"...เมื่อนำหลักการนี้ ซึ่งปัจจุบันเรียกว่าเป็นสำนักความคิดทางกฎหมายประวัติศาสตร์ ( Historical school) มาใช้พิจารณากับข้อเสนอทั้ง 10 ข้อ ของอาจารย์ปิยบุตร ก็จะเห็นอย่างชัดเจนว่าเป็นข้อเสนอที่มีปัญหาอย่างมากและขัดแย้งกับหลักการพื้นฐานที่ยอมรับกันในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยที่ได้รับรองไว้ซึ่งพระราชสถานะ พระราชอำนาจ และการคุ้มครองพระมหากษัตริย์ไว้อย่างถูกต้องและเหมาะสมสอดคล้องกับจิตวิญญาณประชาชาติไทยแล้ว แต่ถ้ามีการแก้ไขตามข้อเสนอของอาจารย์ปิยบุตร กลับจะเป็นการทำให้พระมหากษัตริย์ไทยเป็นเพียงสัญลักษณ์ในฐานะพระประมุขของประเทศเท่านั้น ไม่ได้เป็นการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์แต่อย่างใด อีกทั้งจะเป็นการขัดแย้งต่อจารีตประเพณีในทางรัฐธรรมนูญของไทยและบทบัญญัติที่เป็นหลักการพื้นฐานในเรื่องพระมหากษัตริย์ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งอย่างน้อยก็ได้รับการยืนยันเห็นชอบจากการลงประชามติของประชาชนเสียงส่วนใหญ่ของประเทศมาถึงสองครั้งในการให้ความเห็นชอบกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 อีกทั้งถ้าสืบสาวราวเรื่องขึ้นไปในทางประวัติศาสตร์ บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยที่เกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์ที่เป็นอยู่ปัจจุบัน ก็มีหลักการสำคัญที่สืบเนื่องมาจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. 2475 ที่ประกาศใช้เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ.2475 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญถาวรฉบับแรกของประเทศไทยอีกด้วย..."
...................................
หมายเหตุ: บทความเรื่อง ‘10 ข้อเสนอในการแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย หมวด 2 พระมหากษัตริย์ ของอาจารย์ปิยบุตร แสงกนกกุลไม่ใช่การปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์แต่เป็นการทำให้พระมหากษัตริย์เป็นเพียงสัญลักษณ์และกระทบกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร’ เขียนโดย ผศ.กิตติพงศ์ กมลธรรมวงศ์ อาจารย์ประจำศูนย์กฎหมายมหาชนและศูนย์นิติศึกษาทางสังคม ประวัติศาสตร์และปรัชญา คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2564 โลกออนไลน์ได้มีการเผยแพร่ข้อเสนอในการร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม หมวด 2 พระมหากษัตริย์ และรายละเอียดแต่ละมาตราที่ได้มีการยกร่างไว้โดย อาจารย์ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า โดยมีสาระสำคัญทั้งหมด 10 ข้อ ซึ่งผู้นำเสนอได้ระบุถึงเจตนารมณ์ของตนอย่างชัดเจนว่า เป็นการสานต่อภารกิจข้อเรียกร้องการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ 10 ข้อ ที่นำเสนอสู่สาธารณะในปีที่แล้วเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2563 โดยกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุมที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต เพื่อนำไปสู่การรณรงค์และใช้สิทธิเข้าชื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญต่อไป
นอกจากนี้อาจารย์ปิยบุตรยังได้กล่าวต่อว่า “ในส่วนของฝ่ายไม่เห็นด้วยกับการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ผมอยากให้ยอมรับข้อเท็จจริงว่า ณ วันนี้ มีคนจำนวนมากที่มองสถาบันกษัตริย์ไม่เหมือนอย่างที่พวกท่านคิดเชื่อมาทั้งชีวิต จำนวนคนที่มากนี้ มากอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน และในจำนวนที่มากนั้นส่วนใหญ่ก็เป็นเยาวชนอนาคตของชาติด้วย พวกเขาอาจพูกจาแสดงออกที่มำให้พวกท่านช็อค มึนงง โกรธ เพราะไม่เคยพบเคยเห็นการแสดงออกแบบนี้มาก่อน จนเกิดอาการรับไม่ได้ นานวันเข้า ก็กลายเป็นโกรธ อาฆาต ชิงชัง แต่ไม่ว่าพวกท่านจะโกรธ จะเกลียด จะแค้น จะไล่ฟ้องคดี จะไล่ล่าพวกเขาด้วย “นิติสงคราม” จะสั่งการให้เจ้าหน้าที่มาปราบปรามอย่างรุนแรง จะเอาพวกเขาไปขังให้หมดทุกคน ก็ไม่มีทางที่พวกเขาจะเปลี่ยนความคิดที่มีต่อสถาบันกษัตริย์ได้ ตรงกันข้ามยิ่งทำกันแบบนี้ ก็จะยิ่งผลักให้พวกเขาราดิคัลมากขึ้น จนข้อเรียกร้องการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์จะพัฒนาจนกลายเป็นข้อเรีบกร้องแบบอื่นต่อไป
ยอมรับข้อเท็จจริงเหล่านี้เถอะครับ ทำความรู้จักมักคุ้นกับมัน มองมันในฐานะปรากฏการณ์ตามธรรมชาติ ผลย่อมเกิดจากเหตุ ปฏิกิริยาย่อมเกิดจากสภาที่เป็นอยู่ “ช้างในห้อง” ตัวนี้อยู่กับเรามานานแล้ว เราอาจตาบอดมองไม่เห็น เราอาจแกล้งมองไม่เห็น แต่ตอนนี้ “ช้างในห้อง” ถูกเปิดออกมาหมดแล้ว ลองทำความเข้าใจกับสิ่งที่พวกเขาเรียกร้องดู แล้วมาหาทางออกร่วมกัน การปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ คือ ความจำเป็นของยุคสมัย เราหลีกหนีไม่ได้อีกแล้ว ร่วมกันปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ เพื่อรักษาสถาบันกษัตริย์ เพื่อให้ประเทศไทยยังคงเป็นราชอาณาจักร มิใช่สาธารณรัฐ เพื่อรักษาประชาธิปไตย ให้คนทุกคนได้มีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างเท่าเทียมกัน ”
เมื่อได้อ่านข้อเสนอดังกล่าวของอาจารย์ปิยบุตร ผมเชื่อว่ามีหลายคนในสังคมไทยได้เกิดข้อสงสัยและตั้งคำถามใหญ่อยู่ในใจมากมายว่า ข้อเสนอทั้ง 10 ข้อ ไม่น่าจะใช่ข้อเสนอที่จะนำไปสู่การปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างแท้จริง เพราะข้อเสนอนั้นมีที่มาจากการที่อาจารย์ปิยบุตรตั้งโจทย์ปัญหาของสังคมไทยที่ผิดพลาดโดยนำปัญหาต่างๆที่มีอยู่ในประเทศไทยไม่ว่าจะเป็นปัญหาประชาธิปไตย ปัญหาสิทธิเสรีภาพ ความเสมอภาคของบุคคลไปผูกโยงกับบทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์ว่าเป็นสาเหตุหลัก โดยใช้สำนวนว่า “ ช้างในห้อง” ( Elephant in the room) ซึ่งมีความหมายถึงปรากฏการณ์ที่ผู้คนส่วนใหญ่ในสังคมไม่ยอมพูดคุยหรือกล่าวถึงปัญหาใหญ่ๆหรือความขัดแย้งสำคัญที่มีอยู่จริงในสังคม และทำเป็นมองไม่เห็น ทั้งๆที่มันใหญ่โตมากเหมือนช้างที่อยู่ในห้องแต่ผู้คนก็หลีกเลี่ยงที่จะไม่พูดถึงหรือลงมือจัดการอะไรบ้างอย่างกับปัญหานั้น
ในฐานะนักวิชาการฎหมายมหาชนคนหนึ่ง ที่สนใจประวัติศาสตร์ ทำหน้าที่สอนหนังสือ ทำวิจัย และได้ติดตามความเป็นไปของบ้านเมืองนี้มาโดยตลอดมองว่า “สถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่ใช่ ช้างในห้อง” ที่เป็นปัญหาใหญ่ของสังคมไทยที่ไม่มีใครพูดถึงตามที่อาจารย์ปิยบุตรบอก แต่ความเป็นจริงในช่วงหลายปีที่ผ่านมากลับมีความพยายามที่จะทำให้ผู้คนในสังคมโดยเฉพาะเยาวชนคนรุ่นใหม่มีทัศนคติที่ไม่ดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ด้วยข้อมูลข่าวสารที่เป็นเท็จ บิดเบือน ให้ร้ายต่างๆนานา ซึ่งหลักฐานที่ยืนยันว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ของสังคมไทยปรากฏอยู่ในเอกสาร กรอบความคิดในการปฏิรูปการเมืองไทย โดย คณะกรรมการพัฒนาประชาธิปไตย (คพป.) เมื่อปี พ.ศ. 2538 มี ศ.นพ.ประเวศ วะสี เป็นประธาน ที่เป็นข้อเสนอที่นำไปสู่การปฏิรูปการเมืองไทยและนำไปสู่การยกร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 ซึ่งได้ระบุถึงข้อสรุปสำคัญว่า “สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นจุดแข็งซึ่งเป็นสถาบันหลักของชาติ” ดังนี้
“จุดเด่นที่เป็นลักษณะเด่นของสังคมไทยประกอบด้วย สถาบันหลักของชาติ ได้แก่สถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นสถาบันหลักที่แสดงความต่อเนื่องของระบอบการปกครอง มีความมั่นคงเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนทั้งชาติ มีส่วนสำคัญในการแก้ไขปัญหาวิกฤตการณ์ทางการเมืองและสังคมมาโดยตลอด ปราศจากประโยชน์ทางเศรษฐกิจและการเมือง ทั้งยังเป็นสถาบันที่ผูกพันกับวัฒนธรรมไทย อยู่เหนือการวิพากษ์วิจารณ์และการเปลี่ยนแปลงใดๆทางการเมือง เป็นสัญลักษณ์ของสังคมไทยที่พึงภาคภูมิใจในสังคมนานาชาติ นอกจากนี้ยังมีความเป็นชาติ มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน มีพุทธศาสนากล่อมเกลาให้คนไทยมีอหิงสาในเรื่องเรื่องศาสนาและวัฒนธรรม ทั้งยังเป็นรากฐานในระบอบประชาธิปไตย ในเรื่องลักษณะเด่นของคนไทย คือ มีความอดทน มีความกตัญญู รู้คุณ รักอิสเสรี ยอมรับอำนาจ (แม้จะไม่ค่อยมีวินัย) ปรับตัวได้เร็ว มีน้ำใจ ยอมรับการเปลี่ยนแปลง ให้อภัย และในด้านสังคมไทยพบว่า คนไทยและสังคมไทยมีความสามารถในการกล่อมเกลาบุคคลจากวัฒนธรรมอื่นให้เข้าอยู่ในสังคมไทยได้ โดยปราศจากความรุนแรง และที่สำคัญคือ สังคมไทยเป็นสังคมที่ไม่มีการแบ่งแยกชนชั้น เป็นสังคมที่เปิดโอกาสให้คนที่มีความสามารถเป็นที่ยอมรับแม้ว่าจะไม่มีฐานะดีมาก่อนก็ตาม ”
นอกจากนี้ในมุมมองความเห็นทางวิชาการส่วนตัวต่อข้อเสนอทั้ง 10 ข้อ ของอาจารย์ปิยบุตร เมื่อได้ศึกษาประกอบกับเนื้อหาในรายละเอียดของร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ..) พุทธศักราช .... ที่อาจารย์ปิยบุตรได้ยกร่างไว้ ก็รู้สึกตกใจและกังวลว่าจะยิ่งเป็นการให้ข้อมูลที่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์มากขึ้นและเป็นข้อเสนอที่ทำการล้มล้างหลักการพื้นฐานที่มีอยู่ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยในหมวดพระมหากษัตริย์ซึ่งเกี่ยวข้องกับพระราชอำนาจและการคุ้มครองสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่มีการบัญญัติรับรองไว้อย่างดีแล้วสอดคล้องกับหลักการสากลของประเทศที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตยโดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญและสภาพสังคมวิทยาของไทย ซึ่งข้อเสนอที่ปรากฏ มิใช่ข้อเสนอที่นำไปสู่การปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่ได้เป็นความจำเป็นของยุคสมัย ไม่ใช่การรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่ได้เป็นการรักษาไว้ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแต่อย่างใด และมิใช่การทำให้คนทุกคนได้มีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างเท่าเทียมกัน แต่ข้อเสนอของอาจารย์ปิยบุตรจะนำไปสู่การสร้างความแตกแยกทางความคิดในสังคมไทยอีกครั้งหนึ่งและจะไปกระทบกับความมั่นคงของราชอาณาจักรไทย ซึ่งเหตุผลทางวิชาการโต้แย้งไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอทั้ง 10 ข้อของอาจารย์ปิยะบุตรแต่ละข้อ มีดังนี้
1.กำหนดพระราชสถานะประมุขของรัฐ ศูนย์รวมจิตใจ และความเป็นกลางทางการเมือง ในประเด็นนี้ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมีการบัญญัติไว้เป็นลายลักษณ์อักษรในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ด้วยเหตุที่เป็นข้อเท็จจริงซึ่งรับรู้ในสังคมไทยตามประวัติศาสตร์ชาติและจารีตประเพณีในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของประเทศไทย ซึ่งในเรื่องความเป็นกลางทางการเมืองนั้น ก็มิใช่แค่พระมหากษัตริย์ที่จะต้องวางตัวเป็นกลางทางการเมืองในการไม่เข้ากับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด แต่รวมถึงพระบรมวงศานุวงศ์อีกด้วย ซึ่งทั้งหมดเป็นหลักการพื้นฐานที่ใช้บังคับอยู่ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยปัจจุบันอยู่แล้วในลักษณะจารีตประเพณีในทางรัฐธรรมนูญ ที่ไม่จำเป็นต้องเขียนไว้เป็นตัวอักษรแต่ประการใด
การนำประเด็นนี้ขึ้นมานำเสนอเป็นเรื่องแรก ดูจะเป็นความพยายามกลบเกลื่อนเจตนาที่แฝงเร้นของอาจารย์ปิยบุตรและเป็นการโฆษณาชวนเชื่อว่า ข้อเสนอต่างๆที่มีตามมาเกี่ยวข้องกับบทบัญญัติของพระมหากษัตริย์ จะเป็นการทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นศูนย์รวมจิตใจของปวงชนชาวไทยและทำให้เป็นกลางทางการเมืองอย่างแท้จริง แต่ความเป็นจริงข้อเสนอต่างๆของอาจารย์ปิยบุตร จะเป็นการทำให้ศูนย์รวมจิตใจของชาวไทยหายไป โดยสถาบันพระมหากษัตริย์ตามข้อเสนอนี้จะกลายเป็นเพียงสัญลักษณ์ของประเทศมากกว่า โดยพระราชอำนาจต่างๆที่เคยมีมาและรัฐธรรมนูญรับรองไว้จะถูกจำกัดลงอย่างมาก และเป็นการนำการเมืองที่เป็นเรื่องการต่อสู้แย่งชิงอำนาจของฝ่ายต่างๆเข้ามาเกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์มากขึ้น อันอาจจะนำไปสู่ความขัดแย้งในอนาคตระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์และรัฐสภาที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ซึ่งตามข้อเสนอนั้น ได้ระบุว่าเป็นสภาผู้แทนราษฎร ก็แสดงว่าอาจารย์ปิยบุตรประสงค์ให้ประเทศไทยมีแค่สภาเดียว โดยไม่มีวุฒิสภาร่วมด้วยก็ยิ่งทำให้ไม่มีสภาที่จะเป็นตัวแทนผู้ทรงคุณวุฒิมาเหนี่ยวรั่งถ่วงดุลย์เสียงข้างมากได้เลย
2.กำหนดพระราชอำนาจ ขอบเขตของเอกสิทธิ์และความคุ้มกันพระมหากษัตริย์ให้ชัดเจน ในประเด็นนี้เมื่อพิจารณาประกอบกับรายละเอียดในร่างบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมที่อาจารย์ปิยบุตรจัดทำ ก็จะพบว่าไม่ได้เป็นการกำหนดพระราชอำนาจ ขอบเขตของเอกสิทธิ์และความคุ้มกันพระมหากษัตริย์ให้ชัดเจน แต่อย่างใด หากจะเป็นการลิดรอนพระราชอำนาจที่มีอยู่เดิม โดยกำหนดให้พระองค์ทรงมีอำนาจเท่าที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยกำหนดไว้ซึ่งย่อมเป็นไปไม่ได้ที่รัฐธรรมนูญจะเขียนได้ครอบคลุมทั้งหมด อีกทั้งต้องได้รับคำแนะนำและความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎร คณะรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีก่อนอีกด้วย และ ในส่วนเรื่องข้อเสนอเกี่ยวกับความคุ้มกันพระมหากษัตริย์ในฐานะประมุขของประเทศของอาจารย์ปิยบุตรนั้น กลับเป็นการยกเลิกหลักการคุ้มครองสถาบันพระมหากษัตริย์ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยที่ได้วางหลักและกำหนดไว้อย่างชัดเจนแล้วนับตั้งแต่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม ฉบับวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ.2475 ซึ่งมีการคุ้มครองทั้งในส่วนที่เป็นสถาบันและในส่วนพระองค์ ส่งผลให้พระมหากษัตริย์อาจถูกฟ้องร้องดำเนินคดีทางกฎหมายได้ ซึ่งย่อมจะกระทบกับพระราชสถานะและความคุ้มครองที่รับรองไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยมาตรา 6 ว่า“องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใดๆมิได้”
3.เปลี่ยนกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ ให้เป็นกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ ในประเด็นนี้นับว่ามีปัญหาอย่างมากเนื่องจาก กฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์เป็นกฎหมายเก่าแก่ของไทยที่กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวข้องกับวิธีการเลือกและแต่งตั้งพระรัชทายาท ลำดับการขึ้นครองราชย์สมบัติ ซึ่งเป็นเรื่องในส่วนสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยได้ยอมรับมาใช้ โดยมีค่าบังคับเท่ากับรัฐธรรมนูญ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับกับการกำหนดรายละเอียดในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับรัฐธรรมนูญหรือการใช้อำนาจอธิปไตยอื่นโดยตรงที่ควรตราขึ้นเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญเช่น การกำหนดรายละเอียดของวิธีการเลือกตั้งและพรรคการเมือง การใช้อำนาจพิจารณาคดีของศาล การดำเนินงานขององค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ การเปลี่ยนให้กฎมณเฑียนบาลมาเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ จะส่งผลร้ายแรงตามมาที่ฝ่ายการเมืองจะสามารถเข้ามาแทรกแซงในการกำหนดเงื่อนไขหลักเกณฑ์และลำดับการขึ้นครองราชย์ได้อย่างง่ายดายโดยเสียงข้างมากในรัฐสภา อันส่งผลกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์
4.ยกเลิกองคมนตรี ข้อเสนอเรื่องนี้ นับว่าเป็นการเสนอที่ไม่เข้าใจบทบาทหน้าที่ขององคมนตรีที่มีอยู่ ซึ่งได้รับการสถานาขึ้นตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2492 อันเป็นการสานต่อจากการแต่งตั้ง ที่ปฤกษาในพระองค์ที่เคยมีมาในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยองคมนตรีเป็นการแต่งตั้งบุคคลที่มีความรู้ความสามารถและไว้วางพระราชหทัย มาเป็นผู้ให้คำปรึกษา ช่วยเหลือองค์พระมหากษัตริย์ในการปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้แทนพระองค์ในพิธีการและงานพระราชพิธีต่างๆ ซึ่งบุคคลที่จะได้รับการโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง นั้นก็จะต้องมีความเป็นกลางทางการเมืองด้วย หากมีการยกเลิกองคมนตรีไป ก็จะส่งผลกระทบกระเทือนต่อการปฏิบัติพระราชภารกิจขององค์พระมหากษัตริย์อย่างมาก ที่จะไม่มีบุคคลเข้ามาให้คำปรึกษาพระมหากษัตริย์หรือช่วยเหลือแบ่งเบาพระราชภารกิจต่างๆโดยเฉพาะงานพิธีการและพระราชพิธีต่างๆ
ทั้งนี้ข้อเสนอให้มีการยกเลิกองคมนตรีนี้ อาจเข้าใจได้ว่า อาจารย์ปิยบุตร มองว่าองค์มนตรีเป็นสิ่งแปลกปลอมในรัฐธรรมนูญ เพราะพระมหากษัตริย์ทรงมีคณะรัฐมนตรีเป็นผู้ให้คำปรึกษาและปฏิบัติหน้าที่ในฝ่ายบริหารแล้ว ซึ่งในความเป็นจริง คณะรัฐมนตรี ถือว่าเป็นบุคคลที่มีฝักฝ่ายทางการเมืองสังกัดพรรคการเมืองที่เป็นรัฐบาล การให้คำปรึกษาต่างๆแก่พระมหากษัตริย์ ก็อาจจะไม่ได้ให้คำปรึกษาทึ่ถูกต้องตรงตามความเป็นจริง หรือการที่จะมีการมอบหมายให้รัฐมนตรีเป็นผู้แทนพระองค์ในงานพิธีหรือพระราชพิธีต่างๆ ก็ย่อมเป็นความไม่เหมาะสมในการทำหน้าที่เป็นผู้แทนองค์พระมหากษัตริย์ ที่จะต้องมีความเป็นกลางทางการเมือง
5.เปลี่ยนแปลงกระบวนการเข้าสู่ตำแหน่งพระมหากษัตริย์ การเสนอพระนามองค์รัชทายาทหรือองค์ผู้สืบราชสันตติวงศ์ให้สภาผู้แทนราษฎรให้ความเห็นชอบ สำหรับข้อเสนอในข้อนี้เจตนารมณ์ที่แท้จริงของอาจารย์ปิยบุตร ดูจะเป็นการให้ความสำคัญกับสภาผู้แทนราษฎรอย่างมาก ซึ่งในความเป็นจริง ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 รัฐสภาก็มีบทบาทหน้าที่นี้อยู่แล้วโดยแยกเป็นสองกรณี คือ กรณีที่มีการแต่งตั้งพระรัชทายาทไว้แล้ว รัฐสภาก็จะเป็นเพียงผู้รับทราบเท่านั้นไม่มีอำนาจให้ความเห็นชอบ แต่ถ้าไม่ได้แต่งตั้งไว้ รัฐสภาก็จะต้องเป็นผู้ให้ความเห็นชอบ ขณะที่ในร่างรัฐธรรมนูญของอาจารย์ปิยบุตร ได้กำหนดให้สภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้ให้ความเห็นชอบในการขึ้นครองราชย์ของพระมหากษัตริย์ทั้งสองกรณี แม้จะมีการแต่งตั้งพระรัชทายาทไว้แล้วก็ตาม การกำหนดเช่นนี้ย่อมขัดแย้งต่อหลักการขึ้นครองราชย์ที่บัญญัติรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญไทยที่ชอบแล้วและขัดแย้งต่อพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ในการแต่งตั้งพระรัชทายาทที่จะขึ้นครองราชย์ต่อไป
6.กำหนดให้พระมหากษัตริย์และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ต้องปฏิญาณตนก่อนเข้ารับหน้าที่ ข้อเสนอนี้เป็นข้อเสนอที่เกิดจากความไม่เข้าใจในโบราณจารีตประเพณีของไทยในการขึ้นครองราชสมบัติของพระมหากษัตริย์ ซึ่งนับตั้งแต่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. 2475 ที่เป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกของไทยก็ไม่มีการกำหนดเรื่องการปฏิญาณตนก่อนเข้ารับหน้าที่ของพระมหากษัตริย์เอาไว้ และรัฐธรรมนูญฉบับต่อๆมาก็ไม่ได้บัญญัติไว้เช่นกัน เพราะการเข้ารับหน้าที่ของพระมหากษัตริย์องค์ใหม่ จะเป็นการต่อเนื่องกับพระมหากษัตริย์องค์เก่าที่สวรรคตไปในกรณีที่มีการแต่งตั้งรัชทายาทไว้แล้ว และการเป็นพระมหากษัตริย์นั้นก็มีที่มาต่างจากตำแหน่งประธานาธิบดี ซึ่งมาจากการเลือกตั้งทางการเมืองโดยการออกเสียงของประชาชนโดยตรง การกำหนดให้พระมหากษัตริย์ต้องปฏิญาณตนก่อนเข้ารับหน้าที่ในสภาผู้แทนราษฎรนั้น คือการกระทำที่ไม่เหมาะสมสอดคล้องกับโบราณจารีตประเพณีและธรรมเนียมประเพณีในทางรัฐธรรมนูญของไทย อีกทั้งในการประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของพระมหากษัตริย์ไทยตามธรรมเนียม พระมหากษัตริย์ก็จะมีการประกาศพระปฐมบรมราชโองการ ที่เป็นเสมือนการตั้งสัตยาธิษฐานที่เป็นการปฏิญาณตนในการปฏิบัติพระราชภารกิจในฐานะพระมหากษัตริย์ซึ่งมีความศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่าการปฏิญาณต่อหน้าบุคคลอื่นใด ส่วนในกรณีการปฏิญาณตนก่อนเข้ารับหน้าที่ของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในที่ประชุมรัฐสภานั้นก็เป็นสิ่งที่มีการกำหนดไว้อยู่แล้วในรัฐธรรมนูญของไทย
7.กำหนดกรณีที่พระมหากษัตริย์ต้องแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และเปลี่ยนแปลงกระบวนการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เสียใหม่ ให้สภาผู้แทนราษฎรเข้ามามีอำนาจพิจารณาให้ความเห็นชอบ ข้อเสนอนี้นับว่าเป็นความไม่เข้าใจในลักษณะสำคัญของบุคคลที่จะเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ซึ่งถือว่าเป็นผู้ทำหน้าที่แทนประมุขของประเทศชั่วคราว นั้น จะต้องเป็นบุคคลที่พระมหากษัตริย์เป็นผู้ไว้วางพระราชหฤทัยและมีความเหมาะสมในการทำหน้าที่ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ จึงสมควรเป็นพระราชวินิจฉัยในการตัดสินใจด้วยพระองค์เอง การให้อำนาจแก่สภาผู้แทนราษฎรในการให้ความเห็นชอบ ยอมทำให้ประเด็นการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์อาจกลายเป็นประเด็นต่อรองทางการเมืองไป ซึ่งถ้าสภาผู้แทนราษฎรเกิดไม่ให้ความเห็นชอบขึ้นมาก็จะกลายเป็นประเด็นความขัดแย้งระหว่างพระมหากษัตริย์และสภาผู้แทนราษฎรต่อไปได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ควรปล่อยให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น
8.กำหนดระบบเงินรายปีแก่พระมหากษัตริย์ โดยให้สภาผู้แทนราษฎรมีอำนาจในการกำหนดวงเงินและอนุมัติ ข้อเสนอนี้เป็นการเสนอโดยไม่เข้าใจถึงเรื่องระบบงบประมาณของสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย ซึ่งในความเป็นจริง พระมหากษัตริย์ไทยมิได้มีการรับเงินรายปีจากเงินงบประมาณแผ่นดินเพื่อการใช้จ่ายส่วนพระองค์อย่างเช่นพระมหากษัตริย์ในต่างประเทศ รัฐบาลไทย หรืออีกนัยหนึ่งเงินภาษีจากประชาชนนั้นไม่ได้เป็นผู้จ่ายเงินเดือนให้แก่องค์พระมหากษัตริย์ในการปฏิบัติหน้าที่พระมหากษัตริย์ตามที่มีการเข้าใจผิดด้วยข้อมูลตัวเลขเกี่ยวกับงบประมาณของสถาบันพระมหากษัตริย์ที่มีผู้บิดเบือนข้อมูลเหมารวมตัวเลขต่างๆของงบประมาณในส่วนหน่วยราชการที่ทำงานเกี่ยวข้องกับพระองค์อันเป็นงบในการปฏิบัติราชการตามหน้าที่ปกติ จนตัวเลขสูงถึงหลักหมื่นล้านบาท ทั้งๆที่ในความเป็นจริงคงมีแต่การที่รัฐบาลได้ตั้งงบประมาณในส่วนค่าใช้จ่ายที่เป็นการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะประมุขประเทศ และเงินงบประมาณในส่วนที่เป็นการทำงาน มิใช่เงินที่เป็นการใช้จ่ายส่วนพระองค์
9.ยกเลิกการลงพระปรมาภิไธยในพระบรมราชโองการแต่งตั้งข้าราชการฝ่ายทหารและฝ่ายพลเรือน ตําแหน่งปลัดกระทรวง อธิบดี และเทียบเท่า ให้คงไว้เพียงการลงพระปรมาภิไธยแต่งตั้งบุคคลดำรงตำแหน่งในองค์กรผู้ใช้อำนาจอธิปไตยและอำนาจตามรัฐธรรมนูญเท่านั้น อันได้แก่ รัฐมนตรี ตุลาการศาลยุติธรรม ผู้พิพากษา ตุลาการศาลปกครอง และผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ ข้อเสนอนี้นับว่าเป็นการทำลายสายสัมพันธ์ในความเชื่อมโยงผูกพันระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์กับข้าราชการระดับสูงที่มีอยู่ในระบบราชการไทยนับตั้งแต่อดีตที่มีการสร้างระบบราชการมาในยุคสมัยรัชกาลที่ 5 จนถึงปัจจุบัน ที่เป็นจารีตประเพณีธรรมเนียมปฏิบัติของประเทศไทยประการหนึ่ง ส่งผลให้พระมหากษัตริย์ก็จะมิได้เป็นศูนย์รวมจิตใจของข้าราชการเช่นเดียวกับที่เป็นมาในฐานะที่ทรงเป็นผู้ลงพระปรมาภิไธยในพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งหน้าที่ต่างๆตามที่กฎหมายกำหนด อันเป็นส่วนสำคัญของเกียรติยศในตำแหน่งหน้าที่ราชการ เช่น ตำแหน่งหัวหน้าส่วนราชการ ตำแหน่งชั้นยศของทหาร ตำรวจ และตำแหน่งศาตราจารย์ในมหาวิทยาลัย เป็นต้น
10.ยกเลิกพระราชอำนาจในการยับยั้งการลงพระปรมาภิไธยประกาศใช้กฎหมายที่ผ่านความเห็นชอบจากสภา ในข้อเสนอสุดท้ายของอาจารย์ปิยบุตรนี้ ถือว่าเป็นการยกเลิกอำนาจ “วีโต้” (Veto) กฎหมายของประมุขรัฐ ซึ่งตามปกติประเทศโดยส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะมีประธานาธิบดีหรือพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของประเทศ ก็มักจะมีอำนาจดังกล่าวบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญของประเทศ ซึ่งถือว่าเป็นกลไกสำคัญสุดท้ายที่ให้กับประมุขของรัฐใช้ในการถ่วงดุลอำนาจกับฝ่ายนิติบัญญัติในการตรากฎหมายที่อาจจะไม่เหมาะสมขึ้นใช้บังคับ แม้จะไม่ได้มีปัญหาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญก็ตาม การยกเลิกอำนาจวีโต้กฎหมายก็ไม่ต่างจากการทำให้พระมหากษัตริย์เป็นเพียงแค่ตรายางประทับที่ต้องลงพระปรมาภิไธยประกาศใช้กฎหมายทุกฉบับที่ผ่านมาจากรัฐสภา โดยไม่อาจขัดขืนได้ คำถามที่ต้องถามประชาชนชาวไทยทั้งประเทศ คือ เราจะยอมเช่นนี้หรือไม่ ? ทั้งๆที่พระองค์ทรงเป็นพระประมุขของประเทศ
หากกล่าวโดยสรุปข้อเสนอทั้ง 10 ข้อ ของอาจารย์ปิยบุตร ถ้าวิเคราะห์เจาะลึกถึงตัวเนื้อหาของบทบัญญัติจะพบว่าเป็นการเสนอที่มีลักษณะคลายคลึงกับบทบัญญัติในส่วนพระจักรพรรดิในรัฐธรรมนูญประเทศญี่ปุ่นอย่างมากในหลายเรื่อง ซึ่งบทบัญญัติดังกล่าวของรัฐธรรมนูญญี่ปุ่นเบื้องหลังเป็นการเข้ามาจัดการในการลดบทบาทและพระราชอำนาจของพระจักรพรรดิญี่ปุ่น ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่สหรัฐอเมริกาเข้ามาควบคุมประเทศและจัดให้มีการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ เพื่อสร้างประชาธิปไตยให้เกิดขึ้น โดยต้องการให้พระจักรพรรดิของญี่ปุ่น ทำหน้าที่เป็นประมุขของประเทศเพียงอย่างเดียวและเป็นสัญลักษณ์ของประเทศเท่านั้น ซึ่งเมื่อเข้าใจความเป็นมาของรัฐธรรมนูญญี่ปุ่นแล้ว เชื่อว่าคนไทยจำนวนมากและน่าจะมีมากกว่าจำนวนคนที่อาจารย์ปิยบุตร มองว่าได้มองสถาบันพระมหากษัตริย์ต่างไปจากคนรุ่นก่อน คงไม่ยอมให้เกิดขึ้นแน่นอนในราชอาณาจักรไทย
ทั้งนี้ถ้าพิจารณาถึงความสำคัญของรัฐธรรมนูญในฐานะที่เป็นกฎหมายสูงสุดใช้ในการปกครองประเทศ การกำหนดเนื้อหาต่างๆไว้ในรัฐธรรมนูญก็ย่อมจะต้องมีการบัญญัติให้สอดคล้องกับสภาพสังคม และข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ความเป็นมาของประเทศนั้นๆ มิใช่การลอกเลียนกฎหมายต่างประเทศมาใช้บัญญัติโดยตรงในประเทศอื่นที่ไม่ได้มีลักษณะทางสังคม ประวัติศาสตร์ จารีตประเพณีที่เหมือนกัน โดยเมื่อกล่าวถึงหลักการนี้แล้ว อาจารย์ปิยบุตร น่าจะจำได้ถึงเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์สำคัญในวงการกฎหมายของเยอรมัน ในตอนที่ประมวลกฎหมายแพ่งของฝรั่งเศส หรือที่รู้จักกันในประมวลกฎหมายนโบเลียนได้ประกาศใช้เมื่อปี ค.ศ. 1804 ซึ่งได้รับเสียงชื่นชมและยกย่องไปทั่วว่าเป็นประมวลกฎหมายที่ดี โดยได้มีเสียงเรียกร้องให้นำเข้ามาใช้ในประเทศเยอรมัน แต่ก็ถูกคัดค้านอย่างเต็มทีโดย นักกฎหมายชื่อดังของเยอรมัน คือ Friedrich Carl von Savigny ซึ่งได้เขียนไว้โดยอาจสรุปในความสำคัญได้ว่า “กฎหมายที่ตราขึ้นจะต้องสอดคล้องกับจิตวิญญาณประชาชาติของประเทศนั้นๆ ( Volksgeist)” “กฎหมายไม่ใช้สิ่งที่มนุษย์จะสร้างขึ้นตามใจชอบ การจะนำกฎหมายที่เกิดขึ้นในสังคมอื่นมาใช้กับอีกสังคมหนึ่งก็จะเกิดปัญหาขึ้นเพราะไม่สอดคล้องกับสภาพธรรมชาติของสังคมนั้น”
เมื่อนำหลักการนี้ ซึ่งปัจจุบันเรียกว่าเป็นสำนักความคิดทางกฎหมายประวัติศาสตร์ ( Historical school) มาใช้พิจารณากับข้อเสนอทั้ง 10 ข้อ ของอาจารย์ปิยบุตร ก็จะเห็นอย่างชัดเจนว่าเป็นข้อเสนอที่มีปัญหาอย่างมากและขัดแย้งกับหลักการพื้นฐานที่ยอมรับกันในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยที่ได้รับรองไว้ซึ่งพระราชสถานะ พระราชอำนาจ และการคุ้มครองพระมหากษัตริย์ไว้อย่างถูกต้องและเหมาะสมสอดคล้องกับจิตวิญญาณประชาชาติไทยแล้ว แต่ถ้ามีการแก้ไขตามข้อเสนอของอาจารย์ปิยบุตร กลับจะเป็นการทำให้พระมหากษัตริย์ไทยเป็นเพียงสัญลักษณ์ในฐานะพระประมุขของประเทศเท่านั้น ไม่ได้เป็นการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์แต่อย่างใด อีกทั้งจะเป็นการขัดแย้งต่อจารีตประเพณีในทางรัฐธรรมนูญของไทยและบทบัญญัติที่เป็นหลักการพื้นฐานในเรื่องพระมหากษัตริย์ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งอย่างน้อยก็ได้รับการยืนยันเห็นชอบจากการลงประชามติของประชาชนเสียงส่วนใหญ่ของประเทศมาถึงสองครั้งในการให้ความเห็นชอบกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 อีกทั้งถ้าสืบสาวราวเรื่องขึ้นไปในทางประวัติศาสตร์ บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยที่เกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์ที่เป็นอยู่ปัจจุบัน ก็มีหลักการสำคัญที่สืบเนื่องมาจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. 2475 ที่ประกาศใช้เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ.2475 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญถาวรฉบับแรกของประเทศไทยอีกด้วย

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา