
“…ศาลปกครอง จึงมีอำนาจรับคำฟ้องของผู้ฟ้องคดี (นิติบุคคลอาคารชุดบ้านริมธาร) ในส่วนของข้อหาที่ฟ้องว่า ผู้ถูกฟ้องคดี (ธนาคารแห่งประเทศไทย) ละเลยต่อหน้าที่ไม่ดำเนินการตรวจสอบคำร้องของผู้ฟ้องคดี และไม่ปฏิบัติหน้าที่กำกับตรวจสอบให้ธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) ปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ.2551 ไว้พิจารณาพิพากษาได้…”
..........................................
เป็นอีกคดีที่น่าสนใจ
เมื่อ ศาลปกครองสูงสุด ได้มีคำสั่ง (คำร้องที่ 1371/2567 คำสั่งที่ 680/2568 ลงวันที่ 15 ก.ค.2568) กลับคำสั่งศาลปกครองชั้นต้น เป็นให้ ศาลปกครองชั้นต้น ดำเนินกระบวนพิจารณาในการตรวจคำฟ้อง ในคดีที่ นิติบุคคลอาคารชุดบ้านริมธาร (ผู้ฟ้องคดี) ยื่นฟ้อง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ต่อศาลปกครอง
กรณี ธปท. ละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ หรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร เนื่องจากไม่กำกับและตรวจสอบ ธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีการหลีกเลี่ยงไม่ชำระค่าส่วนกลาง ‘ห้องชุด’ ในโครงการฯของ นิติบุคคลอาคารชุดบ้านริมธาร เป็นเวลากว่า 18 ปี เป็นเงิน 21.29 ล้านบาท
โดยศาลปกครองสูงสุด มีคำสั่งให้ศาลปกครองชั้นต้น ดำเนินกระบวนพิจารณาในการตรวจคำฟ้อง เฉพาะในส่วนข้อหาที่ฟ้องว่า ธปท. ละเลยหน้าที่ไม่ดำเนินการตรวจสอบข้อร้องเรียน และไม่ปฏิบัติหน้าที่กำกับตรวจสอบ ธนาคาร ยูโอบี จำกัด (มหาชน) ตามมาตรา 80 (2) (ข) แห่ง พ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ.2551 อันเป็นการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ หรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร
และหากคำฟ้องของ นิติบุคคลอาคารชุดบ้านริมธาร เป็นไปตามเงื่อนไขแห่งการฟ้องคดี ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 และระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2543 กำหนดไว้แล้ว ก็ให้รับคำฟ้องนี้ไว้พิจารณาตามรูปคดีต่อไป
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) จึงขอนำเสนอข้อเท็จจริงและคำวินิจฉัยของ ‘ศาลปกครองสูงสุด’ ก่อนจะมีคำสั่งกลับคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้นในคดีดังกล่าว ดังนี้
@ฟ้อง‘แบงก์ชาติ’ละเลยหน้าที่ไม่กำกับตรวจสอบ‘ยูโอบี’
ผู้ฟ้องคดี (นิติบุคคลอาคารชุดบ้านริมธาร) ฟ้องและแก้ไขเพิ่มเติมคำฟ้องว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นนิติบุคคลอาคารชุด มีหน้าที่ดูแลทรัพย์ส่วนกลาง และเรียกเก็บค่าส่วนกลางจากเจ้าของร่วม
เมื่อวันที่ 8 ก.พ.2567 ผู้ฟ้องคดีพบว่า ธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ซื้อทรัพย์ห้องชุดในโครงการของผู้ฟ้องคดีจากการขายทอดตลาดของกรมบังคับคดี จำนวน 47 หน่วย ตั้งแต่วันที่ 18 ก.ย.2548 ไม่นำห้องชุดดังกล่าวไปจดทะเบียนต่อกรมที่ดิน โดยมีเจตนาหลีกเลี่ยงไม่ชำระค่าส่วนกลางเป็นเวลากว่า 18 ปี เป็นเงินจำนวน 21,291,316.24 บาท และยังเพิกเฉยไม่ชำระค่าส่วนกลางดังกล่าวแก่ผู้ฟ้องคดี
ผู้ฟ้องคดี มีหนังสือลงวันที่ 24 พ.ค.2567 ขอให้ผู้ถูกฟ้องคดี (ธนาคารแห่งประเทศไทย) ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายในการดำเนินการกำกับและตรวจจสอบธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) เนื่องจากธนาคารดังกล่าว เป็นสถาบันการเงินที่ประกอบกิจการ โดยไม่สุจริตและฝ่าฝืนกฎหมายเพื่อหลีกเลี่ยงการชำระค่าส่วนกลาง
โดยมีพฤติการณ์ซื้ออสังหาริมทรัพย์จำนวนมากและถือครองอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดเป็นเวลากว่า 18 ปี โดยไม่มีเหตุจำเป็น อันการฝ่าฝืน พ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ.2551 มาตรา 80 (2) (ข) และไม่นำไปจดทะเบียนต่อกรมที่ดินเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ชำระค่าส่วนกลางให้แก่ผู้ฟ้องคดี
อีกทั้ง ยังเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 144 แห่ง พ.ร.บ.เดียวกัน ซึ่งบัญญัติให้กรรมการ ผู้จัดการ หรือผู้มีอำนาจในการจัดการสถาบันการเงินห้ามกระทำการย้ายไปเสีย ซ่อนเร้น หรือโอนไปให้แก่ผู้อื่น ซึ่งทรัพย์สินของสถาบันการเงินหรือลงบัญชีหรือกระทำการอื่นใด ซึ่งทำให้ปรากฏว่า สถาบันการเงินเป็นหนี้ ซึ่งไม่เป็นความจริง
โดยรู้อยู่ว่าเจ้าหนี้ของสถาบันการเงินหรือเจ้าหนี้ของบุคคลอื่น ซึ่งจะใช้สิทธิของเจ้าหนี้สถาบันการเงินบังคับชำระหนี้จากสถาบันการเงิน หรือใช้หรือน่าจะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้เพื่อมิให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือบางส่วน อันเป็นการกระทำความผิดอาญา
นอกจากนี้ ผู้ฟ้องคดี (นิติบุคคลอาคารชุดบ้านริมธาร) ยังขอให้ผู้ถูกฟ้องคดี ตรวจสอบการจัดทำบัญชีทรัพย์สินของธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) เกี่ยวกับห้องชุดที่เป็นกรรมสิทธิ์ของธนาคารในโครงการของผู้ฟ้องคดี รวมถึงหนี้ค่าส่วนกลางที่เกี่ยวพันกับทรัพย์สินดังกล่าวซึ่งค้างชำระแก่ผู้ฟ้องคดีว่า กระทำการฝ่าฝืน มาตรา 66 และมาตรา 92 (3) แห่ง พ.ร.บ.ดังกล่าวหรือไม่
ต่อมา ผู้ถูกฟ้องคดี (ธนาคารแห่งประเทศไทย) ได้มีหนังสือลงวันที่ 24 มิ.ย.2567 ชี้แจงเรื่องข้างต้นต่อผู้ฟ้องคดีแล้ว แต่ผู้ฟ้องคดีเห็นว่า เป็นคำชี้แจงที่ไม่มีเหตุผล จึงเป็นกรณีที่ผู้ถูกฟ้องคดีละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร
หากผู้ถูกฟ้องคดี ปฏิบัติหน้าที่ในการกำกับและตรวจสอบธนาคารและสถาบันการเงินให้ปฏิบัติตามกฎหมาย เพื่อให้มีธรรมาภิบาลที่ดีและซื่อสัตย์สุจริต ผู้ฟ้องคดีย่อมจะไม่ได้รับความเสียหาย
ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่ง ดังนี้
1.ให้ผู้ถูกฟ้องคดี (ธนาคารแห่งประเทศไทย) ดำเนินการตามมคำร้องของผู้ฟ้องคดี (นิติบุคคลอาคารชุดบ้านริมธาร) และแจ้งผู้ฟ้องคดีทราบโดยเร็ว
2.ให้ผู้ถูกฟ้องคดีปฏิบัติหน้าที่กำกับตรวจสอบให้ธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) ปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ.2551 และกำหนดบทลงโทษตามหมวด 8 แห่ง พ.ร.บ.ดังกล่าว แก่ธนาคารยูโอปี จำกัด (มหาชน) อย่างเคร่งครัด
ต่อมา ศาลปกครองชั้นต้น มีคำสั่งไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณาและให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ
เนื่องจากเห็นว่า ข้อกล่าวอ้างของผู้ฟ้องคดี (นิติบุคคลอาคารชุดบ้านริมธาร) ดังกล่าว เป็นเพียงเหตุผลที่ผู้ฟ้องคดียกขึ้นสนับสนุนเพื่อให้เห็นว่า ธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) เพิกเฉยไม่จดทะเบียนห้องชุดและค้างชำระค่าส่วนกลางให้แก่ผู้ฟ้องคดีเท่านั้น ซึ่งล้วนแต่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจากการดำเนินนิติกรรมทางแพ่งตามปกติระหว่างเจ้าหนี้
คือ ผู้ฟ้องคดีกับลูกหนี้ คือ ธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่เป็นเจ้าของร่วมในอาคารชุดดังกล่าวด้วยผู้หนึ่ง กรณีจึงมิใช่ความเดือดร้อนเสียหายโดยตรงที่เกิดจากการที่ผู้ถูกฟ้องคดี (ธนาคารแห่งประเทศไทย) ละเลยต่อหน้าที่ในการตรวจสอบการประกอบธุรกิจของธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน)
อันเกี่ยวกับการเยียวยาความเดือดร้อนเสียหายที่ผู้ฟ้องคดีประสงค์จะให้ผู้ถูกฟ้องคดีดำเนินการให้สถาบันการเงินในกำกับดูแลของผู้ถูกฟ้องคดี ทำการจดทะเบียนห้องชุดและชำระหนี้ค่าส่วนกลางดังกล่าวแก่ผู้ฟ้องคดี
รวมทั้งการขอให้ผู้ถูกฟ้องคดี (ธนาคารแห่งประเทศไทย) กำหนดบทลงโทษตาม พ.ร.บ.ดังกล่าวแก่ธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) อันเป็นคำขอที่ศาลไม่อาจกำหนดคำบังคับให้ได้ และไม่มีผลเป็นการเยียวยาความเสียหายให้แก่ผู้ฟ้องคดีตามคำฟ้อง
ผู้ฟ้องคดี จึงยังไม่อยู่ในฐานะเป็นผู้ได้รับความเดือดร้อนเสียหายโดยตรงจากการที่ผู้ถูกฟ้องคดีละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าข้าเกินสมควร ผู้ฟ้องคดีจึงไม่ใช่ผู้มีสิทธิฟ้องคดีนี้ต่อศาลปกครอง ตามมาตรา 42 วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542
อย่างไรก็ดี ผู้ฟ้องคดี (นิติบุคคลอาคารชุดบ้านริมธาร) ยื่นอุทธรณ์คำสั่งของศาลปกครองชั้นต้นที่ไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณา โดยขอให้ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งกลับคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้น เป็นให้รับคำฟ้องของผู้ฟ้องคดีไว้พิจารณา
@ชี้‘ศาลปกครอง’มีอำนาจรับคำฟ้องไว้พิจารณา
ศาลปกครองสูงสุดพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า
....การที่ผู้ฟ้องคดี (นิติบุคคลอาคารชุดบ้านริมธาร) ฟ้องว่า ผู้ถูกฟ้องคดี (ธนาคารแห่งประเทศไทย) มีอำนาจหน้าที่ตาม พ.ร.บ.ธนาคารแห่งประเทศไทย พุทธศักราช 2485 และ พ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ.2551 ในการกำกับและตรวจสอบธนาคารพาณิชย์ และมีอำนาจในการแก้ไขหรือการดำเนินงานของสถาบันการเงิน
แต่กลับปล่อยให้ธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นสถาบันการเงินที่อยู่ในกำกับดูแลของผู้ถูกฟ้องคดี ซื้อห้องชุดในโครงการของผู้ฟ้องคดีจากการขายทอดตลาด จำนวน 47 ห้อง ตั้งแต่วันที่ 18 ก.ย.2548 โดยไม่นำห้องชุดไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ เพื่อเป็นเจ้าร่วมท้องชุด โดยมีเจตนาหลีกเลี่ยงไม่ชำระค่าส่วนกลางให้แก่ผู้ฟ้องคดี เป็นเวลากว่า 18 ปี รวมเป็นเงินจำนวน 21,291,316.24 บาท อันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 80 (2) (ข) แห่ง พ.ร.บ.เดียวกัน
โดยผู้ฟ้องคดี มีหนังสือลงวันที่ 24 พ.ค.2567 ขอให้ผู้ถูกฟ้องคดี (ธนาคารแห่งประเทศไทย) ดำเนินการกำกับและตรวจสอบการกระทำของธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) และยื่นคำร้องเรียนลงวันที่ 17 มิ.ย.2567 ขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีหาข้อยุติในเรื่องดังกล่าว
ผู้ถูกฟ้องคดี ได้รับคำร้องของผู้ฟ้องคดีแล้ว มีหนังสือแจ้งว่า ธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงทั้งหมดให้ผู้ฟ้องคดี (นิติบุคคลอาคารชุดบ้านริมธาร) ทราบเป็นหนังสือ 2 ฉบับ เมื่อวันที่ 5 มี.ค.2567 และวันที่ 13 พ.ค.2567 ตามลำดับ
จนกระทั่งเมื่อวันที่ 20 พ.ค.2567 ธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) และผู้ฟ้องคดีได้ร่วมกันเจรจาเพื่อหาข้อสรุป และยินดีให้ความร่วมมือในการหาข้อยุติเรื่องดังกล่าวตามชั้นตอนและกระบวนการทางกฎหมาย แต่ถึงปัจจุบันธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) ยังกระทำการฝ่าฝืนกฎหมายดังกล่าว
โดยมีคำขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดี (ธนาคารแห่งประเทศไทย) ดำเนินการตรวจสอบคำร้องของผู้ฟ้องคดี และปฏิบัติหน้าที่กำกับตรวจสอบให้ธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) ให้ปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ.2551 รวมทั้งกำหนดบทลงโทษตามหมวด 8 แห่ง พ.ร.บ.ดังกล่าวแก่ธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน)
จึงเป็นการฟ้องว่า ผู้ถูกฟ้องคดี (ธนาคารแห่งประเทศไทย) ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองละเลยต่อหน้าที่ในการกำกับและตรวจสอบสถาบันการเงิน ตามมาตรา 8 วรรคหนึ่ง (7) แห่ง พ.ร.บ.ธนาคารแห่งประเทศไทย พุทธศักราช 2485 และละเลยต่อหน้าที่ในการแก้ไขหรือการดำเนินงานของสถาบันการเงิน ตามมาตรา 89 แห่ง พ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ.2551
อันเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครอง หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ หรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร ตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง (2) แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542
จึงมีประเด็นต้องพิจารณาว่า ผู้ฟ้องคดี (นิติบุคคลอาคารชุดบ้านริมธาร) เป็นผู้มีสิทธิฟ้องคดีนี้ต่อศาลปกครอง หรือไม่
เห็นว่า ผู้ถูกฟ้องคดี (ธนาคารแห่งประเทศไทย) เป็นผู้มีอำนาจหน้าที่ในการกำกับและตรวจสอบสถาบันการเงินตามมาตรา 8 แห่ง พ.ร.บ.ธนาคารแห่งประเทศไทย พุทธศักราช 2485 และมีอำนาจในการแก้ไขหรือการดำเนินงานของสถาบันการเงิน ตามมาตรา 89 แห่ง พ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ.2551
เมื่อมีกรณีที่สถาบันการเงิน ในกำกับดูแลของผู้ถูกฟ้องคดี ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายและประกาศของผู้ถูกฟ้องคดี ผู้ถูกฟ้องคดีในฐานะผู้กำกับดูแลสถาบันการเงิน และมีอำนาจในการแก้ไขหรือการดำเนินงานของสถาบันการเงิน จึงมีอำนาจหน้าที่ในการปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมายดังกล่าว
การที่ผู้ฟ้องคดี (นิติบุคคลอาคารชุดบ้านริมธาร) ฟ้องว่า ธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) ได้ซื้อห้องชุดในโครงการของผู้ฟ้องคดี จากการขายทอดตลาด จำนวน 47 ห้อง เมื่อวันที่ 18 ก.ย.2548 และถือครองห้องชุดดังกล่าวไว้เป็นระยะเวลานานกว่า 18 ปี โดยไม่นำห้องชุดไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ซึ่งเป็นการฝ่าฝืนต่อมาตรา 80 (2) (ข) แห่ง พ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ.2551
ประกอบกับ ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยที่ สนส. 22/2552 เรื่อง อสังหาริมทรัพย์รอการขาย ซึ่งใช้บังคับขณะเกิดข้อพิพาท และประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ สนส. 5/2565 เรื่อง อสังหาริมทรัพย์รอการขาย ที่กำหนดห้ามมิให้สถาบันการเงินซื้อหรือมีไว้ซึ่งอสังหาริมทรัพย์
แต่หากเป็นการได้อสังหาริมทรัพย์มาจากการขายทอดตลาดโดยคำสั่งศาลหรือเจ้าพนักงานพิทักษ์ ให้ถือวันที่มีการขายทอดตลาดอสังหาริมทรัพย์นั้น เป็นวันที่ได้มา และต้องดำเนินการจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์นั้นให้หมดภายใน 5 ปี นับแต่วันที่ได้มา
เมื่อผู้ฟ้องคดีฟ้องว่า ธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) ได้ซื้อห้องชุดในโครงการของผู้ฟ้องคดี จากการขายทอดตลาด จำนวน 47 ห้อง เมื่อวันที่ 18 ก.ย.2548 แต่ไม่นำห้องชุดไปจดทะเบียนเป็นเจ้าของร่วมในห้องชุด
และผู้ฟ้องคดี (นิติบุคคลอาคารชุดบ้านริมธาร) มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดการและดูแลรักษาทรัพย์ส่วนกลาง และมีอำนาจกระทำการใดๆ เพื่อประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ดังกล่าว ตามมติของเจ้าของร่วมภายใต้บังคับแห่ง พ.ร.บ.อาคารชุด พ.ศ.2522 ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 33 แห่ง พ.ร.บ.เดียวกัน
ดังนั้น การจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในห้องชุด จึงมีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงเจ้าของร่วมในห้องชุดด้วย และมีผลต่อการบริหารจัดการตามวัตถุประสงค์ของผู้ฟ้องคดีดังกล่าว เช่น การที่เจ้าของร่วมในห้องชุดจะต้องร่วมกันออกค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการใช้บริการส่วนรวมและที่เกิดจากเครื่องมือ เครื่องใช้
ตลอดจนสิ่งอำนวยความสะดวกที่มีไว้ เพื่อใช้หรือประโยชน์ร่วมกัน ค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการดูแลรักษาและการดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์ส่วนกลางตามอัตราส่วนที่เจ้าของร่วมมีกรรมสิทธิ์ในห้องชุด การแต่งตั้งผู้จัดการเพื่อปฏิบัติให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์
การมีคณะกรรมการนิติบุคคลอาคารชุด ซึ่งแต่งตั้งโดยมติที่ประชุมใหญ่เจ้าของร่วม การใช้สิทธิของเจ้าของร่วมครอบไปถึงทรัพย์ส่วนกลางทั้งหมดในการต่อสู้บุคคลภายนอก หรือเรียกร้องเอาทรัพย์คืนเพื่อประโยชน์ของเจ้าของร่วมทั้งหมด และการให้เจ้าของร่วมชำระเงินให้แก่นิติบุคคล เพื่อดำเนินกิจการของนิติบุคคลอาคารชุด ตามมาตรา 18 มาตรา 35/2 มาตรา 36 มาตรา 37 มาตรา 38 มาตรา 39 และมาตรา 40 แห่ง พ.ร.บ.อาคารชุด พ.ศ.2522
และในกรณีที่สถาบันการเงิน กรรมการ ผู้จัดการ หรือผู้มีอำนาจในการจัดการได้กระทำการฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตาม พ.ร.บ. หรือข้อกำหนดหรือประกาศที่ออกโดยอาศัยอำนาจแห่ง พ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ.2551 บทบัญญัติในมาตรา 89 แห่ง พ.ร.บ.เดียวกัน บัญญัติให้ผู้ถูกฟ้องคดี (ธนาคารแห่งประเทศไทย) มีอำนาจดำเนินการออกคำสั่งห้ามสถาบันการเงิน หรือมีหนังสือเตือนไปยังสถาบันการเงินระงับการกระทำที่ฝ้าฝืนกฎหมายดังกล่าว
การที่ผู้ฟ้องคดี ฟ้องเป็นคดีนี้ต่อศาลว่า ผู้ถูกฟ้องคดี (ธนาคารแห่งประเทศไทย) เพิกเฉยปล่อยให้ธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) กระทำการฝ่าฝืนกฎหมายและประกาศข้างต้น โดยไม่นำห้องชุด จำนวน 47 ห้องไปจดทะเบียนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในห้องชุดเป็นระยะเวลานานกว่า 18 ปี
จึงเป็นการฟ้องว่า ธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) กระทำการฝ่าฝืนไม่จดทะเบียนเป็นเจ้าของห้องชุดดังกล่าว ทำให้ผู้ฟ้องคดีไม่ทราบถึงความเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในห้องชุด และเป็นเหตุให้ผู้ฟ้องคดีไม่สามารถบริหารจัดการดูแลห้องชุดดังกล่าวตามวัตถุประสงค์ของผู้ฟ้องคดีตามมาตรา 33 ประกอบกับมาตรา 18 มาตรา 35/2 มาตรา 36 มาตรา 37 มาตรา 38 มาตรา 39 และมาตรา 40 แห่ง พ.ร.บ.อาคารชุด พ.ศ.2522
ผู้ฟ้องคดี (นิติบุคคลอาคารชุดบ้านริมธาร) จึงเป็นผู้ได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหาย หรืออาจจะเดือดร้อนหรือเสียหายโดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้ จากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ หรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควรของผู้ถูกฟ้องคดี
อันเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ หรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร ตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง (2) แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542
และการแก้ไขหรือบรรเทาความเดือดร้อนหรือความเสียหายหรือยุติข้อโต้แย้งนั้น ศาลต้องมีคำบังคับตามที่กำหนดในมาตรา 72 วรรคหนึ่ง (2) แห่ง พ.ร.บ.เดียวกัน
ศาลปกครอง จึงมีอำนาจรับคำฟ้องของผู้ฟ้องคดี (นิติบุคคลอาคารชุดบ้านริมธาร) ในส่วนของข้อหาที่ฟ้องว่า ผู้ถูกฟ้องคดี (ธนาคารแห่งประเทศไทย) ละเลยต่อหน้าที่ไม่ดำเนินการตรวจสอบคำร้องของผู้ฟ้องคดี และไม่ปฏิบัติหน้าที่กำกับตรวจสอบให้ธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) ปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ.2551 ไว้พิจารณาพิพากษาได้
และการที่ศาลปกครองจะมีคำสั่งรับคำฟ้องของผู้ฟ้องคดีในส่วนนี้ไว้พิจารณาพิจารณาพิพากษาได้นั้น คำฟ้องดังกล่าว จะต้องเป็นไปตามเงื่อนไขแห่งการฟ้องคดีอื่น ตามที่ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 และระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2543 กำหนดไว้ด้วย
“การที่ศาลปกครองชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องนี้ไว้พิจารณา และให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ นั้น ศาลปกครองสูงสุดไม่เห็นพ้องด้วย
จึงมีคำสั่งกลับคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้น เป็นให้ศาลปกครองชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาในการตรวจคำฟ้องนี้ เฉพาะในส่วนของข้อหาที่ฟ้องว่า ผู้ถูกฟ้องคดี (ธนาคารแห่งประเทศไทย) ละเลยต่อหน้าที่ไม่ดำเนินการตรวจสอบคำร้องของผู้ฟ้องคดี (นิติบุคคลอาคารชุดบ้านริมธาร)
และไม่ปฏิบัติหน้าที่กำกับตรวจสอบธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) ตามมาตรา 80 (2) (ข) แห่ง พ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ.2551 อันเป็นการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ หรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร
หากคำฟ้องของผู้ฟ้องคดีเป็นไปตามเงื่อนไขแห่งการฟ้องคดีตามที่ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 และระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2543 กำหนดไว้แล้ว ก็ให้รับคำฟ้องนี้ไว้พิจารณาพิพากษาตามรูปคดีต่อไป” คำสั่งศาลปกครองสูงสุด คำร้องที่ 1371/2567 คำสั่งที่ 680/2568 ลงวันที่ 15 ก.ค.2568 ระบุ
จากนี้คงต้องติดตามกันต่อไปว่า หลังจาก ‘ศาลปกครองสูงสุด’ มีคำสั่งให้ ‘ศาลปกครองชั้นต้น’ ดำเนินกระบวนพิจารณาในการตรวจคำฟ้องนี้ ว่า เข้าเงื่อนไขแห่งการฟ้องหรือไม่ หากเข้าเงื่อนไขก็ให้รับคำฟ้องไว้พิจารณา แต่ถือเป็นคดีที่เกิดขึ้นไม่บ่อยครั้งนัก ที่จะมี ‘ผู้เสียหาย’ ยื่นฟ้อง ‘แบงก์ชาติ’ กรณีการละเลยต่อหน้าที่ฯ!
