
‘สำนักงบประมาณรัฐสภา’ จับตาเสถียรภาพ-ความมั่นคง‘การคลัง’ หลัง ‘ภาระหนี้รัฐบาล-หนี้สาธารณะต่อจีดีพี’ เพิ่มต่อเนื่อง แนะปฏิรูปโครงสร้างรายได้ฯ ทบทวน-ลดการ‘ยกเว้นภาษี’ ที่ไม่จำเป็น
......................................
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อเร็วๆนี้ สำนักงบประมาณของรัฐสภา (PBO) ได้เผยแพร่เอกสารวิชาการ PBO เรื่อง ‘สถานการณ์และแนวโน้มเศรษฐกิจการคลังต่อการกำหนดนโยบายภาครัฐ’ เพื่อประกอบการประชุมรัฐสภาในวาระการแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรี (ครม.) นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี โดยระบุถึงสัญญาณเตือน (Early Warning Signs) ถึงเสถียรภาพและความมั่นคงทางการคลังที่ควรติดตามต่อไป คือ สัดส่วนภาระหนี้ของรัฐบาลต่อประมาณการรายได้ประจำปีงบประมาณ ที่เพิ่มขึ้นเป็น 42.47% จากกรอบที่กำหนดไว้ที่ 50%
ก่อนหน้านี้ ที่ประชุม ครม. เมื่อวันที่ 9 ก.ย.2568 ได้มีมติรับทราบการทบทวนสัดส่วนที่ใช้เป็นกรอบในการบริหารหนี้สาธารณะ ตามมาตรา 50 แห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.2561 ตามที่คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ เสนอ โดยทบทวนสัดส่วนที่ใช้เป็นกรอบในการบริหารหนี้สาธารณะ ตามมาตรา 50 แห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังฯ ดังนี้
1.คงกรอบสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ตามเดิม ที่ไม่เกิน 70% 2.ขยายกรอบสัดส่วนภาระหนี้ของรัฐบาลต่อประมาณการรายได้ประจำปีงบประมาณ จากเดิมที่ไม่เกิน 35% เป็นไม่เกิน 50% 3.คงกรอบสัดส่วนสัดส่วนหนี้สาธารณะที่เป็นเงินตราต่างประเทศต่อหนี้สาธารณะทั้งหมดตามเดิม ที่ไม่เกิน 10% และ 4.คงกรอบสัดส่วนภาระหนี้สาธารณะที่เป็นเงินตราต่างประเทศต่อรายได้จากการส่งออกสินค้าและบริการตามเดิม ที่ไม่เกิน 5%
โดย ณ วันที่ 31 มี.ค.2568 สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP อยู่ที่ 64.59% ไม่เกินกรอบที่กำหนดไว้ 70% ,สัดส่วนภาระหนี้ของรัฐบาลต่อประมาณการรายได้ประจำปีงบประมาณ อยู่ที่ 42.47% ไม่เกินกรอบที่กำหนดไว้ 50% ,สัดส่วนหนี้สาธารณะที่เป็นเงินตราต่างประเทศต่อหนี้สาธารณะทั้งหมด อยู่ที่ 0.89% ไม่เกินกรอบที่กำหนดไว้ 10% และสัดส่วนภาระหนี้สาธารณะที่เป็นเงินตราต่างประเทศต่อรายได้จากการส่งออกสินค้าและบริการ อยู่ที่ 0.04% ไม่เกินกรอบที่กำหนดไว้ 5%
เอกสารวิชาการ PBO ฉบับนี้ ยังระบุด้วยว่า ในช่วงที่ผ่านมาหนี้สาธารณะของไทยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจาก 49.42% ของ GDP ในปี 2563 เป็น 64.49% ณ ก.ค.2568 เนื่องจากการใช้จ่ายเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจช่วงโควิด-19 แม้ยังไม่ถึงระดับวิกฤตเมื่อเทียบกับมาตรฐานสากล แต่ได้เข้าใกล้เพดานที่กาหนดไว้ที่ 70% ของ GDP และคาดว่าจะทรงตัวที่ไม่เกินร้อยละ 70 ของ GDP หากรัฐบาลควบคุมการขาดดุลได้ตามแผน
อย่างไรก็ตาม หากมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ ผลกระทบจากจากสังคมผู้สูงอายุที่เพิ่มภาระค่าใช้จ่ายด้านสวัสดิการ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ต้องเตรียมงบรับมือภัยพิบัติ หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

เอกสารวิชาการ PBO ฉบับดังกล่าว มีข้อเสนอว่า รัฐบาลจำเป็นต้องดำเนินการปฏิรูปโครงสร้างรายได้การคลังอย่างเป็นระบบ เพื่อยกระดับฐานะการเงินการคลังให้สามารถรองรับภาระรายจ่ายที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากการดำเนินโครงการเศรษฐกิจเชิงกระตุ้นและการขยายขอบเขตสวัสดิการสาธารณะ แนวทางการปฏิรูปดังกล่าวประกอบด้วย การขยายฐานการจัดเก็บภาษีให้ครอบคลุมกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากขึ้น การปิดช่องว่างและการแก้ไขความบกพร่องในระบบภาษี
การทบทวนและลดการยกเว้นภาษีที่ไม่จำเป็น และการศึกษาความเป็นไปได้ในการปรับเพิ่มอัตราภาษีในประเภทต่างๆ อย่างรอบคอบและเหมาะสมกับสภาวะเศรษฐกิจ ควบคู่ไปกับการพัฒนาประสิทธิภาพระบบการจัดเก็บภาษีและการแก้ไขปัญหาการหลีกเลี่ยงภาษีอากรอย่างเป็นระบบ
อ่านเพิ่มเติม : สถานการณ์และแนวโน้มเศรษฐกิจการคลังต่อการกำหนดนโยบายภาครัฐ
อ่านประกอบ :
‘คลัง’เผย‘ภาระหนี้รบ.ต่อประมาณการรายได้’พุ่ง 42.47%-‘หนี้สาธารณะ/จีดีพี’แตะ 64.59%
หนี้กระจุกตัว! ครม.รับทราบเพิ่มเพดาน‘ภาระหนี้ต่อประมาณการรายได้’ไม่เกิน 50% จากเดิม 35%
รายจ่ายเพิ่ม-หนี้สาธารณะสูง! เปิดรายงานความเสี่ยง‘การคลัง’ปี 67-แนะปฏิรูปโครงสร้างรายได้
ครม.รับทราบ‘หนี้สาธารณะ’ส.ค.67 แตะ 11.72 ล้านล.-64.02% ต่อจีดีพี-'คลัง'ชี้กู้กระตุ้นศก.
