
"...มาถึงตรงนี้ พวกเราคงจะเห็นว่า ความสำคัญของการหัวเราะมีมาก เสียงหัวเราะเป็นยาวิเศษที่ไม่ต้องซื้อด้วยเงิน ถ้าเรานำเสียงหัวเราะเข้าในชีวิตมากเท่าไหร่ เราและคนรอบข้างจะรู้สึกมีความสุขมากขึ้นเท่านั้น ที่สำคัญ การขายหัวเราะเป็นอาชีพที่ทำเงินได้อย่างมหาศาล ดูตัวอย่าง ชาร์ลี แชปลิน อัจฉริยะนักแสดง ผู้สร้างเสียงหัวเราะระดับโลกที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งในยุคต้นถึงยุคกลางคริสต์ศตวรรษที่ 20 ของฮอลลีวูด..."
...........................................
มีนิทานเรื่องหนึ่ง เล่าต่อ ๆ กันมาว่า “เช้าวันหนึ่งกระทาชายสองเกลอ เข้าไปล่าสัตว์ในป่าลึก หลังจากเดินเข้าไปได้ไม่นาน คนหนึ่งเกิดอาการวูบล้มลงไปนอนกองอยู่กับพื้น เพื่อนอีกคนตกใจทำอะไรไม่ถูก พอตั้งสติได้จึงรีบติดต่อไปหาเจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยฉุกเฉิน ละล่ำละลักตะโกนผ่านโทรศัพท์มือถือว่า “ช่วยด้วย ช่วยด้วยครับ เพื่อนผมสะดุดล้มลงกับพื้น ดูเหมือนว่าจะหยุดหายใจ ผมสงสัยว่า เขาคงจะตายแล้วผมจะทำยังไงดีครับ” เพียงช่วงอึดใจ เสียงราบเรียบนุ่มนวลของเจ้าหน้าที่หญิงหน่วยกู้ภัยฯ ก็ดังขึ้นว่า “ใจเย็น ๆ นะคะ ใจเย็น ๆ ตั้งสติไว้ค่ะ แต่ก่อนอื่น คุณแน่ใจนะว่าเพื่อนคุณตายแล้ว” เสียงอีกฝ่ายเงียบลงแต่เพียงเสี้ยวนาทีต่อมา เสียงปืนดังลั่นขึ้น 1 นัดพร้อมกับเสียงหนักแน่นของพ่อหนุ่มที่บอกว่า “แน่ใจครับ ๆ ผมแน่ใจ ตายสนิทเลยแล้วเอาไงต่อครับ”[1]

นิทานเรื่องนี้ได้รับการโหวตให้เป็นเรื่องตลกที่สุดของโลกในปี 2001 ผมคิดว่า พวกเราคงจะสนุกและหัวเราะไปกับมุกตลกเยี่ยมยอด แต่หลายคนอาจจะไม่เข้าใจว่า ทำไมผมถึงเอาเรื่องขำขัน สนุกสนานมาเล่าในภาวะที่ทุกคนกำลังเครียดและกลุ้มใจกับมหันตภัยโควิด-19 ตัวเลขคนติดเชื้อรายวันทะลุเฉียดหลักหมื่น ยอดนิวไฮตัวเลขตายพุ่งใกล้แตะหลักร้อย ขณะที่สถิติวิกฤติผู้ป่วยหนักสูงเป็นอันดับ 11 ของโลกแล้ว ขณะเดียวกัน ก็ยังนึกเสียดายและคิดถึงน้าค่อม ชวนชื่น ตลกระดับตำนาน ขวัญใจคนไทย ผู้ฝากเสียงหัวเราะให้กับแฟน ๆ ที่ต้องตกเป็นเหยื่อโควิด-19 จากไปโดยไม่ทันได้ตั้งตัวอีกด้วย
อย่างไรก็ดี ในทุกมุมมืดย่อมมีมุมสว่าง การหัวเราะคือการแสดงอารมณ์สุขตามธรรมชาติของมนุษย์เราคงคุ้นเคยกับวลีที่ว่า “หัวเราะท้องคัดท้องแข็ง” “หัวเราะจนงอหาย” “หัวเราะทั้งน้ำตา” ในทางการแพทย์ได้ใช้การหัวเราะเป็นเครื่องบำบัดโรคภัยและอารมณ์เศร้าหมอง เพราะคนที่สามารถสร้างอารมณ์ขันและหัวเราะได้ในสถานการณ์เลวร้าย จะเกิดพลังในตัวแอง คลายความเศร้าช่วยเปิดทัศนคติมองโลกในเชิงบวกได้ เหมือนกับที่เรากำลังมองด้านดี ๆ ของการที่ต้องแปลงสภาพบ้านให้เป็นที่ทำงานเกิดการ work from home (wfh) ที่เราคุ้นชินกันในช่วง 18 เดือนที่ผ่านมา[2]
จริงอยู่ ในการทำงาน wfh เราไม่ต้องตื่นแต่เช้า ไม่เร่งรีบ ไม่ต้องกังวลเรื่องแต่งตัวไม่ต้องลุ้นว่ารถจะติด จะมาถึงที่ทำงานทันไหม เพราะทุกอย่างสามารถประชุมทางไกลและทำงานออนไลน์ได้เกือบหมดแต่แน่นอน สิ่งที่ขาดหายไปคือการปฏิสัมพันธ์แบบ “พบหน้ากัน” ไม่มีการทักทาย ไม่มีการพูดคุยหยอกล้อสารพัดเรื่อง ไม่ได้กินกาแฟด้วยกัน เสียงหัวเราะหายไป เกิดความเหงาเป็นระยะ ๆ เพราะจิตวิญญาณแห่งความเป็นมนุษย์นั้นเกิดจากการได้อยู่ เรียนรู้ร่วมกัน และร่วมกันทำงาน ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของบุคลิกภาพแต่ละคน
ดร. ซาบรินา สเทียร์วอลต์ (Sabrina Stierwalt) นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ วิทยาลัย Occidental สหรัฐอเมริกา ได้อธิบายเรื่อง ทำไมมนุษย์ถึงต้องหัวเราะ? (Why Do We Laugh?) ไว้ว่า ในแต่ละวัฒนธรรมล้วนมีเสียงหัวเราะ แม้จะเป็นเสียงหัวเราะจากเรื่องราวที่แตกต่างกัน ไม่ใช่มนุษย์เท่านั้นที่หัวเราะ แม้แต่ลิงก็ยังหัวเราะ เพราะมีนักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาพฤติกรรมการหัวเราะของลิงด้วยวิธีการจั๊กกะจี้ (อาชีพอย่างนี้ก็มีด้วย!)[3]
สำหรับมนุษย์ การหัวเราะเป็นสิทธิและเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ทารกจะเริ่มยิ้มในสัปดาห์แรกหลังคลอด และเริ่มหัวเราะเสียงดังภายในไม่กี่เดือนหลังจากนั้น โดยปกติคนเราจะหัวเราะเฉลี่ยอยู่ที่วันละ 18 ครั้ง และกว่าร้อยละ 97จะหัวเราะเมื่อมีคนอื่นอยู่รอบ ๆ ตัว มากกว่าในเวลาอยู่คนเดียวถึง 30 เท่า ผลการศึกษายังพบว่า เวลาเด็กดูการ์ตูนจะหัวเราะเมื่ออยู่กับเพื่อน ๆ มากกว่าอยู่เพียงลำพัง 8 เท่า
ดร. สเทียร์วอลต์ ยังได้ทำการทดสอบคนในชุมชมที่ต่างกัน 24 ชุมชมรวม 966 คน โดยให้ผู้ร่วมทดสอบฟังเสียงหัวเราะ 2 เสียง เสียงหัวเราะหนึ่งเป็นเสียงของคนใกล้ชิด อีกเสียงหนึ่งเป็นเสียงคนแปลกหน้า ผลปรากฏว่า ส่วนใหญ่สามารถจำแนกได้ว่าเสียงใดคือเสียงหัวเราะของคนสนิทที่รู้สึกได้ถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้น และเสียงใดคือเสียงหัวเราะที่เกิดจากการเสแสร้งรับมุกตลกจืด ๆ จากคนแปลกหน้า
ศาสตราจารย์โรเบิร์ต โพรวีน (Robert Provine) ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาและประสาทวิทยา มหาวิทยาลัย แมรี่แลนด์ กล่าวว่าโดยปกติ เสียงหัวเราะมักจะไม่ได้เกิดจากความรู้สึกตลกขบขัน แต่เกิดจากความรู้สึกทางอารมณ์ที่ต้องการสร้างให้เสียงหัวเราะเป็นสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น และยั่งยืน ซึ่งเป็นไปได้ทั้งทางบวกและทางลบ ในทางบวกคือการยึดโยงคนในกลุ่มเอาไว้ในยามที่ต้องอยู่กับคนอื่น เพื่อแสดงว่าเราเป็นพวกเดียวกัน ในขณะที่ เสียงหัวเราะในเชิงลบแบบหัวเราะเยาะ บ่งบอกถึงการดูถูกดูแคลนในความโชคร้ายและความไม่ทัดเทียมกับอีกฝ่ายหนึ่ง[4]
มาถึงตรงนี้ พวกเราคงจะเห็นว่า ความสำคัญของการหัวเราะมีมาก เสียงหัวเราะเป็นยาวิเศษที่ไม่ต้องซื้อด้วยเงิน ถ้าเรานำเสียงหัวเราะเข้าในชีวิตมากเท่าไหร่ เราและคนรอบข้างจะรู้สึกมีความสุขมากขึ้นเท่านั้น ที่สำคัญ การขายหัวเราะเป็นอาชีพที่ทำเงินได้อย่างมหาศาล ดูตัวอย่าง ชาร์ลี แชปลิน อัจฉริยะนักแสดง ผู้สร้างเสียงหัวเราะระดับโลกที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งในยุคต้นถึงยุคกลางคริสต์ศตวรรษที่ 20 ของฮอลลีวูด
สำหรับประเทศไทย พวกเราคงรู้จักนิตยสารการ์ตูนรายสัปดาห์ “ขายหัวเราะ” ของสำนักพิมพ์บรรลือสาส์น ที่เริ่มมาตั้งแต่ปี 2516 และต่อมาเมื่อมีจัดทำขายในรูปแบบนิตยสารดิจิตอล (e-Magazine) เมื่อทดลองครั้งแรกมียอดดาวน์โหลดกว่า 2 หมื่นครั้งภายในช่วงเวลา 4 วัน และขายได้กว่าล้านเล่มในแต่ละเดือน
จอห์น มอร์รีออลล์ (John Morreall) นักปรัชญา ชาวอเมริกัน บอกว่า “ผู้มีอารมณ์ขันไม่เพียงแต่เป็นผู้ที่บริหารจัดการกับภาวะความเครียดได้เท่านั้น แต่ยังเป็นผู้ที่มีความยืดหยุ่นและปรับตัวได้ดีอีกด้วย” (The person who has a sense of humor is not just more relaxed in the face of a potentially stressful situation, but is more flexible in his approach.)

สำหรับ Weekly Mail ฉบับหน้า ผมจะขอต่อยอดว่า นอกจากเสียงหัวเราะที่จะช่วยเสริมสร้างบรรยากาศการทำงานไม่ให้เงียบเหงาแล้ว ยังมีวิธีใดที่จะช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้การทำงานแบบ wfhมีประสิทธิภาพและมีความเป็นมนุษย์มากขึ้น
แหล่งที่มา
[1]Poosuwan, B., 2021. เรื่องตลกเรื่องไหนที่ขำที่สุดในโลก: a scientific experiment - ThaiPublica. [online] ThaiPublica. Available at: <https://thaipublica.org/2015/12/nattavudh-31/> [Accessed 11 July 2021].
[2] Brightside People. 2021. 5 แนวทางนำเสียงหัวเราะกลับคืนสู่ออฟฟิศ - Brightside People. [online] Available at: <https://www.brightsidepeople.com/5-%E0%B9%81%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%A5/> [Accessed 11 July 2021].
[3] Stierwalt, E., 2021. Why Do We Laugh?. [online] Scientific American. Available at: <https://www.scientificamerican.com/article/why-do-we-laugh/> [Accessed 11 July 2021].
[4] Salt. 2021. WHY WE LAUGH? มากกว่าขำ เสียงหัวเราะในฐานะพฤติกรรมทางจิตวิทยาและวัฒนธรรม. [online] Available at: <http://salt.co.th/why-we-laugh/> [Accessed 11 July 2021].
หมายเหตุ : ภาพประกอบจาก https://www.freepik.com

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา