
"...คำว่า “เรา” ที่ใช้เป็นสรรพนามบุรุษที่ 2 ตามความหมายในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน จึงอาจเป็นคำชี้แจงของนางสาวแพทองธาร ได้ทั้งในประเด็นที่พูดว่าอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับแม่ทัพภาคที่ 2 และประเด็นกระทำการที่ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ของการดำรงตำแหน่งของตนเองและเกียรติศักดิ์ของประเทศชาติ..."
หลังจากศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้อง 36 สมาชิกวุฒิสภา (สว.)ไว้พิจารณาและมีคำสั่งให้ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี หยุดปฏิบัติหน้าที่เป็นการชั่วคราว โดยกำหนดให้ยื่นคำชี้แจงภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งรับคำร้องไว้พิจารณาเมื่อวันที่ 1 ก.ค.2568 ซึ่งต่อมานางสาวแพทองธารได้ขอขยายเวลาออกไปอีก 15 วัน โดยจะครบกำหนดยื่นคำชี้แจงภายในสิ้นเดือน ก.ค.2568 หรืออีกประมาณ 1 สัปดาห์ จากนี้
คลิปเสียงสนทนาระหว่างนางสาวแพทองธาร กับนายฮุน เซน ประธานวุฒิสภาและอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ประโยคสำคัญที่นำไปสู่การถูกยื่นถอดถอนคือ “ไม่อยากให้อังเคิลไปฟังคนตรงข้ามกับเรา อย่างพวกแม่ทัพภาค 2...เขาอยากจะดูเท่ เขาก็พูดอะไรออกมาที่มันไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ” และคำพูดที่ว่า “จริง ๆ แล้วท่านจะเอาอะไร ให้บอกอิ๊งได้เลย ยกหูบอกก็ได้” ซึ่งนางสาวแพทองธารต้องชี้แจงว่าคำพูดต่าง ๆ เหล่านี้ไม่ได้เกิดผลเสียต่อประเทศชาติ หรือก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ของการดำรงตำแหน่งของตนเองและเกียรติศักดิ์ของประเทศชาติแต่ประการใด
แนวทางการทำคำชี้แจงของนางสาวแพทองธารและทีมกฎหมาย ที่จะยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ น่าจะเป็น 3 ประเด็นหลัก ดังนี้
ประเด็นที่ 1 เรื่องการเจรจากับประเทศคู่กรณีด้วยการเจรจาแบบส่วนตัว โดยไม่ใช้ช่องทางการฑูตอย่างเป็นทางการ นางสาวแพทองธารน่าจะชี้แจงว่า การพูดคุยกันทางโทรศัพท์ครั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายอยู่ในฐานะที่เป็นคนรู้จักกันมาก่อน และครอบครัวทั้งสองฝ่ายมีความสัมพันธ์กัน โดยเป็นการพูดคุยกับสมเด็จฮุนเซนซึ่งไม่ใช่นายกรัฐมนตรีของประเทศกัมพูชาที่มีอำนาจตัดสินใจอย่างเป็นทางการ จึงได้ใช้ช่องทางที่ไม่เป็นทางการนี้เพื่อเป็นการเริ่มต้นที่จะนำไปสู่การเจรจาอย่างเป็นทางการกับผู้นำที่แท้จริงหรือนายกรัฐมนตรีของกัมพูชาอีกครั้งในอนาคต ซึ่งจะทำให้การเจรจาอย่างเป็นทางการในครั้งต่อไปทำได้ง่ายขึ้นและประสบความสำเร็จ และหากมีการเจรจากับนายกรัฐมนตรีของกัมพูชาอย่างเป็นทางการเมื่อใด ก็จะได้ใช้ช่องทางการทูตอย่างเป็นทางการต่อไป เช่นเดียวกับการเจรจาระหว่างประเทศในเรื่องอื่น ๆ ก็ย่อมจะมีทั้งการเจรจาอย่างไม่เป็นทางการและเป็นทางการ จึงเป็นเหตุผลที่จะขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยถึงความจำเป็นในข้อนี้ เพื่อที่จะไม่มีคำสั่งให้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ประเด็นที่ 2 เรื่องขอให้สมเด็จฮุนเซนบอกถึงความต้องการ ว่าจะเอาอะไรก็ให้โทรศัพท์บอกได้เลย นางสาวแพทองธารน่าจะชี้แจงว่า เป็นการพูดกับสมเด็จฮุนเซนซึ่งไม่ใช่นายกรัฐมนตรีของประเทศกัมพูชาที่มีอำนาจอย่างเป็นทางการ และเป็นเพียงการแจ้งให้บอกถึงความต้องการเท่านั้น เพื่อที่จะนำเอาความต้องการที่บอกมาไปพิจารณาว่าจะตกลงแลกเปลี่ยนกันอย่างไรได้บ้าง โดยไม่ได้ตกลงว่าจะทำตามความต้องการของสมเด็จฮุนเซนในทันทีขณะที่กำลังสนทนา อีกทั้งสมเด็จฮุนเซนไม่ใช่คู่เจรจาอย่างเป็นทางการในฐานะนายกรัฐมนตรีของประเทศกัมพูชา จึงเป็นเพียงการสนทนาในฐานะคนรู้จักกัน และเป็นการพูดคุยกันทางโทรศัพท์ระหว่างบุคคล 2 คน และล่ามเท่านั้น ไม่ใช่การเจรจาในที่ประชุมอย่างเป็นทางการ หรือพูดในที่สาธารณะซึ่งมีบุคคลจำนวนมากรับฟังอยู่ด้วย การสนทนาดังกล่าวเป็นข้อมูลส่วนบุคคลของทั้งสองฝ่าย ซึ่งยังไม่มีผลผูกพันใด ๆ กับประเทศไทย และนางสาวแพทองธารอาจยกข้ออ้างว่าคลิปเสียงสนทนาเป็นพยานหลักฐานที่ได้มาโดยมิชอบและผิดมารยาททางการฑูต ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญไม่รับฟังเป็นพยานหลักฐานเพื่อมีคำสั่งให้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ประเด็นที่ 3 การสนทนาที่ใช้คำพูดว่า ไม่อยากให้อังเคิลคือสมเด็จฮุนเซนไปฟังคนตรงข้ามกับเราอย่างพวกแม่ทัพภาค 2 ซึ่งประเด็นนี้คำว่า “เรา” จะทำให้ตีความได้ว่าหมายถึงนางสาวแพทองธาร และสมเด็จฮุนเซนซึ่งเป็นบุคคลสำคัญของประเทศกัมพูชา เป็นการแสดงให้เห็นถึงความใกล้ชิดสนิทสนมและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แม้จะมีบุคคลที่เป็นฝ่ายตรงข้ามก็ยังเป็นคนเดียวกันคือ แม่ทัพภาคที่ 2 ของกองทัพไทย ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาหน่วยทหารในระดับแม่ทัพภาค อันทำให้ถูกกล่าวหาว่านางสาวแพทองธารอาจมีความฝักใฝ่ผูกพันกับประเทศกัมพูชาซึ่งกำลังเป็นคู่กรณีกับประเทศไทย ทั้งที่ตนเองดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย

@ "ฮุน เซน"

ภาพ ‘อุ๊งอิ๊ง’ แพทองธาร ชินวัตร จาก www.innnews.co.th
ประเด็นนี้แม้จะชี้แจงได้ยาก แต่นางสาวแพทองธารน่าจะชี้แจงเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญรับฟังว่า เป็นเทคนิคการเจรจาตามที่เคยพูดไว้เมื่อครั้งแถลงข่าวขอโทษประชาชน และอาจชี้แจงเพิ่มเติมได้อีกว่า คำว่า “เรา” ไม่ได้หมายถึงนางสาวแพทองธารรวมอยู่ในนั้นด้วย แต่หมายถึงเฉพาะบุคคลในประเทศกัมพูชาเท่านั้น โดยอ้างพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 ที่ให้ความหมายคำว่า “เรา” เป็นได้ทั้งสรรพนามบุรุษที่ 1 และสรรพนามบุรุษที่ 2 โดยในส่วนของสรรพนามบุรุษที่ 2 เป็นคำที่ใช้สำหรับผู้มีอำนาจหรือผู้ใหญ่พูดกับผู้น้อย โดยพจนานุกรมได้ยกตัวอย่างเช่น เจ้าหน้าที่ถามผู้ต้องหาว่า เราจะรับสารภาพไหม โดยความหมายจากพจนานุกรมในเรื่องต่าง ๆ ศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลอื่นเคยใช้ในการพิจารณาวินิจฉัยคดีมาแล้วเป็นจำนวนมาก
ดังนั้นนางสาวแพทองธาร จึงสามารถอ้างพจนานุกรมชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญว่า “เรา” ที่ปรากฏอยู่ในคลิปเสียง ตนเองมีเจตนาใช้เป็นสรรพนามบุรุษที่ 2 ที่หมายถึงเฉพาะฝ่ายของสมเด็จฮุนเซนเท่านั้น ไม่รวมถึงตัวนางสาวแพทองธารด้วย จะทำให้เห็นว่านางสาวแพทองธารไม่ได้พูดว่าตนเองอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับแม่ทัพภาคที่ 2 แต่คำว่า “เรา” กลับเป็นข้อดีที่แสดงว่า นางสาวแพทองธารเห็นว่าประเทศไทยเป็นฝ่ายที่มีอำนาจเหนือกว่าสมเด็จฮุนเซนและประเทศกัมพูชาที่เป็นประเทศคู่กรณี จึงใช้คำว่า “เรา” ในฐานะสรรพนามบุรุษที่ 2 ตามที่พจนานุกรมให้ความหมายว่าผู้พูดเป็นผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่าคู่สนทนา
คำว่า “เรา” ที่ใช้เป็นสรรพนามบุรุษที่ 2 ตามความหมายในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน จึงอาจเป็นคำชี้แจงของนางสาวแพทองธาร ได้ทั้งในประเด็นที่พูดว่าอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับแม่ทัพภาคที่ 2 และประเด็นกระทำการที่ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ของการดำรงตำแหน่งของตนเองและเกียรติศักดิ์ของประเทศชาติ เพราะนางสาวแพทองธารไม่ได้รวมอยู่ในคำว่า “เรา” แต่ “เรา” เป็นสรรพนามบุรุษที่ 2 หมายถึงบุคคลที่กำลังพูดด้วยคือสมเด็จฮุนเซน เป็นผู้ที่มีฐานะด้อยกว่านางสาวแพทองธารและประเทศไทย ซึ่งเป็นเหตุผลในประเด็นสำคัญที่จะชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญและขอให้ศาลไม่วินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
แต่หากศาลรัฐธรรมนูญฟังว่า “เรา” ที่ปรากฏในคลิปเสียง นางสาวแพทองธารไม่ได้มีเจตนาให้เป็นสรรพนามบุรุษที่ 2 เนื่องจากเมื่อประกอบกับคำพูดอื่น ๆ รวมทั้งการแถลงข่าวขอโทษประชาชนก็ไม่เคยอธิบายเรื่องนี้ไว้ จึงแสดงว่าเป็นการใช้คำว่า “เรา” ในฐานะเป็นสรรพนามบุรุษที่ 1 ที่มีนางสาวแพทองรวมอยู่ด้วย ก็จะทำให้เป็นการพูดที่แสดงถึงเจตนาที่จะทำให้เกิดความแตกแยกขึ้นในชาติ ทำให้ประชาชนแบ่งกันเป็นฝักเป็นฝ่าย หรือแยกกันเป็นพวกเราพวกเขา โดยเห็นว่าแม่ทัพภาคที่ 2 ซึ่งคุมหน่วยทหารที่อยู่ในพื้นที่ถึง 1 ใน 4 ของประเทศ อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับตนเอง และตนเองได้เข้าไปเป็นพวกเดียวกับประเทศคู่กรณีไปเสียแล้ว เป็นการไม่ปฏิบัติหน้าที่เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติ และความผาสุกของประชาชน ตามที่รัฐธรรมนูญ มาตรา 3 วรรคสอง บัญญัติให้นายกรัฐมนตรีและองค์กรหรือหน่วยงานของรัฐจะต้องปฏิบัติหน้าที่ของตนเพื่อให้เกิดผลดังกล่าว
ทั้ง 3 ประเด็นนี้นางสาวแพทองธารและทีมกฎหมาย จึงจะต้องหาเหตุผลดี ๆ มาชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อให้พ้นจากการถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
