราดอกเบี้ยในสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ รถจักรยานยนต์ โดยกำหนดแบบอัตราดอกเบี้ยแท้จริง (Effective Interest Rate) สำหรับรถยนต์ใหม่ ไม่เกิน 10% ต่อปี (คิดเป็นอัตราดอกเบี้ยคงที่ ประมาณ 5.5%) ,รถยนต์มือสอง ไม่เกิน 15% ต่อปี (คิดเป็นอัตราดอกเบี้ยคงที่ ประมาณ 8.5% ต่อปี) และรถจักรยานยนต์ ไม่เกิน 23% ต่อปี (คิดเป็นอัตราดอกเบี้ยคงที่ ประมาณ 12.5% ต่อปี)
เมื่อถามว่า การที่ ธปท. เข้ามากำกับดูแลธุรกิจการให้เช่าซื้อและการให้เช่าแบบลีสซิ่งรถยนต์และรถจักรยานยนต์ จะมีผลกระทบต่อการปล่อยสินเชื่อหรือไม่ น.ส.พีรจิต กล่าวว่า ในแง่ผู้ประกอบการ เดิมไม่มีหน่วยงานใดเข้ามากำกับดูแลเลย แต่เมื่อมีหน่วยงานเข้ามากำกับดูแลแล้ว ก็ต้องอยู่ในกรอบมากกว่าเดิมอยู่แล้ว แต่สำหรับประชาชน การที่มีหน่วยงานเข้ามากำกับดูแลธุรกิจนี้ จะทำให้เกิดความเป็นธรรมยิ่งขึ้น เช่น ค่าธรรมเนียมที่ไม่ควรเก็บ ก็ต้องไม่เก็บ หรือถ้ามีการเก็บค่าธรรมเนียม ก็ต้องทำให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน
“การเข้าไปกำกับฯอันนี้ ไม่น่าจะส่งผลมากขนาดนั้น (การเข้าถึงสินเชื่อ) แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้น คือ เขาน่าจะดูเรื่องความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ให้ดีขึ้น และลูกหนี้เอง ค่าธรรมเนียมอะไรที่มันเกินสมควร ก็ควรจะได้ลดลง ซึ่งทำให้โอกาสของลูกหนี้ในการชำระหนี้คืน มีเงินจ่าย ไม่ว่าจะเป็นค่าธรรมเนียม ดอกเบี้ย ทำได้ดีขึ้น มันคงไม่ใช่ว่า พอกำกับฯแล้ว จากนี้ไปไม่มีใครปล่อยรถ ปล่อยมอเตอร์ไซค์ คงไม่ใช่แบบนั้น โดยเราจะค่อยๆกำหนดกฎเกณฑ์เข้าไป ทยอยเข้าไป และการที่ ธปท.จะกำหนดกฎเกณฑ์อะไร ต้องดูข้อมูลค่อนข้างเยอะ ฟังจากผู้ประกอบการ เป็น evidence based policy และเมื่อเขาเข้ามาในระบบแล้ว จะทำให้เรามีข้อมูลที่ดีขึ้น และทำนโยบายที่ตอบโจทย์ได้มากขึ้น” น.ส.พีรจิต กล่าว
อ่านประกอบ :
ธปท.เผยร่าง พ.ร.ฏ.กำกับดูแล‘ธุรกิจเช่าซื้อรถฯ’ ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของ‘กฤษฎีกา’
ครม.ไฟเขียวร่าง พ.ร.ฎ.กำกับธุรกิจเช่าซื้อรถฯ ให้อำนาจ'ธปท.'กำหนด'ดอกเบี้ย-เบี้ยปรับ'
ไม่ใช่ลดต้นลดดอก! 'สคบ.'แจงยิบประกาศคุมสัญญาเช่าซื้อ'รถ-มอเตอร์ไซค์'ลดเอาเปรียบผู้บริโภค
สภาองค์กรของผู้บริโภค จี้ สคบ.แจงข้อเท็จจริง‘ประกาศเช่าซื้อรถ’ สร้างความชัดเจน
แพร่ประกาศคุมเช่าซื้อ‘รถยนต์-มอ’ไซค์’ ให้คิดดบ.10-23%-ห้ามเขียนสัญญาเอาเปรียบผู้บริโภค
รัฐย้ำคุม‘ดอกเบี้ย’สินเชื่อเช่าซื้อ‘มอเตอร์ไซค์’-‘คลัง-ธปท.’เปิดงานไกล่เกลี้ยหนี้ออนไลน์
‘ธปท.’เล็งประกาศแนวนโยบายแก้ปัญหา‘หนี้ครัวเรือน’ หวังกำกับปล่อยสินเชื่อใหม่ที่มีคุณภาพ
‘ธปท.’เปิดรับฟังความเห็นร่าง พ.ร.ฎ.กำกับดูแลธุรกิจ‘เช่าซื้อ-ลีสซิ่ง’รถยนต์-มอเตอร์ไซค์
แกะปมเช่าซื้อ'มอเตอร์ไซค์' คิดดอกเบี้ย 50-70% ต่อปี 'สคบ.'ขยับคุมสัญญา-ชง SFI ปล่อยกู้
ชำแหละปัญหา ‘หนี้เช่าซื้อ’ กรณี ‘ลุงทองเสาว์’ ถึงเวลารัฐออกกฎคุ้มครองลูกหนี้