"...เราเข้าใจว่าเราหายจากโควิดแล้ว แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ๆ ก็มีไข้ ถามหมอ หมอบอกว่า โควิดมักเป็นอย่างนี้ คือพอหายแล้วมันก็จะกลับมามีอาการต่างๆ อีกครั้ง ส่วนอาการก็แล้วแต่คน (อย่างสามี หายจากโควิดไปเป็นอาทิตย์ อยู่ๆ ก็ปวดตัวปวดข้ออย่างหนัก แถมหน้ามืด แต่ไม่กี่วันก็หาย)..."
...........................................
หมายเหตุ : ดร.ภาพร เอกอรรถพร เป็นนักวิชาการด้านบัญชีที่มีชื่อเสียง เคยเป็นอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัยในประเทศไทย อดีตประธานคณะกรรมการมาตรฐานการบัญชี สมาคมนักบัญชีและผู้สอบบัญชีแห่งประเทเทศไทย เคยเขียนหนังสือไว้หลายเล่ม เช่น บัญชีศรีธนชัย, กลบัญชี , อ่านงบการเงินให้เป็น , บัญชีช่วยได้ ไปใช้ขีวิตอยู่ในสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ ค.ศ.2015 จนปัจจุบัน
วันที่ 8 มี.ค. วันที่คาดว่าจะได้กลับบ้าน ทุกอย่างยังเงียบสงบ พอถามหมอ หมอบอกว่าเราควรย้ายไปวอร์ดกายภาพบำบัดเพื่อฟื้นฟูร่างกายก่อนกลับบ้าน เพราะร่างกายอ่อนแอเต็มทน (ถึงวันนั้น เรานอนติดเตียงมา 20+ วัน รวมเวลาทีนอนที่บ้านด้วย)
เรารู้สึกเซ็ง แต่ก็รีบโทรไปบอกสามีที่รอจะมารับ เรานอนรอ รพ เตรียมการส่งตัวยังไม่เสร็จ เราก็เริ่มเป็นไข้ ไข้สูงเหยียบ 40C มากลางวัน 2 ครั้ง กลางคืน 2 ครั้ง จนหมอสั่งให้กินไทลินอลลดไข้ต่อเนื่อง
ขนาดกินยาลดไข้ อาการก็ยังสุดโหด พอไข้เริ่มมาก็เริ่มหนาวสั่น กดกริ่งขอผ้าห่มต่อเนื่อง บางครั้งขนาดห่ม 8 ผืน เราก็ยังสั่นพั่บๆ แต่พอบทไข้จะลด เหงื่อเริ่มออก ทีนี้ร้อนจับใจ ถีบภูเขาผ้าห่มออกแทบไม่ทัน (อย่าลืมว่าแรงจะถีบก็แทบไม่มี) ขอพัดลมมาเปิดกระหน่ำ ขอน้ำแข็งมาอม เปิดเปลื้องทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ก็ยังไม่หายร้อน พอหายร้อน สมองก็แจ่มใสขึ้น รู้สึกสบายตัว แต่สบายไปได้ไม่กี่น้ำ วงจรอุบาทก็เริ่มกลับมาใหม่
เราเข้าใจว่าเราหายจากโควิดแล้ว แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ๆ ก็มีไข้ ถามหมอ หมอบอกว่า โควิดมักเป็นอย่างนี้ คือพอหายแล้วมันก็จะกลับมามีอาการต่างๆ อีกครั้ง ส่วนอาการก็แล้วแต่คน (อย่างสามี หายจากโควิดไปเป็นอาทิตย์ อยู่ๆ ก็ปวดตัวปวดข้ออย่างหนัก แถมหน้ามืด แต่ไม่กี่วันก็หาย)
หมอว่าถ้าเป็นไข้เพราะโควิดก็ไม่น่าเป็นห่วงอะไร ไม่กี่วันก็หายเอง เราทนเป็นไข้รอหลายต่อหลายวัน (จำได้ว่า 6 วัน) ไข้ก็ไม่มีทีท่าที่จะลด แถมอาการกลับแย่ลง ที่เคยลุกจากเตียงได้ก็ลุกไม่ได้เพราะลมจับ จนเขาต้องเพิ่มระดับออกซิเจนขึ้นเป็น 5 ลิตร
ตอนนี้หมอเริ่มเดือดร้อน เขาให้ทำ CT scan ปอดอีกครั้ง พบว่าปอดแย่ลง ทีมหมอหลักเรียกทีมหมอปอด ทีมหมอปอดขอความช่วยเหลือจากทีมหมอโรคติดเชื้อ ทีนี้มหกรรมการเจาะเลือดครั้งใหญ่ก็เริ่มขึ้น วันๆ เจาะเลือดไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ตรวจหาเชื้ออะไรต่อมิอะไรจ้าละหวั่น แถมช่วงนั้นมีเสมหะ ไอทั้งคืนจนนอนไม่ได้ หมอก็ขอให้เก็บเสมหะไปตรวจ
การตรวจเพาะเชื้อต้องใช้เวลา ผลแล็บยังไม่ออก หมอก็ยังไม่ขยับ ส่วนอาการเราก็ทรุดลงๆ จนเข้าวันที่ 10 จากที่เริ่มมีไข้ ในที่สุดเข้าใจว่าถึงจุดวิกฤติที่บรรดาหมอๆ ต้องทำอะไรสักอย่าง ไม่งั้นก็อาจสายเกินไป
ทีมหมอจึงตกลงกันว่าคงรอผลแล็บไม่ไหว ต้องกระหน่ำให้ยาปฏิชีวนะแบบ “Big gun” ไปเลย (หมอปอดบอก) เพราะ “Better safe than sorry” (หมอโรคติดเชื้อบอก) ที่ตัดสินใจอย่างนั้น เพราะทีมหมอโรคติดเชื้อกับหมอปอดสันนิษฐานว่าเราติดเชื้อแบ็คทีเรียที่ปอดทำให้เป็นปอดบวมอีกครั้ง (เราขอบคุณการตัดสินใจของทีมแพทย์ทุกทีมมาจนทุกวันนี้ เราคิดว่าเขาตัดสินใจถูก)
“Big gun” ของหมอปอด คือการให้ยาปฏิชีวนะเข้าเส้นต่อเนื่อง ถุงละ 4 ช.ม. วันละ 3 ถุง ยาที่ให้มีไว้กำจัดแบ็คทีเรีย (ไม่เกี่ยวกับไวรัสโควิด) เขาให้ยาแบบล้างบาง แบ็คทีเรียอะไรก็อยู่ไม่ได้ (ภายหลังผลแล็บจากเสมหะพบเชื้อ Gram Negative ในปอด)
เราได้รับยาไปแค่ 48 ชั่วโมง อาการไข้ก็หายเป็นปลิดทิ้ง ชีวิตเริ่มกลับมามีหวัง แต่ปอดยังต้องใช้ปริมาณออกซิเจน 4 ลิตร ลดไม่ได้ ส่วนยาปฏิชีวนะก็ให้ต่อเนื่องต่อไปอีก 7 วัน
ตอนนี้ร่างกายอ่อนแอเต็มแก่ แขนขวาติดเข็มน้ำเกลือแนบข้างตัวเป็นเดือน ทำให้มวลกล้ามเนื้อฝ่อลีบยกแขนไม่ได้ ขาก็เช่นกัน ด้วยความที่ไม่ได้ใช้ กล้ามเนื้อจึงหายไปเหลือแต่หนังเหี่ยวเป็นพวงๆ
ช่วงนั้นพยายามลุกจากเตียงเข้าห้องน้ำเอง (ห่างจากเตียง 2 เมตร) เดินถึงห้องน้ำก็หายใจไม่ทันแทบจะเป็นลม นั่งห้องน้ำทีไร พยาบาลที่ปกติเรียกยากเรียกเย็นจะวิ่งเข้ามาล้อมห้องน้ำเป็นฝูง เพราะเขาเห็นระดับออกซิเจนตกฮวบจากจอมอนิเตอร์ พยาบาลจะเข้าเพิ่มระดับออกซิเจนเป็น 7 ลิตร และหิ้วเราจากห้องน้ำพาไปที่เตียง แล้วสั่งห้ามไม่ให้เราเข้าห้องน้ำเองเด็ดขาด
อาการหายใจไม่ทันและชีพจรเต้นเร็วเกินพิกัดไม่ได้หายง่ายๆ ทีมกายภาพบำบัด 2 ทีม (Physical Therapy PT กับ Occupational Therapy OT) ถูกส่งเข้ามาบังคับเราเดินและยกแขนยกขา เดินได้ไม่กี่ก้าวก็หอบจะเป็นจะตาย ไม่น่าเชื่อว่าจากคนแข็งแรงที่เดินป่าเดินเขาเป็นวันๆ จะหมดสภาพขนาดนี้
เล่าไปก็เลื่อนเปื้อน สรุปว่า เราเข้า รพ วันที่ 24 ก.พ. ออกวันที่ 23 มี.ค. (พร้อมถังออกซิเจนส่วนตัว) จริงๆ หมออยากให้ไปอยู่วอร์ดฟื้นฟูต่อ แต่เราปฏิเสธสุดฤทธิ ขี้เกียจให้พวก PT กับ OT มาบังคับเราให้ทำนั่นทำนี่ กลับบ้านไปกายภายบำบัดเองดีกว่า (แต่แท้จริงแล้ว เราคิดถึงสามี คิดถึงลูก คิดถึงบ้าน คิดถึงอาหารมังสวิรัติอร่อยๆ)
ก่อนจบ อยากเล่าให้สาวๆ ฟังว่าทำไมไม่ควรเป็นโควิด เราอยู่ รพ เป็นเดือน อย่างมากก็ได้แต่เช็ดตัว 2 วันครั้งบ้าง 5 วันครั้งบ้าง คือทั้งเดือนไม่ได้อาบน้ำ ผมไม่ได้สระ พอสักอาทิตย์ พยาบาลจะเอาหมวกพลาสติกแบบหมวกอาบน้ำหนาๆ ข้างในเป็นสารเคมี มาครอบผม ขยี้ๆ เป็นอันเสร็จไม่ต้องใช้น้ำ (ผมไม่มีกลิ่น แต่สิ่งที่สะสมไว้ไม่ได้ล้างออก) ตอนออกจาก รพ มีความรู้สึกเหมือนสัตว์ป่า พอถึงบ้าน อาบน้ำเองยังไม่ได้เพราะยกแขนไม่ขึ้น แถมเหนื่อยหอบ สามีต้องช่วยอาบน้ำให้ ใช้เวลาเกือบชั่วโมง ท่อน้ำเกือบจะตันแล้วก็ยังกำจัดสิ่งที่สะสมไว้ไม่หมด อาบน้ำเสร็จรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นมนุษย์มากขึ้น แม้รูปร่างจะคล้ายยิวที่อยู่ในค่ายกักกันก็ตาม (น้ำหนักหายไป 6 กิโลกรัม)
พอกลับถึงบ้าน ได้เจอสามีเจอลูก เจออากาศบริสุทธิ (พอดีหมดหนาว เข้าฤดูใบไม้ผลิ) เห็นดอกไม้บานจากหน้าต่าง กินอาหารถูกปาก สภาพจิตใจเบิกบาน ร่างกายก็ค่อยๆ ฟื้น อยู่บ้านได้ 4 วันก็ถอดออกซิเจน เริ่มลุกจากที่นอน เริ่มเดินขึ้นลงบันได เริ่มออกสวน เริ่มเล็มต้นไม้เพิ่มกล้ามเนื้อแขน
ตอนที่นั่งเขียนเล่าเรื่องนี้เป็นเวลา 21 วัน หลังจากออกจาก รพ (วันนี้วันที่ 13 เม.ย. วันสงกรานต์) ระดับออกซิเจนคงที่ประมาณ 98 ส่วนชีพจรยังมีปัญหา ทำอะไรมากๆ ชีพจรก็จะเต้นเร็วเกิน 100 บางครั้งขึ้นถึง 130 แต่ก็เหนื่อยน้อยลงเป็นลำดับ เมื่อวานก็อุตส่าห์หนีไปเดินป่ามา (เดินไปได้ 1.7 ไมล์ แต่ต้องไปช้าๆ)
เรื่องการป่วยโควิดในอเมริกาของคนสองคนก็จบลง หวังว่าคนอ่านจะได้ข้อมูลไม่มากก็น้อยจากบทความ 3 ตอนจบนี้
(ป.ล. สามีกับลูกไปฉีดวัคซีนมาเรียบร้อย เราเองรอพบหมอก่อน พอหมออนุญาต เราก็จะฉีดตาม)
ที่มา : ดร. ภาพร เอกอรรถพร
บทความที่เกี่ยวข้อง :
ดร.ภาพร เอกอรรถพร : ประสบการณ์จากโควิดขวิด(1)
ดร.ภาพร เอกอรรถพร : ประสบการณ์จากโควิดขวิด(2)