“…การทุจริตในประเทศไทยเกี่ยวข้องกับกลุ่มผู้มีอำนาจในประเทศ ที่ถึงแม้จะมีจำนวนไม่มากนัก แต่ยังมีอิทธิพลที่สามารถควบคุมระบบการเมืองของประเทศ ให้สามารถเอื้อผลประโยชน์ให้กับพวกพ้องของตน เพื่อให้เกิดข้อได้เปรียบทางเศรษฐกิจบางประการ เช่น การได้รับการปฏิบัติแบบพิเศษ การได้รับยกเว้นการดำเนินการทางด้านกฎหมาย…”
........................................
ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 10 มิ.ย.ที่ผ่านมา ที่ประชุม ครม. รับทราบ ‘รายงานผลการวิเคราะห์ดัชนีการรับรู้การทุจริต ประจำปี พ.ศ.2567’ และ ‘รายงานผลการขับเคลื่อนการยกระดับค่าคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริต ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567’ ตามที่ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (สำนักงาน ป.ป.ท.) เสนอ
ทั้งนี้ ภายใต้ ‘รายงานผลการขับเคลื่อนการยกระดับค่าคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริต ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567’ สำนักงาน ป.ป.ท. ได้ทำการวิเคราะห์เชิงลึกเกี่ยวกับการ ‘ทุจริต’ ในประเทศไทย เพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์ปัจจุบัน และแนวโน้มของปัญหาการทุจริตในประเทศ
โดยอาศัยข้อมูลจากแหล่งที่ใช้ในการคํานวณดัชนีการรับรู้การทุจริต (Corruption Perceptions Index : CPI) ขององค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (TI) จำนวน 9 แหล่ง เพื่อนำมาวิเคราะห์ผลการประเมินคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริตของประเทศไทย ประจำปี พ.ศ.2566 (CPI 2023)
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) จึงขอนำเสนอมุมมองของ ‘สถาบันต่างประเทศ’ 9 แห่ง ต่อสถานการณ์ทุจริตในประเทศไทย ระหว่างปี 2563-2566 ผ่านผลการศึกษาวิเคราะห์ผลการประเมินคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริตของประเทศไทยฯ ของสำนักงาน ป.ป.ท. มีรายละเอียดที่น่าสนใจ ดังนี้
@ชี้ผลพวงรัฐประหารปี 57 ทำกลไกตรวจสอบ‘ทุจริต’อ่อนแอ
ผลการวิเคราะห์ผลการประเมินคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริตของประเทศไทย ประจำปี พ.ศ.2566
1.Bertelsmann Stiftung Transformation Index 2024 (BF (TI))
Bertelsmann Stiftung Transformation Index 2024 (BF (TI)) จัดทำขึ้นโดยมูลนิธิเบอร์เทลแมนน์ เป็นการประเมินการใช้ตำแหน่งหน้าที่เพื่อประโยชน์มิชอบ และประสิทธิภาพของรัฐบาลในการควบคุมปัญหาการทุจริต โดยวิเคราะห์จากสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในประเทศนั้น ว่า การปราบปรามการทุจริต และบังคับใช้กฎหมายกับผู้กระทำผิดมีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใด
ค่าคะแนน BF (TI) ของประเทศไทยในปี พ.ศ.2563-2566 พบว่า ในปี พ.ศ.2563 ถึง พ.ศ.2565 ค่าคะแนนมีความคงที่ 37 คะแนน แต่ในปี พ.ศ.2566 คะแนนลดลง ถึง 4 คะแนน โดยมีค่าคะแนน 33 คะแนน
Bertelsmann StiftungTransformation Index 2024 (BF (TI)) กล่าวถึงประเด็นสำคัญหลายประการที่เกี่ยวข้องกับธรรมาภิบาล และการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับสถานการณ์การทุจริตในประเทศ ที่ชี้ให้เห็นถึงปัจจัยต่างๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อการแก้ไขปัญหาการทุจริต โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านโครงสร้างทางการเมืองและการบริหารประเทศ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการสร้างความโปร่งใสและความรับผิดชอบในระบบราชการและการเมือง
ประการแรก เสรีภาพในการแสดงออก การมีส่วนร่วมทางการเมือง และเสรีภาพในการรวมกลุ่ม จากการจํากัดเสรีภาพในการแสดงออกและการรวมกลุ่ม อาจทำให้ประชาชนและภาคประชาสังคม ไม่สามารถตรวจสอบและเปิดโปงการกระทำที่ทุจริตได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ยังอาจนําไปสู่การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเกิดการทุจริต เนื่องจากขาดการตรวจสอบจากสาธารณะและสื่อมวลชน
ประการที่สอง การตรวจสอบและถ่วงดุลยังมีความอ่อนแอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกำกับดูแลของฝ่ายบริหารที่มีอำนาจเหนือกว่าฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายตุลาการ อาจเป็นปัจจัยสำคัญที่เอื้อให้เกิดการทุจริตได้ง่ายขึ้น เนื่องจากเจ้าหน้าที่รัฐและผู้มีอำนาจทางการเมือง อาจไม่ต้องเผชิญกับการตรวจสอบที่เข้มงวด หรือการลงโทษที่รุนแรงเมื่อมีการกระทำที่ทุจริต
ประการที่สาม อิทธิพลของทหารในการเมือง ทหารยังคงมีบทบาทและอิทธิพลอย่างมากในการเมืองไทย ปรากฏการณ์นี้สร้างความกังวลในหลายด้าน โดยเฉพาะในแง่ของความขัดแย้งทางผลประโยชน์ที่อาจเกิดขึ้น และการขาดความโปร่งใสในกระบวนการตัดสินใจทางการเมือง
นอกจากนี้ อิทธิพลของทหารในการเมือง ยังอาจส่งผลกระทบต่อความพยายามในการปฏิรูประบบราชการและการสร้างความโปร่งใสในการบริหารประเทศ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการต่อต้านการทุจริต
ประการที่สี่ การที่รัฐบาลทหารเข้ามาบริหารประเทศตั้งแต่การรัฐประหารในปี พ.ศ.2557 ส่งผลกระทบต่อสถานการณ์การทุจริตในประเทศไทยอย่างมีนัยสําคัญ แม้จะมีการจัดการเลือกตั้งในปี พ.ศ.2562 แต่โครงสร้างอำนาจยังคงอยู่ภายใต้อิทธิพลของทหาร และนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้ง ยังคงเป็นคนเดียวกับผู้ที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหลังรัฐประหาร ส่งผลให้กลไกการตรวจสอบถ่วงดุลทางการเมืองอ่อนแอลง
ประการที่ห้า ความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาทุจริตในประเทศไทยยังมีจํากัด บ่งชี้ว่ากลไกการต่อต้านการทุจริตที่มีอยู่อาจยังไม่แข็งแกร่งเพียงพอ หรือไม่ได้รับการนําไปปฏิบัติอย่างมีประสิทธิภาพ การที่ความพยายามในการต่อต้านการทุจริตไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร อาจส่งผลให้ปัญหาการทุจริตฝังรากลึกในระบบการเมืองและสังคมไทย ซึ่งจะเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาประเทศในระยะยาว
@EIU ชี้‘ผู้มีอิทธิพลการเมือง-คนร่ำรวย’ได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษ
2.Economist Intelligence Unit Country Risk Service 2023 (EIU)
Economist Intelligence Unit Country Risk Service 2023 (EIU) เป็นบริษัทย่อยของหนังสือพิมพ์ Economist Newspaper ที่ให้ความช่วยเหลือข้อมูลด้านธุรกิจ การเงิน และรัฐบาลในการรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ในการสร้างโอกาสและความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งเป็นการตรวจสอบการใช้งบประมาณ การใช้อำนาจแต่งตั้งเจ้าหน้าที่รัฐ และความเป็นอิสระขององค์กรตรวจสอบ
EIU วิเคราะห์เชิงลึกเกี่ยวกับความเสี่ยงที่ระบบเศรษฐกิจของประเทศต้องเผชิญ ได้แก่ ความโปร่งใสในการจัดสรร และการใช้จ่ายงบประมาณ การใช้ทรัพยากรของราชการ/ส่วนรวม การแต่งตั้งข้าราชการจากรัฐบาลโดยตรง
มีหน่วยงานอิสระในการตรวจสอบการจัดการงบประมาณของหน่วยงานนั้นๆ มีหน่วยงานอิสระด้านยุติธรรม ตรวจสอบผู้บริหาร/ผู้ใช้อำนาจ มีธรรมเนียมการให้สินบน เพื่อให้ได้สัญญาสัมปทานจากหน่วยงานของรัฐ ทั้งนี้ EIU มีการสํารวจเก็บข้อมูลประมาณเดือนกันยายนของทุกปี
ค่าคะแนน EIU ของประเทศไทยใน ปี พ.ศ.2563-2566 พบว่า ค่าคะแนนมีความคงที่ 37 คะแนน ซึ่งอาจเนื่องมาจากการที่ประเทศไทยยังคงมีความเสี่ยงด้านความมั่นคง ด้านเสถียรภาพทางการเมือง ด้านประสิทธิผลของรัฐบาล และด้านกฎหมายและข้อบังคับ ซึ่งมีผลมาจากความขัดแย้งของกลุ่มผู้สนับสนุนพรรคก้าวไกลกับกลุ่มทหาร และฝ่ายอนุรักษ์นิยม
รวมถึงการเข้ามามีอำนาจทางการเมืองที่มากเกินไปของกลุ่มทหาร และผลการดำเนินงานด้านการกำกับดูแลกิจการของรัฐ และการดำเนินการต่อต้านการทุจริตของรัฐบาลปัจจุบันในอดีตที่ถูกมองว่าขาดประสิทธิภาพ
Economist Intelligence Unit Country Risk Service 2023 (EIU) ได้วิเคราะห์เชิงลึกเกี่ยวกับความเสี่ยงที่ระบบเศรษฐกิจของประเทศไทยต้องเผชิญ โดยประเด็นที่มีความเสี่ยงในระดับสูงที่ EIU 2023 กล่าวถึงประเทศไทย มีรายละเอียด ดังนี้
ความเสี่ยงด้านความมั่นคงของประเทศ ประเทศไทยยังคงมีความเสี่ยงด้านความมั่นคงของประเทศอยู่ในระดับสูงจากการยุบพรรคก้าวไกล ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้าน รวมถึงการที่ทหารเข้ามามีบทบาทแทรกแซงทางการเมือง อีกทั้งปัญหาความขัดแย้งในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง รวมถึงปัญหาความขัดแย้งของชนกลุ่มน้อยในประเทศเมียนมาร์ ตามแนวชายแดนติดต่อกับประเทศไทย
ความเสี่ยงด้านเสถียรภาพทางการเมือง ประเทศไทยยังคงมีความเสี่ยงด้านเสถียรภาพทางการเมืองเพิ่มขึ้น จากสาเหตุความขัดแย้งระหว่างกลุ่มผู้สนับสนุนพรรคก้าวไกล ซึ่งถูกมองว่าเป็นฝ่ายต่อต้านสถาบัน ที่พยายามผลักดันให้เกิดการลดอิทธิพลทางการเมืองของฝ่ายอนุรักษ์นิยมลง กับกลุ่มทหารที่ได้รับการสนับสนุนจากฝ่ายอนุรักษ์นิยม โดยความขัดแย้งของทั้งสองฝ่าย ส่งผลต่อเสถียรภาพทางการเมือง
ความเสี่ยงด้านประสิทธิผลของรัฐบาล ประเทศไทยยังคงมีความเสี่ยงด้านประสิทธิผลของรัฐบาลสูง เนื่องจากการดําเนินงานของพรรคเพื่อไทยในช่วงปี พ.ศ.2544-2549 ปี พ.ศ.2551 และ ปี พ.ศ.2554-2557 เกี่ยวกับการกำกับดูแลการดำเนินของรัฐและการดำเนินการด้านการต่อต้านการทุจริต ทำได้ไม่ดีนัก
จากสาเหตุของการขัดกันแห่งผลประโยชน์ ระหว่างพรรคการเมืองกับกลุ่มการเมืองภายในพรรค และการขาดการประสานงานระหว่างหน่วยงานรัฐ ส่งผลให้การตัดสินใจและการดำเนินนโยบายเกิดความล่าช้า อย่างไรก็ตาม รัฐบาลปัจจุบันกําลังพยายามดำเนินการปรับกฎระเบียบที่ล้าสมัย เพื่อให้เกิดความสะดวกในการดำเนินธุรกิจมากขึ้น
ความเสี่ยงด้านกฎหมายและข้อบังคับ ระบบกฎหมายของประเทศไทยถูกมองว่า มีความล่าช้า แม้จะมีความเที่ยงธรรม โดยเฉพาะกฎหมายทางการค้า และยังคงพบว่า กลุ่มผู้มีอิทธิพลทางการเมืองหรือ กลุ่มคนร่ำรวยจะได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษ
@GI เผยทำธุรกิจในไทย ต้องใช้‘สัมพันธ์ส่วนตัว-เครือข่ายธุรกิจ’
3.Global Insight Country Risk Ratings 2022 (GI)
Global Insight Country Risk Ratings 2022 (GI) เป็นการจัดอันดับความเสี่ยงด้านทางธุรกิจ การติดสินบนเจ้าหน้าที่ และการออกนโยบายที่เอื้อประโยชน์ต่อธุรกิจบางธุรกิจ ในแหล่งข้อมูล GI มีประเด็นที่ องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ นํามาคํานวณเป็นคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริต คือ
“ความเสี่ยงของการที่บุคคลหรือบริษัทจะต้องเผชิญกับการติดสินบนหรือการทุจริตในรูปแบบอื่น เพื่อที่จะทำให้การดำเนินธุรกิจเป็นไปอย่างราบรื่น เช่น เพื่อให้ได้รับสัญญาเพื่อการส่งออก นําเข้า หรือเพื่อความสะดวกสบายเกี่ยวกับงานด้านเอกสารต่างๆ มีมากน้อยเพียงใด” ซึ่งถูกประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญแต่ละประเทศ ซึ่งได้รับข้อมูลจากกลุ่มลูกค้า ผู้ทําสัญญากับภาครัฐ นักลงทุน นักธุรกิจ ผู้รับงานอิสระ เครือข่ายนักข่าว
โดยค่าคะแนน GI ของประเทศไทย ใน ปี พ.ศ.2563-2566 พบว่า ค่าคะแนนมีความคงที่ 35 คะแนน เนื่องมาจากการทุจริตในประเทศไทยมีความแพร่หลายในหลายภาคส่วนของเศรษฐกิจ
Global Insight Country Risk Ratings 2022 (GI) จัดอันดับความเสี่ยงทางธุรกิจ การติดสินบนเจ้าหน้าที่ และการออกนโยบายที่เอื้อประโยชน์ต่อธุรกิจบางธุรกิจ
โดย GI กล่าวถึงความเสี่ยงทางธุรกิจของประเทศไทยถึงความท้าทายที่บริษัทต่างชาติต้องเผชิญในการได้รับสัญญาและใบอนุญาตในประเทศไทย โดยระบุว่า กระบวนการ มักขาดความโปร่งใส และอาจมีการเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทท้องถิ่น หรือบริษัทที่มีความสัมพันธ์กับผู้มีอำนาจ
GI ชี้ให้เห็นว่าการใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวและเครือข่ายทางธุรกิจ ยังคงมีบทบาทสำคัญในการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย ซึ่งอาจทำให้บริษัทต่างชาติที่ไม่มีเครือข่ายดังกล่าวเสียเปรียบในการแข่งขัน นอกจากนี้ GI ยังได้ย้ำถึงความสำคัญของการทำความเข้าใจกับวัฒนธรรมท้องถิ่นและแนวปฏิบัติทางธุรกิจของไทย เพื่อให้สามารถนําทางความท้าทายเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
@IMD ระบุทำธุรกิจในไทย ต้อง‘จ่าย’ค่าอํานวยความสะดวก
4. IMD World Competitiveness Center World Competitiveness Yearbook Executive Opinion Survey 2023 (IMD)
IMD World Competitiveness Center World Competitiveness Yearbook Executive Opinion Survey 2023 (IMD) เป็นการนําข้อมูลสถิติทุติยภูมิและผลการสํารวจความคิดเห็นผู้บริหารระดับสูง ไปประมวลผลจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย และพิจารณาจาก 4 องค์ประกอบ คือ 1) สมรรถนะทางเศรษฐกิจ 2) ประสิทธิภาพของภาครัฐ 3) ประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ 4) โครงสร้างพื้นฐาน
ทั้งนี้ IMD สํารวจข้อมูลประมาณ เดือนมกราคม-เมษายน ของทุกปี ในแหล่งข้อมูล IMD World Competitiveness Yearbook (IMD) โดยมีประเด็นที่องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ นํามาคํานวณ เป็นคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริตจากแบบสํารวจความคิดเห็นผู้บริหารระดับสูงในประเทศไทย คือ “มีการติดสินบนและการทุจริตหรือไม่”
ค่าคะแนน IMD ของประเทศไทยใน ปี พ.ศ.2563-2566 พบว่า ในปี พ.ศ.2563 มีค่า คะแนน 41 คะแนน และปีพ.ศ.2564 มีค่าคะแนนลดลง 2 คะแนน เป็น 39 คะแนน และปี พ.ศ. 2565 ค่าคะแนนสูงขึ้น 4 คะแนน คือ จาก 39 คะแนน เป็น 43 คะแนน
และมีความคงที่ในปี พ.ศ.2566 อาจมาจากปัจจัยการพัฒนาโครงสร้างด้านเทคโนโลยี (Technological Infrastructure) ที่มีมาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการลงทุนระหว่างประเทศ (International Investment) และการค้าระหว่างประเทศ (International Trade) ที่ปรับตัวดีขึ้นมากภายหลังจากการเปิดประเทศหลังวิกฤตโรคโควิด-19
IMD ให้ข้อมูลและการวิเคราะห์เกี่ยวกับผลกระทบของการทุจริตต่อความสามารถในการแข่งขัน ว่า การทุจริตเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่บั่นทอนความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในเวทีระหว่างประเทศ
โดย IMD กล่าวถึงการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย มักต้องจัดสรรทรัพยากรส่วนหนึ่งไว้ สำหรับการจัดการกับการทุจริต ไม่ว่าจะเป็นการจ่ายเงิน เพื่ออํานวยความสะดวก หรือการสร้างความสัมพันธ์กับผู้มีอำนาจ ซึ่งทำให้เกิดต้นทุนที่ไม่จำเป็นและลดทอนความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจในระยะยาว
อีกทั้งการทุจริตในระบบการศึกษาและการวิจัย ส่งผลเสียต่อคุณภาพของการศึกษา และการพัฒนาทักษะของแรงงาน ซึ่งการทุจริตอาจทำให้เกิดการสมองไหล (Brain Drain) โดยนักวิชาการและผู้มีความสามารถอาจเลือกย้ายไปทำงานในประเทศ ที่มีระบบที่โปร่งใสและเป็นธรรมมากกว่า ซึ่งส่งผลเสียต่อการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว
@PERC ชี้‘ผู้มีอำนาจ’คุมระบบการเมือง เอื้อประโยชน์พวกพ้อง
5.Political and Economic Risk Consultancy Asian Intelligence 2023 (PERC)
Political and Economic Risk Consultancy Asian Intelligence 2023 (PERC) สํารวจข้อมูลจากนักธุรกิจในท้องถิ่นและนักธุรกิจชาวต่างชาติที่เข้าไปทำธุรกิจในประเทศนั้นๆ ได้แก่ นักธุรกิจจากสมาคมธุรกิจ ผู้แทนที่เข้าร่วมการประชุมต่างๆ ในเอเชีย ผู้แทนหอการค้าประเทศต่างๆ เป็นต้น ซึ่งข้อมูลที่นำมาใช้จัดทำ CPI 2023 เป็นข้อมูลที่เก็บรวบรวมข้อมูลประมาณเดือนมกราคมถึงต้นเดือนมีนาคม 2566
ทั้งนี้ PERC มีหลักเกณฑ์ในการสํารวจ โดยการสอบถามกลุ่มตัวอย่าง ซึ่งเป็นการถามคําถามที่แสดงให้เห็นถึง ระดับการรับรู้ในเรื่องการทุจริต โดยมีคําถามที่ใช้ในการสํารวจที่สำคัญ คือ ท่านจะให้คะแนนปัญหาการทุจริตในประเทศที่ท่านทำงานหรือประกอบธุรกิจเท่าใด
ค่าคะแนน PERC ของประเทศไทยในปี พ.ศ.2563-2566 พบว่า ในปี พ.ศ.2563 มีค่า คะแนน 38 คะแนน ในปี พ.ศ.2564 และปี พ.ศ. 2565 มีค่าคะแนนลดลงต่อเนื่อง เป็น 36 คะแนน และ 35 คะแนน ตามลำดับ และกลับมามีค่าเพิ่มขึ้นในปี พ.ศ.2566 จำนวน 2 คะแนน เป็นจำนวน 37 คะแนน
PERC มองว่าการทุจริตในประเทศไทยเกี่ยวข้องกับกลุ่มผู้มีอำนาจในประเทศ ที่ถึงแม้จะมีจำนวนไม่มากนัก แต่ยังมีอิทธิพลที่สามารถควบคุมระบบการเมืองของประเทศ ให้สามารถเอื้อผลประโยชน์ให้กับพวกพ้องของตน เพื่อให้เกิดข้อได้เปรียบทางเศรษฐกิจบางประการ เช่น การได้รับการปฏิบัติแบบพิเศษ การได้รับยกเว้นการดำเนินการทางด้านกฎหมาย เป็นต้น
Political and Economic Risk Consultancy Asian Intelligence 2023 (PERC) สํารวจข้อมูลโดยการสอบถามกลุ่มตัวอย่าง ซึ่งเป็นการถามคําถามที่แสดงให้เห็นถึงระดับการรับรู้ในเรื่องการทุจริต PERC กล่าวถึงการทุจริตของประเทศไทยไว้ ว่า
การทุจริตในประเทศไทยเกี่ยวข้องกับกลุ่มผู้มีอำนาจในประเทศ แม้กลุ่มผู้มีอำนาจในประเทศจะมีจำนวนไม่มากนัก แต่ยังมีอิทธิพลที่สามารถควบคุมระบบการเมืองของประเทศ ให้สามารถเอื้อผลประโยชน์ให้กับพวกพ้องของตน เพื่อให้เกิดข้อได้เปรียบทางเศรษฐกิจบางประการ
การรับรู้ว่ายังมีระดับการทุจริตในหน่วยงานภาครัฐ โดยหน่วยงานภาครัฐบางแห่ง ยังสร้างให้เกิดการรับรู้ว่า ยังมีการทุจริต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการออกใบอนุญาต การจัดเก็บภาษี และการบังคับใช้กฎหมาย อีกทั้งการดำเนินคดีในศาลที่ใช้ระยะเวลานานเกินไป รวมถึงอัตราการตัดสินรับโทษที่ต่ำเกินไป ส่งผลให้บุคคลหรือหน่วยงานที่กระทำการทุจริตไม่เกรงกลัวในการรับโทษใดๆ
การต้องจ่ายเงินเพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์ทางธุรกิจ บริษัทต่างชาติที่ดำเนินธุรกิจในประเทศไทย มักต้องคำนึงถึงต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตในการวางแผนธุรกิจ ซึ่งรวมถึงค่าใช้จ่ายในการสร้างความสัมพันธ์กับผู้มีอำนาจ การจ่ายเงินอํานวยความสะดวก และค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติตามกฎระเบียบที่อาจมีความซับซ้อนหรือไม่ชัดเจน
การตรวจสอบและการถ่วงดุลอำนาจ ปัญหาการทุจริตของประเทศไทยเลวร้ายลงอย่างต่อเนื่อง สาเหตุจากการตรวจสอบและการถ่วงดุลอำนาจที่ไม่สามารถดำเนินการได้อย่างเป็นรูปธรรม การดำเนินคดีทุจริตกับบุคคลที่มีความใกล้ชิดกับทหารมักไม่มีการดำเนินคดีหรือการสอบสวนอย่างจริงจัง
แต่สำหรับคดีที่เกี่ยวข้องกับการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลทหาร กลับถูกดำเนินคดีอย่างเข้มงวด หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ การดำเนินคดีที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตเป็นการดําเนินงานแบบเลือกปฏิบัติ โดยผู้มีอำนาจ
@‘ทุจริต’เป็นความเสี่ยงทางการเมือง-กระทบ‘เสถียรภาพรัฐบาล’
6.The PRS Group International Country Risk Guide 2023 (PRS)
Political Risk Services International Country Risk Guide (ICRG) เป็นการจัดอันดับความเสี่ยงของประเทศต่างๆ ทั้งความเสี่ยงด้านการเมือง ด้านเศรษฐกิจและด้านการเงิน วิเคราะห์ข้อมูลโดยผู้เชี่ยวชาญ และมีการรายงานผลทุกเดือน ครอบคลุม 140 ประเทศทั่วโลก
“การทุจริต” เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ใช้ประเมินความเสี่ยงด้านการเมือง PRS จึงมุ่งประเมินการทุจริตในระบบการเมือง โดยรูปแบบการทุจริตที่พบมากที่สุด คือ การเรียกรับสินบน หรือการเรียกรับเงินเพื่ออํานวยความสะดวกในการนําเข้า/ส่งออก การประเมินภาษี รวมถึงระบบอุปถัมภ์ ระบบพวกพ้อง การให้เงินสนับสนุนพรรคการเมืองแบบลับๆ และความสัมพันธ์ใกล้ชิดของนักการเมืองกับนักธุรกิจ
ค่าคะแนน PRS ของประเทศไทยใน ปี พ.ศ.2563-2566 พบว่า ค่าคะแนนมีความคงที่ 32 คะแนน อย่างไรก็ตาม PRS รายงานว่าการทุจริตยังคงเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของความเสี่ยงทางการเมืองในประเทศไทย โดยส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของรัฐบาล ประสิทธิภาพในการดำเนินนโยบาย และความเชื่อมั่นของนักลงทุน
PRS ชี้ให้เห็นว่าการทุจริตในระดับสูงมักเกี่ยวข้องกับการเมืองและนโยบายสาธารณะ ซึ่งอาจนําไปสู่ความไม่มั่นคงทางการเมืองและการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลอย่างฉับพลัน โดยเฉพาะเมื่อมีการเปิดเผยหรือกล่าวหาเกี่ยวกับการทุจริตขนาดใหญ่
Political Risk Services International Country Risk Guide (ICRG) จัดอันดับความเสี่ยงของประเทศ ทั้งความเสี่ยงด้านการเมือง ด้านเศรษฐกิจและด้านการเงิน โดยข้อมูลที่ได้รับจาก PRS เกี่ยวกับประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตในประเทศไทยสามารถวิเคราะห์สถานการณ์ ได้ดังนี้
เสถียรภาพของรัฐบาล (Government Stability) ค่าดัชนีเสถียรภาพของรัฐบาลมีแนวโน้มที่ดีขึ้นตลอดปี ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการเลือกตั้งและการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ การเพิ่มขึ้นของเสถียรภาพทางการเมืองนี้อาจเป็นโอกาสสำคัญในการผลักดันนโยบายต่อต้านการทุจริตที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
กฎหมายและความสงบเรียบร้อย (Law & Order) ค่าดัชนีกฎหมายและความสงบเรียบร้อยมีความคงที่ ซึ่งเป็นระดับที่ค่อนข้างต่ำ สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายในการบังคับใช้กฎหมายและการรักษาความสงบเรียบร้อยในประเทศ
ดัชนีความเสี่ยงทางการเมือง (Political Risk Rating) ดัชนีความเสี่ยงทางการเมืองมีแนวโน้มที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง แสดงให้เห็นถึงสภาพแวดล้อมทางการเมืองที่มีเสถียรภาพมากขึ้น ซึ่งอาจเอื้อต่อการดำเนินนโยบายต่อต้านการทุจริตในระยะยาว
@WEF เผย‘ผู้นําทางธุรกิจ’มีความไว้วางใจ‘นักการเมืองไทย’ต่ำ
7.World Economic Forum Executive Opinion Survey 2023 (WEF)
World Economic Forum Executive Opinion Survey 2023 (WEF) เป็นการประเมินการจ่ายเงินสินบนเกี่ยวกับการนําเข้าส่งออก การเข้าถึงสาธารณูปโภคการประเมินภาษีประจำปี การได้รับสัมปทาน การแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม และการนําเงินงบประมาณภาครัฐไปให้กับบริษัทบุคคลกหรือกลุ่มบุคคลใดๆ เพื่อการทุจริต
โดยสํารวจมุมมองของนักธุรกิจที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยเกี่ยวกับปัจจัยที่เป็นอุปสรรคสูงสุดในการทำธุรกิจ 5 ด้าน คือ 1) การทุจริต 2) ความไม่มั่นคงของรัฐบาล/ปฏิวัติ 3) ความไม่แน่นอนด้านนโยบาย 4) ระบบราชการที่ไม่มีประสิทธิภาพ 5) โครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภคที่ไม่เพียงพอ
ค่าคะแนน WEF ของประเทศไทยในปี พ.ศ.2563-2566 พบว่า ในปี พ.ศ.2563 มีค่า คะแนน 43 คะแนน และในปี พ.ศ.2564 มีค่าคะแนนลดลง 1 คะแนน เป็น 42 คะแนน และ ปี พ.ศ. 2565 ค่าคะแนนเพิ่มขึ้น 3 คะแนน จาก 42 คะแนน เป็น 45 คะแนน แต่ในปี พ.ศ.2566 คะแนนลดลงถึง 9 คะแนน โดยมีค่าคะแนน 36 คะแนน และแม้ว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จะมีความพยายามในการแก้ไขปัญหาการทุจริต แต่ความสำเร็จยังไม่เห็นเป็นรูปธรรมมากนัก
World Economic Forum Executive Opinion Survey 2023 (WEF) สํารวจมุมมองของนักธุรกิจที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยเกี่ยวกับปัจจัยที่เป็นอุปสรรคสูงสุดในการทำธุรกิจ การวิเคราะห์สถานการณ์ทุจริตในประเทศไทยจากมุมมองของภาคธุรกิจ โดยอ้างอิงจากผลสํารวจความคิดเห็นของผู้บริหาร (Executive Opinion Survey: EOS) ซึ่งจัดทำโดย The World Economic Forum 2023
แม้ว่าผลสํารวจจะไม่ได้ระบุว่า การทุจริตที่สำคัญที่สุดในการทำธุรกิจของประเทศไทยคืออะไร แต่ผลสํารวจชี้ให้เห็นว่าประสิทธิภาพของความพยายามในการต่อต้านการทุจริตในประเทศไทยยังอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ เมื่อเทียบกับประเทศอื่น ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า
ผู้นําทางธุรกิจมองว่ามาตรการต่อต้านการทุจริตที่มีอยู่ในปัจจุบันยังไม่มีประสิทธิภาพ เพียงพอในการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม รวมถึงผู้นําทางธุรกิจมีความไว้วางใจในนักการเมืองไทยต่ำ ซึ่งความไม่ไว้วางใจนี้ อาจเป็นผลมาจากประสบการณ์ในอดีตที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตที่เกิดขึ้นจำนวนมาก การใช้อำนาจในทางมิชอบ หรือการเอื้อประโยชน์ให้กับพวกพ้อง ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่พบเห็นได้บ่อยในวงการการเมืองไทย
ผลสํารวจยังชี้ให้เห็นถึงระดับความเป็นอิสระของระบบตุลาการที่อยู่ในระดับปานกลาง ซึ่งความเป็นอิสระของระบบตุลาการเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นว่า การกระทำที่ทุจริตจะได้รับการลงโทษอย่างเหมาะสม และเป็นกลไกสำคัญในการยับยั้งการทุจริต ซึ่งจากผลสํารวจ อาจบ่งชี้ถึงความจําเป็นในการเสริมสร้างความเข้มแข็งและความน่าเชื่อถือของกระบวนการยุติธรรมในการต่อสู้กับการทุจริต
@WJP ชี้‘หน่วยงานตำรวจ’ยังมีปัญหารับสินบน-เรียกรับผลปย.
8.World Justice Project Rule of Law Index Expert Survey 2023 (WJP)
World Justice Project Rule of Law Index Expert Survey 2023 (WJP) เป็นรายงานประจำปีที่ถูกจัดทำขึ้น เพื่อวัดหลักนิติธรรมในแต่ละประเทศ ผ่านการสํารวจครัวเรือนมากกว่า 149,000 ครัวเรือน และนักกฎหมายหรือผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมาย 3,400 คน
โดยในปี 2023 มีประเทศที่ถูกจัดลำดับ 142 ประเทศ โดยการประเมินการใช้อำนาจรัฐเพื่อผลประโยชน์ส่วนตนของข้าราชการ เจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายตุลาการ ฝ่ายทหาร และตำรวจ โดยประเมินค่าความโปร่งใสโดยใช้หลักนิติรัฐ มีหลักการสำคัญ 4 ประการ
คือ 1) รัฐบาลและหน่วยงานของรัฐต้องอยู่ภายใต้กฎหมายและถูกตรวจสอบได้ 2) กฎหมายต้องเปิดเผย ชัดเจน มั่นคง ปกป้องสิทธิเสรีภาพของประชาชน 3) กระบวนการทางกฎหมายมีความเป็นธรรม มีประสิทธิภาพ 4) การตัดสินคดีต้องมีความเป็นธรรม มีจริยธรรม มีความเป็นกลาง
ค่าคะแนน WJP ของประเทศไทยใน ปี พ.ศ.2563-2566 พบว่า ค่าคะแนนลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยในปี พ.ศ. 2563 มีคะแนน 38 คะแนน ปี พ.ศ.2564 มีคะแนน 35 คะแนน ปี พ.ศ.2565 มีคะแนน 34 คะแนน และในปี พ.ศ.2566 มีคะแนน 33 คะแนน
โดย WJP ได้ให้ข้อมูลและการวิเคราะห์ที่สำคัญเกี่ยวกับสถานการณ์การทุจริตในประเทศไทย ผ่านดัชนีนิติธรรม (Rule of Law Index) ว่า การทุจริตยังคงเป็นปัญหาที่สำคัญในระบบยุติธรรมของประเทศไทย
โดยมีการระบุถึงปัญหาความล่าช้าในกระบวนการยุติธรรม การบังคับใช้กฎหมายที่อ่อนแอลง เกิดการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม และความล่าช้าในการพิจารณาคดีที่อาจเกิดจากการทุจริต โดยฝ่ายบริหารมีอำนาจเหนือฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายตุลาการ ที่ระบบยุติธรรมไม่สามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนได้
WJP ชี้ให้เห็นว่าปัญหาเหล่านี้ ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชนต่อระบบยุติธรรมและการบังคับใช้กฎหมายอย่างเท่าเทียม ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของหลักนิติธรรมและการพัฒนาประชาธิปไตย
นอกจากนี้ WJP ยังได้วิเคราะห์การทุจริตในหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหน่วยงานตำรวจ WJP รายงานว่า ยังคงมีปัญหาการรับสินบนในการจับกุมผู้กระทำผิด การเรียกรับผลประโยชน์จากผู้ประกอบการ และการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
ปัญหาเหล่านี้ไม่เพียงแต่บั่นทอน ประสิทธิภาพในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม แต่ยังส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชนต่อ เจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมาย
@‘เลือกตั้งไทย’มีการซื้อสิทธิขายเสียง-ใช้อิทธิพลแทรกแซงฯ
9.Varieties of Democracy 2023 (V-Dem) Varieties of Democracy 2023 (V-Dem)
เป็นสถาบันที่เกิดจากการรวมตัวของภาควิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยกูเตนเบิร์ก ประเทศสวีเดน และสถาบันเคลลอกก์ มหาวิทยาลัยนอร์ทเธอร์ดาม ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งดำเนินการจัดเก็บข้อมูลด้านรัฐศาสตร์
V-Dem วัดเกี่ยวกับความหลากหลายของประชาธิปไตย การถ่วงดุลของฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติและตุลาการ ตลอดจนการทุจริตของเจ้าหน้าที่ในฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ ซึ่งในปี 2016 มีการวัดในอาเซียน เพียง 4 ประเทศ แต่ต่อมาในปี 2017 จนถึงปัจจุบัน มีการวัดในประเทศกลุ่มอาเซียน 10 ประเทศ
ค่าคะแนน V-Dem ของประเทศไทยใน ปี พ.ศ.2563-2566 พบว่า ในปี พ.ศ.2563 มีค่าคะแนน 20 คะแนน และเพิ่มขึ้น 6 คะแนน ในปี พ.ศ. 2564 มีความคงที่ถึง พ.ศ.2566 ที่คะแนน 26 คะแนน
Varieties of Democracy 2023 (V-Dem) ประเมินเกี่ยวกับความหลากหลายของประชาธิปไตย การถ่วงดุลของฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ ตลอดจนการทุจริตของเจ้าหน้าที่ในฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ
โดย V-Dem กล่าวถึงสถานการณ์การทุจริตในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมิติที่เกี่ยวข้องกับประชาธิปไตยและการปกครองว่า แม้ระบบประชาธิปไตยของประเทศไทยดีขึ้น จากการที่พรรคฝ่ายค้านได้รับสิทธิ์เข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการเลือกตั้งระดับท้องถิ่นและระดับประเทศมากขึ้น แต่การทุจริตยังคงเป็นปัญหาที่สำคัญในกระบวนการเลือกตั้งของประเทศไทย
V-Dem กล่าวถึงการทุจริตในกระบวนการเลือกตั้งของไทยว่า ยังคงมีการซื้อสิทธิขายเสียง การใช้อิทธิพลในการแทรกแซงการทำงานขององค์กรอิสระที่มีหน้าที่ควบคุมดูแลการเลือกตั้ง
อีกทั้งกระบวนการเลือกตั้ง ยังถูกมองว่าเป็นความก้าวหน้าด้านประชาธิปไตยเพียงชั่วคราว เนื่องจากรัฐธรรมนูญที่ใช้ในปัจจุบัน และการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภาอยู่ภายใต้การดําเนินงานของรัฐบาลทหาร รวมถึงยังมีการใช้ทรัพยากรของรัฐ เพื่อประโยชน์ทางการเมือง และการแทรกแซงการทำงานขององค์กรอิสระที่มีหน้าที่ควบคุมดูแลการเลือกตั้ง
V-Dem ชี้ให้เห็นว่า ปัญหาเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของกระบวนการประชาธิปไตย และความชอบธรรมของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
เหล่านี้เป็นมุมมองและผลสำรวจของ ‘สถาบันต่างประเทศ’ 9 แห่ง เกี่ยวกับสถานการณ์การทุจริตในประเทศไทยในมิติต่างๆ ในช่วงระหว่างปี 2563-2566 ภายใต้การบริหารประเทศของ ‘รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์’ ถึงช่วงต้น ‘รัฐบาลเศรษฐา’ และจนถึงขณะนี้ยังไม่มีสัญญาณหรือแนวโน้มว่า ปัญหาการทุจริตในประเทศไทยจะเบาบางลงแต่อย่างใด?