
“…ปัจจุบันการออกแบบ SMR จำนวนมากยังคง ‘อยู่บนกระดาษ’ และยังขาดประวัติการดำเนินงานจริง ซึ่งส่งผลให้โครงการในหลายประเทศประสบความล่าช้าและต้นทุนสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก แม้จะกล่าวอ้างว่า ‘คาร์บอนเป็นศูนย์’ แต่การประเมินผลกระทบควรพิจารณาตลอดวงจรชีวิตของโรงไฟฟ้า...”
โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก หรือ Small Modular Reactors (SMRs) กำลังเป็นที่จับตามองในฐานะทางเลือกใหม่สำหรับการผลิตไฟฟ้าที่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนต่ำ ซึ่งสอดรับกับความต้องการพลังงานสะอาดและเป้าหมายการลดการพึ่งพาพลังงานฟอสซิลของประเทศไทย
เทคโนโลยีนี้ถูกนำเสนอในฐานะตัวแก้ปัญหา (Solution) ที่มีศักยภาพในการเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงานและสนับสนุนการบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนของประเทศ
ดร.ไชยยศ สุนทรภา หัวหน้ากลุ่มงานนิวเคลียร์ กองงานนิวเคลียร์รังสี สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ กล่าวว่า SMRs ถูกกำหนดโดยทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (International Atomic Energy Agency: IAEA) ว่าเป็นเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ที่มีกำลังการผลิตไฟฟ้าไม่เกิน 300 เมกะวัตต์ ซึ่งมีขนาดประมาณ 1 ใน 3 ของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทั่วไป SMRs มีการออกแบบให้ผลิตชิ้นส่วนหลักสำเร็จรูปจากโรงงานในรูปแบบโมดูลาร์ เพื่อให้การก่อสร้างรวดเร็วขึ้นและควบคุมงบประมาณได้ดีขึ้น
ดร.ไชยยศ กล่าวถึง จุดเด่นสำคัญคือระบบความปลอดภัยแบบ Passive Safety ที่สามารถถ่ายเทความร้อนได้เองโดยไม่ต้องใช้พลังงานจากภายนอก ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของการหลอมละลายของเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ นอกจากนี้ ยังมี Micro Reactors ซึ่งมีขนาดเล็กยิ่งกว่า โดยมีกำลังการผลิตเพียง 2-10 เมกะวัตต์ และบางรุ่นสามารถขนส่งกลับไปยังประเทศผู้ผลิตเพื่อจัดการกากกัมมันตรังสีได้
ในส่วนแผนพลังงานของประเทศไทย ดร.ไชยยศ กล่าวว่า ร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP) ปี 2024 (พ.ศ. 2567-2580) คาดการณ์ว่าจะมีการก่อสร้างโรงไฟฟ้า SMR 2 แห่ง กำลังการผลิตแห่งละ 300 เมกะวัตต์ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้ โดยมีเป้าหมายที่จะเริ่มดำเนินการในปี พ.ศ. 2580

รูปจำลองโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (โรงไฟฟ้า SMR)
ดร.ไชยยศ กล่าวถึงโอกาสของ SMR ว่า SMR เป็นแหล่งพลังงานฐาน (Baseload Power) ที่สามารถผลิตไฟฟ้าได้อย่างมั่นคงและต่อเนื่องตลอดเวลา การใช้ SMR ยังช่วยลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลที่ประเทศไทยต้องนำเข้าในสัดส่วนสูง SMR มีความยืดหยุ่นในการติดตั้งสูง เนื่องจากมีขนาดเล็กกว่าโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทั่วไป
นอกจากนี้ ยังสามารถใช้ผลิตความร้อนสำหรับภาคอุตสาหกรรม หรือใช้ในการผลิตก๊าซไฮโดรเจน ซึ่งเป็นการเพิ่มมูลค่าและตอบสนองความต้องการพลังงานที่หลากหลาย ข้อได้เปรียบที่สำคัญที่สุดคือการผลิตไฟฟ้าที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนเป็นศูนย์ในระหว่างการดำเนินงาน
ดร.ไชยยศ กล่าวถึงความท้าทายและข้อควรพิจารณา ว่า SMR มีต้นทุนต่อหน่วยพลังงานที่สูงกว่าโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดใหญ่เนื่องจากเสียเปรียบในแง่ของการประหยัดต่อขนาด (Economy of Scale) คือการลดต้นทุนการผลิตโดยการผลิตให้มากขึ้นเพื่อให้ได้ต้นทุนที่ต่ำลง
“ปัจจุบันการออกแบบ SMR จำนวนมากยังคง ‘อยู่บนกระดาษ’ และยังขาดประวัติการดำเนินงานจริง ซึ่งส่งผลให้โครงการในหลายประเทศประสบความล่าช้าและต้นทุนสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก แม้จะกล่าวอ้างว่า ‘คาร์บอนเป็นศูนย์’ แต่การประเมินผลกระทบควรพิจารณาตลอดวงจรชีวิตของโรงไฟฟ้า” ดร.ไชยยศ กล่าว
ดร.ไชยยศ กล่าวเพิ่มเติมว่า เนื่องจากกิจกรรมต้นน้ำ เช่น การทำเหมือง อาจมีการปล่อยก๊าซคาร์บอน การออกกฎหมายความรับผิดทางแพ่งสำหรับความเสียหายทางนิวเคลียร์และรังสีที่จำกัดความรับผิดของผู้ประกอบการ ทำให้ต้นทุนที่เกินกว่าขีดจำกัดนี้ตกเป็นภาระของรัฐและประชาชน และยังมีความขัดแย้งระหว่างการเปิดเผยข้อมูลด้านความปลอดภัยกับการรักษาความมั่นคงในการขนส่งวัสดุกัมมันตรังสี ประชาชนมีความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของ SMR โดยเฉพาะจากเหตุการณ์ในอดีต

ดร.ไชยยศ สุนทรภา
ด้าน รศ.สาวิตรี สุขศรี รองคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงความสำคัญกับนโยบายและการมีส่วนร่วมของประชาชน ว่า ประเทศไทยแสดงความสนใจในเทคโนโลยี SMR อย่างชัดเจน โดยมีแรงผลักดันหลักจากความต้องการพลังงานสะอาดเพื่อลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล การลดการเผาผลาญเชื้อเพลิงฟอสซิลยังช่วยลดความผันผวนของราคาพลังงานที่เชื่อมโยงกับตลาดโลก
รศ.สาวิตรี กล่าวว่า การนำ SMR มาใช้สอดคล้องโดยตรงกับเป้าหมายของประเทศไทยในการมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนและบรรลุพันธกรณีในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามข้อตกลงระหว่างประเทศ และในส่วนการยอมรับและความเชื่อมั่นของประชาชนเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการพัฒนา SMR ในประเทศไทย การสร้างความเชื่อมั่นจึงเป็นสิ่งสำคัญ
ขณะที่ ศ.ดร.อำนาจ วงศ์บัณฑิต อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้มุมมองเชิงกฎหมายและข้อควรระวัง ว่า ในส่วนแผนพลังงานของประเทศไทย หรือ แผน PDP 2024 จัดสรรสัดส่วนพลังงานนิวเคลียร์ไว้เพียง 1% ภายในปี พ.ศ. 2580 ซึ่งชี้ให้เห็นว่าบทบาทของ SMR อาจเป็นการสำรวจและเสริมมากกว่าการเป็นพลังงานหลัก
ศ.ดร.อำนาจ กล่าวว่า ประเทศไทยมีกรอบกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับพลังงานนิวเคลียร์อยู่แล้วประมาณ 70-80% ที่สามารถใช้กำกับดูแล SMR ได้ อย่างไรก็ตาม ลักษณะเฉพาะของ SMR ก่อให้เกิดช่องว่างและความท้าทายด้านกฎระเบียบที่กฎหมายที่มีอยู่ซึ่งออกแบบมาสำหรับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดใหญ่ยังไม่ครอบคลุม
อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีช่องว่างทางกฎหมายอยู่ ศ.ดร.อำนาจ อธิบายว่า กฎหมายภายในประเทศ เช่น พระราชบัญญัติพลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติ พ.ศ. 2559 อาจไม่ครอบคลุมโรงงานผลิตและประกอบ SMR โดยตรง SMR ที่ผลิตเพียงความร้อนอาจไม่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการผลิตไฟฟ้า นอกจากนี้ การทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) สำหรับ SMR ที่ผลิตความร้อนหรือเป็นแบบเคลื่อนที่อาจเป็นเรื่องท้าทาย และยังมีความจำเป็นที่ต้องเร่งรัดการเป็นภาคีในอนุสัญญาว่าด้วยความรับผิดทางแพ่งต่อความเสียหายทางนิวเคลียร์
“มีงานวิจัยที่ชี้ให้เห็นว่า SMR อาจสร้างกากกัมมันตรังสีต่อหน่วยพลังงานมากกว่าโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทั่วไปและอาจมีการรั่วไหลของนิวตรอนมากกว่า และประเด็นการจัดการกากกัมมันตรังสีในระยะยาวเป็นหนึ่งในข้อกังวลที่สำคัญของประชาชน ชุมชนต้องเห็นผลประโยชน์โดยตรงจากโครงการ เช่น การจ้างงานหรือกองทุนพัฒนาชุมชน เพื่อสร้างการยอมรับ” ศ.ดร.อำนาจ กล่าว

ดร.ธารา บัวคำศรี ที่ปรึกษายุทธศาสตร์ กรีนพีซ ประเทศไทย ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจและสังคมของ SMR ว่า ในส่วนความท้าทายด้านเศรษฐกิจ ข้อมูลรายงานจากโครงการ SMR ทั่วโลกแสดงให้เห็นถึงปัญหาต้นทุนการก่อสร้างที่พุ่งสูงขึ้นอย่างมากและระยะเวลาการก่อสร้างที่ยาวนานกว่าที่คาดการณ์ไว้ โครงการ NuScale ในสหรัฐอเมริกาต้องถูกยกเลิกเนื่องจากต้นทุนเพิ่มขึ้นถึง 35% SMR อาจไม่สามารถแข่งขันด้านต้นทุนกับพลังงานหมุนเวียนอื่น ๆ ในตลาดเสรีได้ และอาจต้องอาศัยการอุดหนุนจากรัฐบาล
ดร.ธารา กล่าวถึงความท้าทายด้านเวลา ว่า ระยะเวลาการพัฒนาและก่อสร้าง SMR ในประเทศไทยคาดว่าจะใช้เวลาอย่างน้อย 10 ปี ซึ่งขัดแย้งกับเป้าหมายการลดคาร์บอนเร่งด่วนของประเทศไทยที่ตั้งเป้าการปล่อยก๊าซสูงสุดภายในปี 2030
ส่วนประเด็นการยอมรับของประชาชน ดร.ธารา กล่าวว่า การจัดการกากกัมมันตรังสีในระยะยาวและความปลอดภัยในการขนส่งเป็นข้อกังวลสำคัญที่นำไปสู่ปรากฏการณ์ ‘Not in My Backyard (NIMBY)’ ความล้มเหลวในการจัดตั้งโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในอดีตส่วนหนึ่งมาจากความไม่ไว้วางใจของประชาชนและการสื่อสารที่ไม่มีประสิทธิภาพ ประชาชนมักเชื่อ NGO มากกว่านักวิทยาศาสตร์หรือหน่วยงานรัฐบาล เนื่องจากประสบการณ์ในอดีต การสร้างความไว้วางใจต้องมีการสื่อสารที่โปร่งใสและต่อเนื่อง รวมถึงการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างแท้จริง

ดร.ธารา บัวคำศรี
ทั้งนี้ อนาคตโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR) ในประเทศไทยนั้น จะเป็นอย่างไร จะต้องติดตามต่อไป แต่ควรตั้งอยู่บนพื้นฐานของการประเมินที่รอบด้านและเป็นจริง โดยพิจารณาถึงต้นทุนที่แท้จริง ระยะเวลาการพัฒนาที่อาจยาวนานกว่าที่คาด และความจำเป็นเร่งด่วนในการปรับปรุงกรอบกฎหมายให้สอดรับกับเทคโนโลยีใหม่นี้ และสิ่งสำคัญ คือ การสร้างความเชื่อมั่นและการมีส่วนร่วมกับประชาชนอย่างโปร่งใสและต่อเนื่อง จะเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการกำหนดทิศทางของ SMR ในภูมิทัศน์พลังงานของประเทศไทย

