
‘ครม.’ รับทราบมาตรการ ป.ป.ช. ชงข้อเสนอป้องกัน ‘ภาษี’ รั่วไหล จากการประกอบกิจการในเขตปลอดอากร มอบหมาย ‘คลัง’ เป็น 'เจ้าภาพ' หารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
.....................................
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 21 ต.ค.ที่ผ่านมา ที่ประชุม ครม.มีมติรับทราบมาตรการเพื่อป้องกันมิให้ภาษีที่ควรจะได้รับรั่วไหลจากการประกอบกิจการในเขตปลอดอากร ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เสนอ
พร้อมทั้งมอบหมายให้กระทรวงการคลัง เป็นหน่วยงานหลักรับเรื่องนี้ไปพิจารณา ร่วมกับกระทรวงคมนาคม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงยุติธรรม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้ได้ข้อยุติ โดยให้กระทรวงการคลังสรุปผลการพิจารณา/ผลการดำเนินการในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน 30 วัน นับจากวันที่ได้รับแจ้งจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อนำเสนอ ครม. ต่อไป
สำหรับมาตรการเพื่อป้องกันมิให้ภาษีที่ควรจะได้รับรั่วไหลจากการประกอบกิจการในเขตปลอดอากร ของ ป.ป.ช. มีดังนี้
1) การใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบของเจ้าหน้าที่รัฐและความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าหน้าที่กับผู้ประกอบการ
1.1) ควรกำหนดมาตรการตรวจสอบผู้ประกอบการให้มีความเข้มงวดและเป็นระบบมากยิ่งขึ้น โดยดำเนินการตรวจสอบประวัติและข้อมูลของผู้ประกอบการอย่างละเอียดถี่ถ้วน โดยเฉพาะในกรณีของผู้ประกอบการที่มีความเสี่ยงสูง ทั้งนี้ ควรนำระบบการประเมินความเสี่ยงมาใช้ในการจัดลำดับความสำคัญของการตรวจสอบเพื่อให้การกำกับดูแลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
1.2) ควรมีการนำมาตรการตรวจสอบและติดตามพฤติกรรมของเจ้าหน้าที่ศุลกากรมาใช้ควบคู่กัน โดยประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศที่ทันสมัย เช่น ระบบบันทึกข้อมูลอัตโนมัติ และระบบตรวจสอบย้อนกลับ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจสอบ ลดช่องว่างที่อาจนำไปสู่การทุจริต
1.3) ควรเสริมสร้างความโปร่งใสในการดำเนินงาน เพื่อให้การกำกับดูแลเป็นไปอย่างอิสระและปราศจากอิทธิพลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรง ควรจัดตั้งหน่วยงานอิสระที่มีอำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ศุลกากรในเขตปลอดอากรโดยเฉพาะ รวมถึงนำแนวทางการตรวจสอบแบบสุ่ม มาใช้เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการสมรู้ร่วมคิดระหว่างเจ้าหน้าที่และผู้ประกอบการ
1.4) ควรกำหนดมาตรฐานด้านจริยธรรมและแนวทางปฏิบัติงานที่ชัดเจน พร้อมทั้งจัดให้มีการอบรมด้านการต่อต้านการทุจริตอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเสริมสร้างจิตสำนึกและความตระหนักรู้เกี่ยวกับจริยธรรมในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ อีกทั้งควรส่งเสริมกลไกการแจ้งเบาะแส (Whistleblower Protection) ที่มีประสิทธิภาพ โดยกำหนดแนวทางการคุ้มครองผู้แจ้งเบาะแสอย่างชัดเจน รวมถึงการจัดให้มีรางวัลหรือสิ่งจูงใจสำหรับผู้แจ้งข้อมูลที่นำไปสู่การเปิดโปงการทุจริต ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนและภาคเอกชนในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตอย่างเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน
@เสนอใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูล-ตรวจจับพฤติกรรม‘ผิดปกติ’
2) ช่องว่างทางกฎหมายที่เปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่ใช้ดุลพินิจโดยไม่มีหลักเกณฑ์
2.1) ควรพัฒนาและนำระบบปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: Al) เทคโนโลยีการเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning) และการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data Analytics) มาใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลด้านการนำเข้าและส่งออก เพื่อให้สามารถเรียนรู้และตรวจจับรูปแบบพฤติกรรมที่ผิดปกติของผู้นำเข้าและส่งออกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ ควรพิจารณาปัจจัยความเสี่ยงอื่นๆ ประกอบกัน เช่น พฤติกรรมทางการเงินของบริษัท ความถี่ในการเปลี่ยนแปลงข้อมูลในเอกสารสำแดง เส้นทางการขนส่งที่มีความเสี่ยงสูง และตัวแปรอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อลดการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ที่อาจก่อให้เกิดความไม่โปร่งใสและเพิ่มความแม่นยำในการตรวจจับแนวโน้มการทุจริต
2.2) ควรกำหนดหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนเกี่ยวกับการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ เพื่อลดการใช้ดุลพินิจที่กว้างเกินไป ซึ่งอาจนำไปสู่ความเสี่ยงในการทุจริตและการเลือกปฏิบัติ ควรมีการใช้ระบบอัตโนมัติในการตรวจสอบและประเมินข้อมูล เพื่อลดการพึ่งพาการตัดสินใจของมนุษย์และเพิ่มความเป็นกลางในการดำเนินงาน
2.3) ควรจัดให้มีเครื่องมือสนับสนุนด้านราคาสำหรับเจ้าหน้าที่ศุลกากร เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพิจารณาข้อเท็จจริงและความถูกต้องของราคาที่สำแดง เช่น ฐานข้อมูลราคาสินค้านำเข้า ฐานข้อมูลราคาวัตถุดิบพื้นฐาน และเครื่องมือช่วยประเมินมูลค่าศุลกากร โดยฐานข้อมูลดังกล่าวต้องมีการปรับปรุงให้เป็นปัจจุบัน ครอบคลุมรายการสินค้าที่มีจำนวนเพียงพอ และสามารถเข้าถึงได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว
ทั้งนี้ ควรมุ่งเน้นการตรวจสอบราคาสินค้าที่อยู่ในหมวดหมู่ที่มีอัตราอากรสูง เพื่อลดโอกาสในการสำแดงราคาที่ไม่ถูกต้อง รวมถึงควรมีการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการใช้เครื่องมือด้านราคาศุลกากรอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มั่นใจว่าเครื่องมือดังกล่าวสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตได้อย่างแท้จริง
@ชงนำระบบ‘Blockchain’มาใช้บันทึกข้อมูลศุลกากร
3) ประสิทธิภาพของระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่ใช้ติดตามการขนส่งสินค้าในเขตปลอดอากร
3.1) ควรมีการพัฒนาและนำเทคโนโลยีบล็อกเซน (Blockchain) มาใช้ในการบันทึกข้อมูลศุลกากรอย่างเป็นระบบ เช่น ข้อมูลการนำเข้าและส่งออกสินค้า รวมถึงข้อมูลการชำระภาษีศุลกากร เพื่อเพิ่มความปลอดภัยของข้อมูลและป้องกันการปลอมแปลงเอกสารสำแดงสินค้า นอกจากนี้ เทคโนโลยีบล็อกเซนยังสามารถลดความเสี่ยงจากการแก้ไขข้อมูลย้อนหลัง ลดการใช้เอกสารในรูปแบบกระดาษ ซึ่งอาจถูกดัดแปลงได้ อีกทั้งยังช่วยเพิ่มความโปร่งใสและความเชื่อถือของระบบศุลกากร โดยสามารถบันทึกและตรวจสอบข้อมูลการดำเนินงานได้อย่างถูกต้องและตรวจสอบย้อนกลับได้
3.2) ควรมีการนำระบบติดตามสินค้าแบบเรียลไทม์ (Real-Time Tracking System) เพื่อให้สามารถตรวจสอบข้อมูลการขนส่งและเอกสารได้แบบเรียลไทม์ เช่น ระบบแจ้งเตือนอัตโนมัติเมื่อพบความผิดปกติของการขนส่ง และระบบติดตามสินค้าด้วยเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (Internet of Things: IoT)
โดยการติดตั้งเซ็นเซอร์ IoT ภายในตู้คอนเทนเนอร์หรือบนตัวสินค้า เพื่อใช้ในการติดตามตำแหน่งและสภาพของสินค้าแบบเรียลไทม์ กรณีที่พบความผิดปกติในการขนส่งสินค้า เช่น การเปลี่ยนแปลงเส้นทางโดยไม่ได้รับอนุญาต ความล่าช้าในการขนส่ง หรือการส่งข้อมูลที่ไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงระบบดังกล่าวสามารถแจ้งเตือนไปยังเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้โดยอัตโนมัติ
3.3) ควรนำเทคโนโลยีการเฝ้าระวังทางอากาศ เช่น การใช้โดรน (Drone Surveillance) เพื่อเฝ้าระวังการลักลอบเคลื่อนย้ายสินค้าออกนอกเขตปลอดอากร โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีขนาดกว้างหรือยากต่อการเข้าถึง เทคโนโลยีนี้จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการตรวจตราและลดช่องโหว่ที่อาจนำไปสู่การลักลอบกระทำความผิด
3.4) ควรมีการบูรณาการระบบเทคโนโลยีสารสนเทศระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม เช่น ธนาคาร และผู้ให้บริการโลจิสติกส์ เป็นอีกแนวทางสำคัญที่ควรได้รับการส่งเสริม เพื่อให้ทุกภาคส่วนสามารถเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้องและตรวจสอบได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้กระบวนการแลกเปลี่ยนข้อมูลเป็นไปอย่างรวดเร็ว ลดความซับซ้อนของกระบวนการศุลกากร และเพิ่มความคล่องตัวในการบริหารจัดการการนำเข้าและส่งออกสินค้า
3.5) ควรมีการนำเทคโนโลยีสำหรับการควบคุมและติดตามยานพาหนะและตู้คอนเทนเนอร์ที่ใช้ในการขนส่งสินค้ามาใช้ในเขตปลอดอากร เช่น ระบบอ่านหมายเลขตู้คอนเทนเนอร์อัตโนมัติ (Container Number Recognition) และระบบอ่านป้ายทะเบียนรถยนต์ที่ใช้ในการขนส่ง (License Plate Recognition)
โดยให้มีหน่วยงานกลางที่ทำหน้าที่ประมวลผลข้อมูลและมอนิเตอร์การเคลื่อนย้ายของสินค้าในระบบศุลกากรในกรณีที่มีการเคลื่อนย้ายสินค้าสำหรับการส่งออกหรือการโอนย้ายระหว่างเขตปลอดอากรที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานศุลกากรหรือด่านศุลกากรที่แตกต่างกัน ควรกำหนดให้มีการแจ้งเส้นทางการขนส่งล่วงหน้าก่อนดำเนินการเคลื่อนย้ายทุกครั้ง เพื่อเพิ่มความโปร่งใสและลดความเสี่ยงจากการกระทำที่อาจนำไปสู่การทุจริตหรือการฝ่าฝืนกฎหมาย
4) การขาดแคลนบุคลากรและกำลังเจ้าหน้าที่ไม่เพียงพอในการกำกับดูแลเขตปลอดอากร ควรมีการนำเทคโนโลยีมาช่วยเสริมศักยภาพและลดภาระงานของเจ้าหน้าที่เช่น ระบบวิเคราะห์ความเสี่ยงโดยใช้ Al และ Machine Learning เพื่อตรวจจับพฤติกรรมที่น่าสงสัย ตรวจจับความผิดปกติ เช่น การสำแดงราคาสินค้าไม่ถูกต้องหรือการใช้เอกสารปลอม
5) มอบหมายให้กรมศุลกากร เป็นหน่วยงานผู้รับผิดชอบหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแนวทางการดำเนินการตามมาตรการเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อประกอบการพิจารณาและมีมติมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปปฏิบัติต่อไปเป็นประจำทุกปีด้วย
ทั้งนี้ ให้กรมศุลกากรรายงานผลการขับเคลื่อนมาตรการฯ เสนอต่อสำนักงาน ป.ป.ช.
@สถิติ-รายงาน‘ศาลยุติธรรม’ชี้ทุจริต‘ภาษีศุลกากร’อยู่ในระดับสูง
รายงานข่าวแจ้งว่า ป.ป.ช. ให้เหตุผลประกอบการเสนอมาตรการเพื่อป้องกันมิให้ภาษีที่ควรจะได้รับรั่วไหลจากการประกอบกิจการในเขตปลอดอากร ว่า การจัดเก็บภาษีเป็นเครื่องมือทางการคลังที่สำคัญที่สุดของรัฐบาลในการหารายได้เพื่อใช้จ่ายในการพัฒนาประเทศ ทั้งในด้านโครงสร้างพื้นฐานและการสนับสนุนการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ อีกทั้งยังเป็นกลไกสำคัญในการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในยามที่ภาวะไม่ปกติ เช่น การกระตุ้นการจ้างงานเมื่อเศรษฐกิจตกต่ำ หรือการใช้มาตรการภาษีเพื่อป้องกันภาวะเงินเฟ้อ
ทั้งนี้ ผลการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลในปี พ.ศ.2565 อยู่ที่ 3.10 ล้านล้านบาท โดยภาษีอากรที่จัดเก็บโดยกรมศุลกากรมีมูลค่าถึง 1.21 แสนล้านบาท ซึ่งรวมถึงภาษีอากรขาเข้าจำนวน 1.19 แสนล้านบาท แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของภาษีศุลกากรในฐานะรายได้หลักของรัฐ
อย่างไรก็ตาม จากสถิติและรายงานของศาลยุติธรรมชี้ให้เห็นว่า มีการทุจริตภาษีศุลกากรในระดับสูง โดยเป็นข้อหาที่ขึ้นสู่ศาลภาษีอากรกลางเป็นอันดับสองรองจากคดีภาษีมูลค่าเพิ่ม ปัญหาการทุจริตดังกล่าวมีความซับซ้อนมากขึ้นจากการใช้หลายวิธีการร่วมกัน และมักเกิดจากความร่วมมือระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับภาคเอกชน ทำให้กลไกตรวจสอบของรัฐเข้าถึงได้ยาก
โดยเฉพาะในการประกอบกิจการในเขตปลอดอากรที่แม้จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการส่งเสริมการค้าและการลงทุน แต่กลับแฝงความเสี่ยงต่อการรั่วไหลของภาษีอย่างมาก โดยเฉพาะสินค้าที่มีอัตราภาษีสูงและเป็นที่นิยมในประเทศ เช่น บุหรี่ สุรา ไวน์ และรถยนต์ หากมีการนำเข้าสินค้าเหล่านี้ ผ่านเขตปลอดอากรแล้วถูกเบี่ยงเบนเข้าสู่ตลาดภายในโดยไม่เสียภาษี ย่อมสร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อรายได้รัฐและก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมต่อผู้ประกอบการที่ปฏิบัติตามกฎหมาย
ดังนั้น คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้ว เห็นสมควรเสนอมาตรการเพื่อป้องกันมิให้ภาษีที่ควรจะได้รับรั่วไหลจากการประกอบกิจการในเขตปลอดอากร ต่อคณะรัฐมนตรี ตามนัยมาตรา 32 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 เพื่อเสนอแนะให้มีการปรับปรุงการปฏิบัติราชการ หรือวางแผนงานโครงการของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานของรัฐ
เพื่อป้องกันหรือปราบปรามการทุจริต การกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือการกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม และเพื่อให้มีการปรับปรุงกฎหมาย กฎ ระเบียบข้อบังคับ หรือมาตรการใดที่เป็นช่องทางให้มีการทุจริตหรือประพฤติมิชอบ หรือเป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ของรัฐไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ให้เกิดผลดีต่อราชการได้
“ในปัจจุบัน ปัญหาการทุจริตภาษีอากรยังคงเป็นประเด็นสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรูปแบบการทุจริตมีความซับซ้อนมากขึ้น และมักอาศัยการสมยอมระหว่างเจ้าหน้าที่ของรัฐกับภาคเอกชน อันนำไปสู่ประสิทธิภาพที่ลดลงของกลไกการตรวจสอบและทำให้ยากต่อการดำเนินการจัดการอย่างจริงจัง ผลลัพธ์ที่ตามมาคือการสูญเสียรายได้จำนวนมากที่รัฐควรได้รับเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในการพัฒนาประเทศ
ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน การจัดสรรบริการสาธารณะ หรือการเสริมสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ปัญหาการทุจริตภาษีอากรยังสร้างผลกระทบเชิงลบต่อความเชื่อมั่นของประเทศในเวทีการค้าระหว่างประเทศ และหากปราศจากมาตรการป้องกันและแก้ไขที่จริงจัง ย่อมเสี่ยงต่อการลดทอนศักยภาพในการแข่งขัน รวมถึงความมั่นคงทางการคลังของประเทศในระยะยาว
หนึ่งในประเด็นที่สะท้อนให้เห็นปัญหาดังกล่าวได้อย่างชัดเจน คือการประกอบกิจการภายในเขตปลอดอากร ซึ่งถือเป็นกลไกทางเศรษฐกิจที่มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการค้า การลงทุน และการพัฒนาอุตสาหกรรม ภายใต้สิทธิประโยชน์ทางภาษีที่รัฐกำหนดขึ้นเพื่อจูงใจภาคธุรกิจ
อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติ เขตปลอดอากรกลับกลายเป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการรั่วไหลของภาษีอากร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของสินค้าที่มีอัตราภาษีสูงหรือสินค้าที่เป็นที่ต้องการของผู้บริโภคในประเทศ ซึ่งหากขาดมาตรการควบคุมที่เข้มงวดและโปร่งใส อาจเปิดช่องให้เกิดการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ และทำให้รัฐสูญเสียรายได้ที่สมควรนำไปใช้เพื่อประโยชน์สาธารณะในที่สุด” ป.ป.ช.ระบุ
