"...ผมไม่ได้คาดหวังว่าเราจะเป็นเหมือนกับสิงคโปร์ในระยะเวลาอันใกล้ แต่หากเราเริ่มให้ความสนใจกับการลงทุนในทรัพยากรมนุษย์ เสริมสร้างบรรยากาศให้เด็กไทยได้เรียนรู้ รักการอ่าน ช่างสังเกต ช่างถามและคิดเป็น ถือว่าไม่สายเกินไปที่จะทำให้ประเทศไม่ติดกับดักและก้าวไปข้างหน้าสู่ประเทศที่พัฒนาต่อไป..."
สวัสดีครับ
การเขียน weekly mail ฉบับแรกของปีถือเป็นเรื่องที่ท้าทายเสมอเพราะใจผมยังอยู่กับซานตาคลอส และแสง สี เสียง จากการฉลองวันขึ้นปีใหม่ และปีนี้ยิ่งพิเศษขึ้นไปอีกเพราะเป็นปีที่ไม่ต้องสัมผัสกับบรรยากาศในวันแรกของการทำงาน เลยทำให้ต้องก้าวข้ามและดึงใจตัวเองกลับมาเขียนให้ได้ พร้อมคิดขึ้นมาได้ว่า ในปีมะเส็ง 2568 ตนเองอยากได้อะไร คิดว่าคงหนีไม่พ้นการขอให้มีสุขภาพที่ดี ยังสามารถทำกิจกรรมที่ตนเองรักได้ตามปกติ แต่ทราบดีว่า คงไม่สามารถเนรมิตขึ้นมาได้ หากผมไม่หมั่นออกกำลังกาย ทานอาหารครบ 5 หมู่อย่างระมัดระวัง พร้อม ๆ กับการได้นอนหลับอย่างมีคุณภาพ
อย่างไรก็ดี หากมีคนหยอดคำถามว่า “อยากเห็นอะไรที่เปลี่ยนแปลงประเทศไทย” ผมจะไม่ลังเลที่จะตอบว่า “อยากเห็นการลงทุนในทรัพยากรมนุษย์ให้มากกว่านี้” ทั้งนี้ จากดัชนีทุนมนุษย์ (Human Capital Index: HCI) ที่จัดทำโดยธนาคารโลก วัดจากระยะเวลา คุณภาพการเรียนรู้ในระบบโรงเรียน ไปจนถึงสุขภาพของเด็ก พบว่า HCI ของประเทศไทยในปี ค.ศ. 2020 มีคะแนน 0.61 คะแนน อยู่ในอันดับที่ 63 จาก 173 ประเทศ และอยู่ในลำดับที่ 4 ในกลุ่มประเทศอาเซียน รองจากสิงคโปร์ เวียดนาม และบรูไน สะท้อนว่า เด็กไทยมีผลิตภาพการทำงานจนถึง 60 ปีเพียงร้อยละ 61 ของศักยภาพ แต่ตัวเลขที่น่ากังวลใจกว่าคือ เด็กไทยเข้าเรียนในระบบโรงเรียนเป็นเวลารวม 12.4 ปี แต่เมื่อพิจารณาถึงคุณภาพการเรียนรู้จะมีความสามารถเทียบกับการเรียนเพียง 8.6 ปี แสดงว่าเด็กไทยใช้เวลา 3.8 ปี ในระบบโรงเรียนแบบเสียเปล่า ไม่ได้มีทักษะเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด
ดัชนีทุนมนุษย์ปี ค.ศ. 2018 (Human Capital Index: HCI)
ประเทศที่มีค่าดัชนี HCI เป็นอันดับ 1 คือประเทศสิงคโปร์ ได้คะแนนสูงถึง 0.88 คะแนน ซึ่งการให้ความสำคัญต่อการลงทุนในทรัพยากรมนุษย์เกิดขึ้นนับตั้งแต่สิงคโปร์แยกเป็นประเทศอิสระจากมาเลเซียในปี ค.ศ. 1965 ซึ่งก่อนหน้านั้น ชาวสิงคโปร์อยากจะรวมชาติกับมาเลเซียหลังได้รับเอกราชจากสหราชอาณาจักร เพราะสิงคโปร์เป็นเพียงเกาะเล็ก ๆ ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติใด ๆ แม้แต่น้ำประปายังต้องอาศัยจากประเทศเพื่อนบ้าน แต่เมื่อจำใจต้องแยกประเทศด้วยปัญหาความแตกต่างทางสัญชาติทำให้ ลี กวนยู นายกรัฐมนตรีด้วยวัยเพียง 42 ปี ต้องเปลี่ยนความคิดของชาวสิงคโปร์ให้มารวมตัวกันสร้างชาติ พร้อมกับให้ความสำคัญกับทรัพยากรที่สิงคโปร์หลงเหลืออยู่เพียงอย่างเดียวนั่นก็คือ ทรัพยากรมนุษย์นั่นเอง และภายในไม่ถึง 1 ช่วงอายุคน สิงคโปร์ได้ยกระดับจากประเทศกำลังพัฒนามาเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วเพียงประเทศเดียวในอาเซียน ซึ่งผมคงไม่ต้องเล่าถึงความเป็นมามากนัก เพราะพวกเราคงได้รับรู้กันมามากแล้ว
คลิกรับฟังนายกรัฐมนตรี ลี กวนยู กล่าวถึงการลงทุนในทรัพยากรมนุษย์
นายกรัฐมนตรี ลี กวนยู ได้ก้าวลงจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในปี ค.ศ. 1990 หลังจากอยู่ในตำแหน่งนานถึง 31 ปี และได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีอาวุโส (senior minister) หลังจากนั้น ท่านยังคงเดินสายไปบรรยายให้กับเยาวชนชาวสิงคโปร์ ให้เห็นความสำคัญของการต้องพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง ในการบรรยายให้กับนักศึกษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีนันยาง ในหัวข้อ Will Singapore Be Another Slow-Growing Developed Nation? เมื่อวันที่ 14 มีนาคม ปี ค.ศ. 1996 ท่านได้กล่าวไว้ว่า “ความท้าทายคือ ทำอย่างไรจึงจะสร้างโอกาสให้กับประเทศของเรา เรามีเงินทุน เรามีเงินออม แต่จะใช้อย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุด เราไม่ได้เป็นคนเลือกพ่อแม่ของเรา พวกเขาต่างหากที่เลือกคู่ครองกันเอง เราจึงมานั่งอยู่ตรงนี้ แต่สิ่งที่เราต้องทำให้เกิดความมั่นใจคือ เราต้องพัฒนาตนเองให้เกิดศักยภาพสูงสุด ในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเช่นนี้ เราต้องเร่งพัฒนาและลงทุนในทรัพยากรมนุษย์ เพื่อเติมเต็มศักยภาพของพลเมืองสิงคโปร์”1/
ผมไม่ได้คาดหวังว่าเราจะเป็นเหมือนกับสิงคโปร์ในระยะเวลาอันใกล้ แต่หากเราเริ่มให้ความสนใจกับการลงทุนในทรัพยากรมนุษย์ เสริมสร้างบรรยากาศให้เด็กไทยได้เรียนรู้ รักการอ่าน ช่างสังเกต ช่างถามและคิดเป็น ถือว่าไม่สายเกินไปที่จะทำให้ประเทศไม่ติดกับดักและก้าวไปข้างหน้าสู่ประเทศที่พัฒนาต่อไป
weekly mail ฉบับแรกอ่านแล้วเนื้อหาอาจจะหนักอึ้งไปหน่อย แต่ถือว่าเป็นการกระตุ้นต่อมความคิดและสิ่งที่น่าเก็บไปขบคิด (food for thought) ครับ
รณดล นุ่มนนท์
6 มกราคม 2568
แหล่งที่มา:
1/ Our problem now is how best to improve our chances, how to invest because we have the capital, we have the savings. You never chose your father and mother, but they chose each other, and you are there. But what we can do is to make sure that what you have is developed to its maximum potential. And in this information age, it takes a lot of training and a lot of capital to raise a person to his full potential.