
"...ตอนที่นอนพะงาบๆ อยู่โรงพยาบาล ร่างกายทุกข์ทรมาน หายใจเหนื่อยหอบ ไม่สามารถลุกจากเตียง แม้แต่เดินเข้าห้องน้ำที่ห่างไป 2 เมตร ก็ยังทำไม่ได้ คนถามว่าเราเผชิญกับความเจ็บป่วยอย่างไร?..."
......................
ท้าวความ - ถ้าได้เคยอ่านประสบการณ์โค(วิด)ขวิดตอน 1-3 ก็คงได้รู้ว่าเราเคยเป็นโควิด อาการค่อนข้างรุนแรง เราต้องนอนรักษาตัวอยู่โรงพยาบาล 1 เดือน เพราะมีอาการปอดบวม 2 ครั้ง ครั้งแรกจากไวรัสโควิด ครั้งที่ 2 จากเชื้อแบ็คทีเรีย เราเป็นผู้สูงอายุ (ตอนที่เป็น อายุ 63 ปี) เป็นโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง และความดันต่ำกว่าปกติ แต่เราเป็นคนออกกำลังกาย เดินป่าเดินเขาเป็นอาจิณ เราไม่สูบบุหรี่ ไม่เคยเป็นโรคปอด ปอดจึงน่าจะแข็งแรงพอสมควร
เมื่อวาน เพื่อนขอให้เราเขียนว่าเราปฏิบัติตัวอย่างไร จึงสามารถกลับมาแข็งแรงดังเดิมหลังจากที่เป็นโควิด เราก็เลยมานั่งเขียนเล่าให้ฟัง เผื่อจะเป็นประโยชน์กับคนอ่าน
ตอนที่นอนพะงาบๆ อยู่โรงพยาบาล ร่างกายทุกข์ทรมาน หายใจเหนื่อยหอบ ไม่สามารถลุกจากเตียง แม้แต่เดินเข้าห้องน้ำที่ห่างไป 2 เมตร ก็ยังทำไม่ได้
คนถามว่าเราเผชิญกับความเจ็บป่วยอย่างไร?
คำตอบคือ เราเผชิญกับมันด้วยการยอมรับสภาพ ในเมื่อเราป่วยไปแล้ว เราก็ต้องอดทน เราต้องพยายามผ่อนคลาย หายใจเข้าลึกๆ หายใจออกลึกๆ ปล่อยใจให้อยู่ในภวังค์ พยายามไม่นึกถึงความเจ็บป่วยและความทรมาน พยายามนอนหลับให้มากที่สุด ให้โอกาสร่างกายต่อสู้โรค เราบอกตัวเองว่า “ความทุกข์นี้ผ่านมาเดี๋ยวมันก็ผ่านไป” เราคิดว่าหมอพยาบาลเขาดูแลเราเต็มที่ เราควรทำใจให้สบาย กังวลไปก็ไม่มีประโยชน์ และถ้าชะตาเราถึงฆาต เราก็ต้องไป เทวดาหน้าไหนก็ช่วยเราไม่ได้ คนเกิดมาต้องตายทุกคน ถ้าจะต้องตายก็ขอไปแบบผ่อนคลาย ไม่ทุรนทุราย (จากประสบการณ์ ถ้าจะตายจริงก็ไม่ทรมาน หายใจไม่ได้ก็หน้ามืดวูบไป คนไปไม่ทรมาน คนอยู่ทรมานกว่า)
เราป่วยหนัก หมอมาดูเราทุกวัน อาการของเราหนักขึ้นๆ ขนาดเขาเตรียมย้ายเราไปเข้าเครื่องช่วยหายใจ หมอมาเยี่ยมไข้ทุกครั้ง เขาก็ถามเราว่า “เครียดไหม?” เราตอบโดยการหัวเราะ หมอมองหน้าเรา เขาก็ว่า “เออ.. ไม่เครียด” (ถ้าเครียด เขาจะหานักจิตวิทยามาคุยกับเรา) พอผ่านไป 6-7 วัน จะด้วยทัศนคติหรือความผ่อนคลาย หมอก็ลงความเห็นว่าเราไม่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ แต่ต้องใช้สายอัดอ็อกซิเจนเข้าปอดให้เต็มที่ต่อไป
ตอนที่โดนขังเดี่ยวอยู่โรงพยาบาล อยู่ๆ เราก็ได้ยินเสียงกรีดตะโกนของผู้หญิงที่เพิ่งย้ายมาอยู่ห้องข้างๆ ขนาดเรานอนห้องเดี่ยวปิดประตูแน่นหนา เสียงก็ยังลอดเข้ามา ผู้หญิงฝรั่งร้องโหยหวลตลอดวันตลอดคืน (แปลเป็นไทยได้ว่า) “ช่วยยยยย ด้วยยยยย ช่วยยยยยฉันด้วยยยยย” จนเราคิดว่าเราอยู่ในหอผู้ป่วยจิตเวช พยาบาลเวรเข้ามาถามว่าเสียงร้องรบกวนเรามากไหม? เราตอบเขาว่า “ไม่” เพราะเสียงนั้นทำให้เราได้คิดว่า อาการเรายังไม่หนักขนาดต้องร้องโหยหวล ไม่รู้ว่าทำไม แต่มันทำให้เราขำและรู้สึกดีขึ้น ประมาณสองวัน เสียงนั้นก็หายไป ไม่รู้ว่าเขาย้ายเธอไปที่อื่น หรือเธอย้ายไปอยู่ภพภูมิอื่นแล้ว
เมื่ออาการเราพัฒนาขึ้น หมอส่งของเล่นชิ้นใหม่มาให้ ถ้าใครเคยนอนโรงพยาบาลนานๆ ก็จะเคยเห็นอุปกรณ์ชิ้นนี้ มันคือเครื่องออกกำลังกายปอด อุปกรณ์ทำด้วยหลอดพลาสติกใสๆ มีลูกบอลอยู่ข้างใน มีท่อโผล่มาให้เราดูด (ดูดนะไม่ใช่เป่า) เราต้องพยายามดูดให้ลูกบอลไปอยู่ในตำแหน่งที่กำหนดไว้ พยาบาลอธิบายให้เราฟังว่า ปอดเรามีถุงลมเล็กๆ พอนอนติดเตียงนานๆ หรือเมื่อปอดบาดเจ็บ ถุงลมมันจะแฟบ เราต้องบริหารปอดเพื่อให้ถุงลมพองขึ้น ในเมื่อพยาบาลบอก เราก็ไม่ดื้อ เราใช้อุปกรณ์ทุกครึ่งชั่วโมง ดูดครั้งละ 10-20 ที (ทำเกินกว่าที่หมอสั่ง) แรกๆ เราไม่มีแรงจะดูด แถมไอมากมาย ทรมานมาก แต่เราไม่ย่อท้อ เราดูดของเราไปเรื่อย (ดีกว่าอยู่เปล่าๆ) ไม่นาน เราก็รู้สึกว่าเรามีแรงดูดมากขึ้น และสามารถบังคับให้ลูกบอลอยู่ในตำแหน่งที่กำหนดได้ดีขึ้น (เดี๋ยวนี้ลองดูดดู อะไรมันจะง่ายขนาดนั้น ผิดกับตอนที่ป่วยอย่างฟ้ากับเหว)
เรานอนติดเตียงเป็นเดือน น้ำหนักหายไปกว่าสิบกิโล กล้ามเนื้อฟ่อลีบ ยกแขนไม่ได้ ยิ่งแขนที่ติดน้ำเกลืออยู่ยกไม่ถึงไหล่ก็สั่นพั่บๆ หมอส่งนักกายภาพบำบัดมาบังคับเราเดิน แต่พอลุกจากเตียงก็เป็นลมคว่ำไป จะให้เราเดินได้อย่างไร แค่ลุกเข้าห้องน้ำก็แทบจะทำไม่ได้ ส่วนใหญ่ต้องปฏิบัติภารกิจบนเตียง
พอเราหายจากโรค หมอแนะนำให้เราย้ายไปอยู่วอร์ดกายภาพบำบัด แต่เราคิดถึงบ้าน เราไม่อยากโดนขังเดี่ยวอีกต่อไป เราเลยขอหมอกลับบ้านมาหาลูกหาสามี เรากลับบ้านมาพร้อมกับถังอ็อกซิเจนส่วนตัว ตอนกลับบ้านวันแรก เราไม่สามารถเดินขึ้นบันไดไปห้องนอน เราเลยใช้ก้นถัดขึ้นบันได ขึ้นขั้นหนึ่งก็พักทีหนึ่ง กว่าจะถึงห้องนอนก็ลมแทบจับ เราลุกเข้าห้องน้ำเองไม่ได้ สามีต้องช่วย แต่เราให้สามีเอาเก้าอี้สำนักงานที่มีลูกล้อมารอไว้ข้างเตียง ลุกจากเตียงได้ก็นั่งเก้าอี้ไสตัวเองไป จะได้ไม่เป็นภาระคนอื่น
เรารู้ว่าเราจะมีชีวิตแบบนี้ต่อไปไม่ได้ เราต้องช่วยตัวเองให้ได้ เราต้องสร้างกล้ามเนื้อให้กลับมา เราต้องประกาศตัวเป็นอิสรภาพจากถังอ็อกซิเจน
เราดูดอุปกรณ์ขยายปอดทุกวัน วันละหลายๆ ครั้ง ทรมานแค่ไหนเราก็พยายามขยับตัวลุกนั่ง เราตั้งเป้าเพิ่มกิจกรรมและขยายอาณาเขตการเดินวันละหน่อย เริ่มจากลุกจากที่นอน เข้าห้องน้ำเอง อาบน้ำเอง เดินออกนอกห้องนอน เดินลงบันได เดินลงข้างล่าง ช่วยสามีหั่นผัก ยามว่างเรายกแข้งยกขา ยกแขนเหนือศีรษะ เราวัดระดับอ็อกซิเจนในกระแสเลือดและชีพจรตลอดเวลา แรกๆ ไม่ว่าจะขยับตัวทำอะไร ระดับอ็อกซิเจนจะลดฮวบๆ บางทีต่ำขนาด 70+ ส่วนชีพจรก็วิ่งลิ่วไปถึง 130-140 หอบจนตัวโยน เราต้องรีบนั่งหรือนอนราบรอให้ชีพจรต่ำกว่า 100 เราจึงเริ่มขยับใหม่ เราพยายามลดระดับอ็อกซิเจนลง พยายามถอดสายอ็อกซิเจนเป็นระยะๆ ถ้าระดับอ็อกซิเจนในเลือดต่ำกว่า 93 เราก็รีบพัก รีบเสียบสายอ็อกซิเจนกลับเข้าจมูกใหม่
พอเดือนหนึ่งผ่านไป เราก็เริ่มออกเดิน ตอนเดินแรกๆ เห็นเนินเขาเล็กๆ เรากลัวมาก ขาดความมั่นใจว่าถ้าเดินลงไปแล้วจะเดินกลับขึ้นมาได้หรือไม่ แต่เราเดินทุกวัน จากบันไดเตี้ยๆ กลายเป็นบันไดสูงๆ เนินเตี้ยๆ กลายเป็นเนินสูง จากเดินไม่ถึงกิโล กลายเป็น 3-4 กม จนเดือนถัดมา เราสามารถเดินป่า ขึ้นเนิน ลงเนิน เดินได้ถึง 8 กม ต่อวัน แม้จะต้องพักบ่อยกว่าปกติ แต่เราเดินแบบค่อยเป็นค่อยไปไม่ฝืน (เดี๋ยวนี้กลับมาเหมือนเดิม แม้ว่าความแข็งแรงของกล้ามเนื้อจะไม่เท่าเก่า แต่ของอย่างนี้ต้องค่อยๆ สร้าง มันต้องใช้เวลา)
เรามาคิดถึงคนที่ไม่มีอันจะกินในประเทศไทย ถ้าเขาต้องใช้เวลาฟื้นฟูร่างกายหลังจากหายป่วยเป็นเดือนๆ ถ้าเขาไม่มีรายได้ ไม่มีเงินเก็บ ไม่มีคนดูแล แล้วเขาจะทำอย่างไร? ใครจะยื่นมือเข้ามาช่วย? เรื่องนี้หน่วยงานราชการจะเข้าช่วยเหลือประชาชนอย่างไร? (ที่อเมริกา เขาจะส่งคนมาที่บ้าน หาข้าวหาปลา ซักผ้า จ่ายตลาดให้ ถ้าเรามีความจำเป็น)
เล่ามาออกจะยาว ขอพูดเรื่องสุดท้ายที่คนอาจคาดไม่ถึง โควิดเป็นโรคที่สามารถส่งผลต่อเนื่องระยะยาว บางคนเหนื่อยหอบไม่ยอมหาย บางคนไอตลอดเวลา บางคนอยู่ๆ ก็เป็นเบาหวานน้ำตาลขึ้นขนาด 300+ บางคนผมร่วง บางคนการรับรู้รสชาติเปลี่ยนไป บางคนเป็นโรคหัวใจ ฯลฯ อาการต่อเนื่องหลังจากเป็นโควิดเหล่านี้ ฝรั่งเรียกว่า “Post-Covid Syndrome” ที่อเมริกานี่ คนที่เคยเป็นโควิดสามารถไปหาหมอให้ดูแลสุขภาพต่อเนื่องได้ ในเมืองที่อยู่นี้ เขามีคลินิคพิเศษที่ตั้งขึ้นโดยเฉพาะเรียก “Post-Covid Clinic” ตอนหายจากโควิดใหม่ๆ คนรอนัดยาวขนาดต้องรอคิว 6-7 เดือน นั่นแสดงว่าผู้ป่วยโควิดที่มีอาการต่อเนื่องนั้นเยอะมาก เราออกจากโรงพยาบาลเดือน มี.ค. เพิ่งจะได้รับการตรวจเดือน ก.ค. เพราะมีคนเลิกนัด (จริงๆ นัดได้เดือน ก.ย.)
หมอบอกว่าเราโชคดีที่ปอดกลับมาทำงานจนเกือบปกติ (แต่ต้องดูว่าเมื่อถึงฤดูหนาว เราจะกลับมาไออีกหรือไม่ เพราะเราเคยไอต่อเนื่องเป็นเดือนๆ หลังจากที่หายจากโควิดแล้ว) อย่างไรก็ตาม หมอให้ความรู้เรานิดหนึ่งที่ทำให้เราสบายใจขึ้น หมอบอกว่าคนที่เป็นเบาหวานหรืออาการอื่นเนื่องจากโควิด (ซึ่งอดีตไม่เคยเป็นมาก่อน) ถ้าอวัยวะไม่ถูกทำลายจนเลยเถิด อาการของโรคจะค่อยๆ หายไปในที่สุด ดังนั้น จึงสำคัญมากที่จะต้องประคองตัวให้รอดไปหายให้ได้
ข้อเตือนใจสำหรับคนที่เคยเป็นโควิดคือ เมื่อหายแล้วอย่าเพิ่งวางใจ โควิดอาจทำให้มีอาการต่อเนื่องที่ไม่พึงประสงค์ได้ แม้ว่าเราจะหายจากโควิดแล้ว เราก็ควรเฝ้าดูตัวเองอย่างต่อเนื่อง ไม่ชอบมาพากลให้รีบกลับไปหาหมอเพื่อได้รับการรักษา และอย่าลืมว่า อาการที่เกิดมักไม่ถาวร (ถ้าดูแลให้ถูกทาง) และส่วนใหญ่สามารถรักษาให้หายได้
ขอให้ทุกคนโชคดี ปลอดภัยไร้โควิด แต่ถ้าติดโควิดเข้า ก็ขอให้ทำใจให้ดี คิดบวกไว้ มีวินัยในการทำกายภาพบำบัด และดูแลอาการต่อเนื่องต่อไปจนหายสนิท
อ่านประกอบ :
ดร.ภาพร เอกอรรถพร : ประสบการณ์จากโควิดขวิด(1)
ดร.ภาพร เอกอรรถพร : ประสบการณ์จากโควิดขวิด(2)
ดร.ภาพร เอกอรรถพร : ประสบการณ์จากโควิดขวิด(3)

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา