
"...โลกที่ไร้ซึ่งความเป็นส่วนตัวเป็นภัยต่อมนุษย์ในหลายด้าน เพราะความเป็นส่วนตัวหมายถึงความสามารถในการเก็บสิ่งที่ควรจะเป็นของตัวเองเอาไว้กับตัว เช่น ความคิด ประสบการณ์ ความกลัว และสิ่งที่วางแผนไว้ในใจ ความเป็นส่วนตัวจึงเป็นเสมือนการแบ่งเบาภาระที่เราจะต้องไปมีความเกี่ยวข้องกับผู้อื่น ทำให้เราสามารถที่จะแสวงหาความคิดใหม่ๆของตัวเองได้อย่างเสรี การที่ความเป็นส่วนตัวของมนุษย์ถูกใช้เป็นวัตถุดิบเพื่อผลกำไรโดยที่เราไม่รู้และไม่อนุญาตด้วยเทคโนโลยีชั้นสูงจึงเป็นเหมือนการถูกขโมยอำนาจซึ่งควรจะเป็นของเราไปไว้ในมือของบริษัทเทคโนโลยีเพียงไม่กี่ราย..."
นายกฯ อิ๊งค์ น.ส. แพทองธาร ชินวัตร ถึงกับต้องออกมาแถลงข่าวเมื่อถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ลูบคมใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ลอกเลียนเสียง นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โดยการส่งคลิปเสียงมาทักทายพร้อมขอให้นายกรัฐมนตรีไทยบริจาคเงินเข้ากองทุนแห่งหนึ่งโดยอ้างว่าในอาเซียนมีเพียงประเทศไทยที่ยังไม่ได้บริจาค
ไม่เพียงนายกรัฐมนตรีเท่านั้นที่เกือบเสียท่าให้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ก็ยังยอมรับว่า ตนเองเคยถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์โทรศัพท์เข้ามาหลอก ลักษณะเงินในบัตรเครดิตเต็มวงเงิน ให้เติมวงเงิน ซึ่งนายอนุทินได้พูดคุยด้วยประมาณ 1 ชั่วโมง
ความย่ามใจของแก๊งคอลเซ็นเตอร์จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นว่าทั้ง นายกฯ แพทองธารและรองนายกฯอนุทินรวมทั้งคนไทยอีกหลายสิบล้านคนมีโอกาสตกเป็นเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้ตลอดเวลาโดยไม่มีข้อยกเว้น ภายใต้สิ่งแวดล้อมที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยี สมาร์ทโฟน ไวไฟ อินเทอร์เน็ต โซเชียลมีเดีย IoT แผนที่นำทาง สมาร์ท ทีวีและแอปพลิเคชัน อีกนับไม่ถ้วน ซึ่งส่วนใหญ่ทำงานภายใต้การควบคุมของปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ที่คนไทยต้องสัมผัสและใช้งานอยู่เกือบตลอดเวลา
ชีวิตคนไทยยุคดิจิทัลจึงอยู่ยากและน่ากลัวขึ้นทุกวัน เพราะนอกจากจะต้องตรวจสอบค่าฝุ่น PM 2.5 ทุกครั้งก่อนที่จะก้าวขาออกจากบ้านแล้ว คราวใดที่ได้ยินเสียงโทรศัพท์ยังจะต้องหวาดผวาว่าจะต้องเจอกับเล่ห์เหลี่ยมแบบไหนของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่สามารถโทรศัพท์หาใครต่อใครก็ได้ แม้แต่นายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรีก็ยังไม่เว้นที่จะถูกเหล่ามิจฉาชีพเหล่านี้เข้าถึงตัวได้ ซึ่งแปลว่าความเป็นส่วนตัวของคนมีชื่อเสียงหรือแม้แต่คนอย่างเราๆถูกแกะรอยและสอดส่อง จาก ผู้คุกคามความเป็นส่วนตัว(Privacy invader)อยู่ตลอดเวลาอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนด้วยวิธีการที่ง่ายและด้วยต้นทุนที่ต่ำและความเป็นส่วนตัวเหล่านั้นกลับถูกนำมาใช้เพื่อหาผลประโยชน์จากตัวเราเมื่อพวกเขาต้องการ ผู้กุมความลับของมนุษย์ในโลกดิจิทัลจึงไม่ใช่ตัวเราอีกต่อไป แต่เป็นผู้คนที่เราไม่เคยรู้จักและไม่เคยเห็นหน้า ซึ่งอาจเป็นใครก็ตามที่พยายามนำตัวตนของเราไปสร้างผลประโยชน์ทางมิชอบให้กับตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ ด้านคอมพิวเตอร์ บริษัทค้าปลีกและโซเชียลมีเดียที่ควบคุมชีวิตของคนทั้งโลกไว้ในมือ
เมื่อความเชื่อมั่นของการสื่อสารถูกทำลาย
การที่โทรศัพท์และช่องทางการสื่อสารต่างๆที่ถูกสร้างและพัฒนาขึ้นเพื่อให้มนุษย์มีการติดต่อสื่อสารระหว่างกันสะดวกและทั่วถึงแต่ปัจจุบันกลับไม่เหมือนเดิม เพราะเมื่อใดก็ตามที่มีเบอร์โทรศัพท์แปลกๆโทรมาหาหรือมีข้อความต่างๆปรากฎบนหน้าจอ ผู้คนมักตั้งข้อสงสัยไว้ก่อนเสมอว่าอาจเป็นมิจฉาชีพ ทั้งที่เหตุการณ์เหล่านี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในวงการสื่อสารของเมืองไทย ซึ่งนอกจากจะทำให้โอกาสในการติดต่อธุรกิจ ภารกิจเร่งด่วนฉุกเฉิน การติดต่อระหว่างเพื่อนเก่า เพื่อนใหม่ ฯลฯ รวมทั้งมารยาทในการใช้โทรศัพท์ถูกทำลายลงแล้ว อัตราความสำเร็จในการติดต่อโทรศัพท์(Successful call) ซึ่งเป็นหน่วยหนึ่งที่ใช้วัดถึงคุณภาพการติดต่อระหว่างโทรศัพท์ของคนไทยก็ลดลงด้วย เพราะผู้รับโทรศัพท์ไม่กล้าที่จะรับโทรศัพท์หรือตอบรับข้อความต่างๆ ทั้งจากเลขหมายในประเทศและเลขหมายจากต่างประเทศ ปัจจัยเหล่านี้จึงเป็นการทำลายความเชื่อมั่นของระบบการสื่อสารของคนไทยไปโดยปริยาย รวมทั้งยังลามไปทำลายความน่าเชื่อถือของเทคโนโลยีด้านธุรกรรมทางการเงินลงด้วย แม้แต่การรับเงิน 10,000 บาทจากโครงการของรัฐ ผู้สูงอายุบางรายถึงขั้นอดตาหลับขับตานอนเพื่อรอเบิกเงินสดที่ตู้เอทีเอ็มในทันทีที่ได้รับโอน เพราะกลัวว่าหากเก็บเงินหมื่นไว้ในบัญชีจะถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์มาดูดเอาเงินในบัญชีไป ทั้งที่ธุรกรรมการเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ในบ้านเราถูกใช้งานมานานจนได้รับความเชื่อถือและไว้วางใจจากผู้คน แต่กลับถูกเหล่ามิจฉาชีพทำลายลงอย่างราบคาบในช่วงเวลาเพียงไม่กี่ปี
บทเรียนจากเกาหลีใต้
เกาหลีใต้เป็นประเทศที่ถูกจัดอันดับให้เป็นประเทศชั้นนำที่ประสบความสำเร็จในการใช้ ความเป็นดิจิทัล(Digitalization) ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ จนทำให้เกาหลีใต้กลายเป็นหนึ่งในประเทศที่ผู้คนเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัลมากประเทศหนึ่งของโลก ความเป็นดิจิทัลและการใช้เทคโนโลยีในสังคมเกาหลีใต้มาพร้อมกับปัญหาที่คาดไม่ถึงเพราะเมื่ออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และความเป็นดิจิทัลเข้าถึงคนส่วนใหญ่การละเมิดเส้นแบ่งของความเป็นส่วนตัวเสมอมักเกิดขึ้นเสมอและจะมีคนกลุ่มหนึ่งฉวยโอกาสที่นำเครื่องมือเหล่านี้ไปหาประโยชน์ในทางมิชอบ
การคุกคามความเป็นส่วนตัวครั้งใหญ่ที่สุดคงไม่มีครั้งไหนเป็นข่าวใหญ่เท่ากับเหตุการณ์ประท้วงใหญ่ 6 ครั้งในเกาหลีใต้ระหว่างเดือน พฤษภาคม ถึง เดือน ธันวาคม ปี 2018 เมื่อหญิงชาวเกาหลีนับพันคนรวมตัวกันต่อต้าน ปรากฏการณ์การคุกคามความเป็นส่วนตัวของผู้หญิง ซึ่งเกิดขึ้นอย่างกว้างขวางในเกาหลีใต้ จากการที่ผู้หญิงเกาหลีถูกแอบถ่ายภาพส่วนตัวตามสถานที่ต่างๆ เช่น ตามห้องน้ำสาธารณะ ห้องพักโรงแรม โรงพยาบาล ตามถนนหนทาง หรือแม้แต่ในบ้านตัวเอง โดยไม่รู้ตัว ด้วยกล้องที่ซ่อนไว้ตามจุดต่างๆในสถานที่ข้างต้นและภาพเหล่านี้ได้ถูกนำไปเผยแพร่บนโลกออนไลน์บนพื้นที่เฉพาะของผู้ชายที่เรียกกันว่า มาโนสเฟียร์(Manosphere)
การระบาดของการแอบถ่ายที่เกิดขึ้นกับหญิงชาวเกาหลีในช่วงเวลานั้นเรียกกันในภาษาเกาหลีว่า มลค่า (Molka) ซึ่งแปลว่า กล้องแอบถ่าย(Hidden camera) และมีนัยสำคัญที่อธิบายถึง ปรากฏการณ์ถ้ำมองที่หญิงชาวเกาหลีถูกแอบถ่ายด้วยกล้องที่ซ่อนไว้ตามสถานที่ต่างๆที่ระบาดอย่างกว้างขวางจนทำให้ผู้หญิงชาวเกาหลีรู้สึกว่าตัวเองไม่ปลอดภัยจากพวกถ้ำมองและหลีกเลี่ยงที่จะใช้ห้องน้ำสาธารณะหรือหากจำเป็นจริงๆก็มักจะต้องพก ชุดผจญถ้ำมอง ที่มีขายตามท้องตลาดซึ่งประกอบด้วย ไขควง เพื่อไขถอดกล้องที่ซ่อนอยู่ออกมา หน้ากาก เพื่อสวมปิดบังใบหน้าตัวเองเมื่ออยู่ในพื้นที่ส่วนตัวและซิลิโคนเพื่ออุดรูที่อาจเป็นที่ซ่อนกล้องเมื่อเข้าไปใช้ห้องน้ำสาธารณะ ซึ่งสร้างความลำบากในการใช้ชีวิตของผู้หญิงเกาหลีเป็นอย่างยิ่งจนถึงขั้นทนไม่ไหวออกมาประท้วงใหญ่เมื่อหลายปีที่ผ่านมาและถือเป็นการเคลื่อนไหวต่อต้านการละเมิดความเป็นส่วนตัวและการคุกคามทางเพศของผู้หญิงเกาหลีใต้ครั้งใหญ่

สอดแนม - ถ้ำมอง ปัญหาของคนทั้งโลก
ไม่เฉพาะหญิงชาวเกาหลีใต้เท่านั้นที่ต้องเผชิญกับพฤติกรรมถ้ำมองด้วยการใช้เทคโนโลยีจนไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ด้วยความปกติสุข หลายประเทศในโลกต่างประสบปัญหาที่คล้ายคลึงกันเพียงแต่ไม่ได้เป็นข่าวใหญ่เท่ากับเหตุการณ์ในเกาหลีใต้ เพราะทั้ง สิงคโปร์ อิสราเอล ออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร ล้วนพบกับปัญหาถ้ำมองผ่านเครื่องมือทางเทคโนโลยีแทบไม่ต่างกันทั้งในพื้นที่จริง(Physical space)และโลกไซเบอร์(Cyber space)
จากผลการสำรวจประชาชน 6,109 คน จากประเทศออสเตรเลีย นิวซีแลนด์และสหราชอาณาจักรพบว่า หนึ่งในสามของผู้ตอบแบบสอบถามเชื่อว่าภาพเปลือยและภาพที่แสดงออกทางเพศของพวกเขาถูกแอบถ่ายโดยที่พวกเขาไม่รู้ตัวหรือไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งหมายความว่าคนเหล่านั้นไม่รู้เลยว่าพวกเขากำลังถูกจับตามองจากใครต่อใครไม่ว่าอยู่ใกล้หรือไกลถึงต่างแดนผ่านเครื่องมือทางเทคโนโลยีที่รายล้อมอยู่รอบตัวหรือแม้แต่คนใกล้ชิดก็อาจเป็นผู้สอดแนมเสียเอง
พูดง่ายๆก็คือ ไม่มีสถานที่ใด ร่างกายส่วนไหนของเรา หรือ การสื่อสารใดๆที่มีความปลอดภัยอีกต่อไปในโลกที่เทคโนโลยีดิจิทัลเข้าถึงทุกคน เพราะการคุกคามความเป็นส่วนตัวเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาและทุกหนทุกแห่ง แม้แต่ในห้องนอนที่เราคิดว่าเป็นที่มิดชิดที่สุดแต่ผู้คุกคามที่อยู่ในอีกซีกโลกหนึ่งสามารถที่จะใช้ มัลแวร์ (Malware : ซอฟแวร์ที่ออกแบบมาเพื่อการทำลายหรือเข้าถึงข้อมูลระบบคอมพิวเตอร์) ใส่เข้าไปในคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์ของใครก็ได้เพื่อเข้าถึง รูปภาพ ข้อความ และบันทึกต่างๆได้อย่างง่ายดาย และที่น่ากลัวคือมัลแวร์บางประเภทสามารถที่จะสั่งการ(Activate) ให้กล้องในโทรศัพท์มือถือทำงานได้เมื่อต้องการหรือแม้แต่ซอฟต์แวร์ติดตามตัวที่เรียกกันว่า Stalker ware ก็สามารถนำมาติดตั้งไว้ในโทรศัพท์มือถือของใครก็ตามโดยเฉพาะคนใกล้ชิดเพื่อติดตามและสอดส่องพฤติกรรมของผู้นั้นและเมื่อใดก็ตามที่มัลแวร์เหล่านี้ถูกติดตั้ง ภาพ คลิป ข้อความ ตำแหน่ง ฯลฯ ของเหยื่อจะถูกเปิดเผยในทันที ดังนั้นความลับในห้องนอนของใครก็ตามอาจถูกฉายขึ้นจอเพื่อความบันเทิงของคนบางคนในอเมริกาใต้หรือในออสเตรเลียได้ทุกขณะ สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่พลอตเรื่องในหนังวิทยาศาสตร์แต่เป็นความสามารถของเทคโนโลยีที่บันดาลให้สิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้เกิดขึ้นแล้วจริงๆในโลกดิจิทัลที่ทลายพรมแดนทางภูมิศาสตร์ลงอย่างสิ้นเชิง
- ประเทศสหรัฐอเมริกาไม่ต่างจากประเทศอื่นๆที่เผชิญปัญหาการสอดแนมเพื่อความพึงพอใจทางเพศทั้งจากหญิงและชายและมีเหตุการณ์ต่างๆเกิดขึ้นให้เห็นเป็นตัวอย่างมากมาย เป็นต้นว่า ในรัฐลุยเซียน่า มีการพบกล้องขนาดจิ๋วติดไว้ในโถปัสสาวะในห้องน้ำชายของสำนักงานแห่งหนึ่งด้วยฝีมือของพนักงานในสำนักงานแห่งนั้นเอง นอกจากนี้ยังพบเหตุคุกคามทางเพศที่เกิดขึ้นในมหาวิทยาลัยชั้นนำอย่างมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ (UC, Berkley) เมื่อพนักงานของมหาวิทยาลัยซ่อนกล้องบันทึกภาพแอบบันทึกกิจกรรมของผู้คนในหอพักมหาวิทยาลัยมากกว่า 100 คนและที่มหาวิทยาลัยเดียวกันยังเกิดคดีที่นักศึกษาจำนวนหนึ่งถูกจับจากการที่ใช้โทรศัพท์มือถือเข้าไปติดไว้บริเวณห้องอาบน้ำของผู้หญิง
- สหราชอาณาจักรก็มีเหตุการณ์ลักษณะเดียวกันเกิดขึ้นเมื่อพบว่าช่างไฟฟ้าคนหนึ่งนำกล้องไปแอบติดไว้ในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าผู้หญิงของสถานีตำรวจแห่งหนึ่ง
- ประเทศสิงคโปร์พบเหตุการณ์ที่ชายคนหนึ่งใช้ไม้เซลฟีและกล้องปากกาที่ซ่อนไว้เพื่อบันทึกและถ่ายภาพผู้หญิงและเด็กในห้องลองเสื้อผ้าของร้านเสื้อผ้าและห้องน้ำในโบสถ์ โดยพบภายหลังว่าเขามีวิดิโอที่บันทึกไว้ราว 700 ชิ้นและภาพอีก 821 ภาพ ในคอมพิวเตอร์ของเขาเอง
โรงแรมและสำนักงานแพทย์ซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นสถานที่ปลอดภัย แต่สถานที่เหล่านี้กลับเป็นเป้าหมายสำคัญของพวกสอดแนมทางเพศที่ใครต่อใครคาดไม่ถึง
- ลูกค้าที่เข้าพักในโรงแรมในเมืองใหญ่ๆ เช่น ปักกิ่ง ซิดนีย์ และไมอามี ต่างถูกแอบถ่ายภายใต้อิริยาบถต่างๆ ทั้ง การถอดเสื้อผ้า การปัสสาวะ การมีเพศสัมพันธ์ โดยที่คนเหล่านั้นไม่รู้ตัวเลยว่ามีพวกถ้ำมองแฝงอยู่ในสถานที่เหล่านี้ แต่ที่น่าตกใจเมื่อมีการพบว่าลูกค้าจำนวนมากถึง 1,600 คน ใน 42 ห้องของโมเต็ลหลายแห่งในเกาหลีใต้ถูกแอบถ่ายด้วยกล้องที่แอบติดไว้ที่ ผนังห้อง มือจับเครื่องเป่าผมและกล่องทีวี โดยคนเหล่านั้นไม่รู้เลยว่ากำลังถูกแอบบันทึกภาพกิจกรรมต่างๆของตัวเองอยู่ระหว่างพักอยู่ในสถานที่เหล่านั้น
- สถาบันทางการแพทย์ชื่อดังอย่าง จอห์น ฮอปคินส์ ก็ไม่พ้นเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับการคุกคามทางเพศ เมื่อมีการพบว่า แพทย์ทางสูตินรีเวช ใช้กล้องปากกาที่แขวนไว้ที่คอตัวเองเพื่อบันทึกและถ่ายภาพเปลือยของคนไข้ในห้องตรวจวินิจฉัยโรค ดังนั้นสถานที่ที่เราคิดว่าปลอดภัยจากการสอดแนมหรือปลอดจากการคุกความทางเพศจึงไม่เป็นความจริงเสมอไปในยุคปัจจุบัน
- ประเทศจีนก็พบปัญหาการคุกคามทางเพศรูปแบบต่างๆไม่ต่างจากประเทศอื่นๆในโลก เมื่อเทคโนโลยีเข้าถึงคนจีนแทบทุกแห่งหน แฟชั่นที่กลายเป็นที่นิยมของสาวจีนยุคหนึ่งเรียกว่า เซฟตี้ แพ้นท์(Safety pant)หรือกางเกงป้องกันภัย การที่ เซฟตี้ แพนท์ เป็นที่นิยมไม่ใช่เพราะความสวยหรือการออกแบบที่เตะตาผู้คน แต่เป็นเพราะว่าผู้หญิงจีนส่วนหนึ่งต้องการปกป้องของสงวนของตัวเองจากการถูกแอบถ่ายใต้กระโปรง จากการสำรวจพบว่า 85 เปอร์เซ็นต์ หรือราว 75,000 คน ของผู้ตอบแบบสำรวจผู้อยู่อาศัยในจีนเห็นตรงกันว่า เหตุผลที่พวกเธอต้องสวมเซฟตี้แพนท์เพราะว่าป้องกันการแอบถ่ายใต้กระโปรงจากพวกคุกคามทางเพศ เซฟตี้แพนท์จึงกลายเป็นหนึ่งในสินค้าขายดีบนโลกออนไลน์ของจีน
- ประเทศไทยเองพบปัญหาการคุกคามทางเพศผ่านเทคโนโลยีประเภทกล้องแอบถ่ายและโซเชียลมีเดีย เป็นข่าวให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง เป็นต้นว่า ข่าวการจับหนุ่มอายุ 28 แอบถ่ายคลิปในห้องน้ำสาธารณะไปขายต่อ เจอคลิปกว่า 3 พันไฟล์ โดยกลุ่มงานต่อต้านการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กทางอินเทอร์เน็ต ได้ตรวจสอบพบบัญชีโซเชียลเอ็กซ์ (X) ได้โพสต์ภาพลามกอนาจารลักษณะแอบถ่ายในห้องน้ำสาธารณะและเชิญชวนให้จ่ายเงินเพื่อเข้ากลุ่มลับเพื่อดูคลิปเต็ม โดยให้จ่ายค่าเข้ากลุ่มลับเป็นซองทรูมันนี่ราคา 299 บาท หรือ กรณีที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่กี่วันที่ผ่านมา เมื่อสองสาวเข้าพักในพูลวิลล่าแห่งหนึ่งที่หาดจอมเทียนและพบกล้องปากกาแอบถ่ายติดตั้งโดยวางไว้ใกล้ๆ กับตุ๊กตาตั้งโชว์ โดยมุมกล้องยังหันเข้ามาที่บริเวณเตียงนอนพอดี
การสอดแนมและการคุกคามทางเพศโดยการใช้เทคโนโลยีจึงเป็นปัญหาที่คนทั่วโลกกำลังเผชิญและยากจะหลีกเลี่ยง ในบางกรณีกระทำการเพื่อสนองความต้องการของตัวเองและมีจำนวนไม่น้อยทำเป็นธุรกิจเพื่อหาเงินเข้ากระเป๋าตัวเองในทางมิชอบผ่านเทคโนโลยีที่นับวันจะมีความสามารถมากขึ้นรวมทั้งเล่ห์เหลี่ยมของมิจฉาชีพที่ใช้สารพัดวิชามารจนคนทั่วไปตามเล่ห์เหลี่ยมไม่ทัน

เมื่อเราตกอยู่ในวงล้อมของเครื่องสอดแนม
เทคโนโลยีช่วยอำนวยความสะดวกแก่มนุษย์ ขณะเดียวกันเทคโนโลยีก็นำความไม่ปลอดภัยมาสู่มนุษย์ได้เช่นกันหากอยู่ในมือของผู้ร้ายหรือผู้ต้องการคุกคามความเป็นส่วนตัวของเราเพื่อวัตถุประสงค์ใดก็ตามในยุค “เศรษฐกิจสอดแนม “ (Surveillance economy) ที่ผู้ประกอบการเทคโนโลยีสามารถแปลงข้อมูลทุกอย่างจากตัวตนของใครก็ตามให้เป็นผลกำไรของตัวเอง แม้แต่สัญญาณการเคลื่อนไหวของบุคคล เช่น ก้าวย่างการเดิน การแสดงออกบนใบหน้า หรือการเคลื่อนไหวของดวงตา ยังถูกวิเคราะห์จนสามารถบอกได้ว่าคนคนนั้นจะ มีอายุยืนยาวเท่าไร มีความเครียดมากเพียงใดหรือมีภาวะผิดปกติทางการอ่านและการเรียนรู้หรือไม่และข้อมูลเหล่านั้นมักจะถูกนำไปใช้โดยที่เราไม่รู้หรือไม่ได้ยินยอม
ตลอดเวลาที่เราเดินทางไปตามสถานที่ต่างๆไม่ว่าจะไปแห่งหนตำบลใดอย่างน้อยที่สุดกล้องที่อยู่ในที่สาธารณะรอบตัวเราจะจับภาพเราได้เสมอในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง การมีชีวิตอยู่ในบ้านที่รายล้อมด้วยเทคโนโลยีอำนวยความสะดวกก็มิได้แตกต่างกันแถมจะต้องระวังเสียยิ่งกว่าการอยู่ในสถานที่สาธารณะด้วยซ้ำ เพราะอุปกรณ์ที่เรียกว่า “สมาร์ท เทคโนโลยี” ที่เราใช้อำนวยความสะดวกและให้ความบันเทิงกลับกลายเป็นเครื่องมือสอดแนมโดยที่เราไม่รู้ตัว อุปกรณ์เหล่านี้มีคอมพิวเตอร์เป็นองค์ประกอบหลักและมีเซ็นเซอร์ที่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตจนอุปกรณ์เหล่านั้นทำหน้าที่เหมือนเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งและสามารถสอดแนมและบันทึกพฤติกรรมต่างๆของผู้คนได้อย่างง่ายดายโดยที่เราเองก็นึกไม่ถึง เพราะใครจะไปคาดคิดว่า สมาร์ท ทีวี ที่ใช้กันอยู่ทั่วไปสามารถจะใช้เฝ้าดูพฤติกรรมและเก็บข้อมูลผู้คนได้โดยใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า Automatic Content Recognition หรือ ACR ที่สามารถจะตรวจจับทุกสิ่งทุกอย่างที่เราดูบนจอทีวี และส่งข้อมูลเหล่านั้นไปยังผู้ผลิตทีวีหรือบุคคลที่สาม เพื่อนำข้อมูลไปใช้ทางการตลาด นักวิจัยเคยพบว่าสมาร์ททีวียี่ห้อซัมซุงรุ่นหนึ่งสามารถที่จะติดต่อกับ IP Address ต่างๆได้มากถึง 700 IP Address หลังจากเปิดทีวีไว้นาน 15 นาที
เมื่อหลายปีก่อนมีข่าวครึกโครมเกี่ยวกับการส่องพฤติกรรมผู้คนผ่านสมาร์ททีวีบางยี่ห้อที่จำหน่ายในสหรัฐอเมริกา ผู้เชี่ยวชาญในสหรัฐอเมริกาจึงมักมีคำแนะนำเสมอเกี่ยวกับ “การตั้งค่าความเป็นส่วนตัว” และวิธีปิดเครื่องบันทึกเสียงของของสมาร์ททีวีก่อนใช้งานซึ่งผู้ใช้มักไม่เคยรู้มาก่อนหรือไม่เคยสนใจและมองข้ามไป เพราะสมาร์ท ทีวีเหล่านี้สามารถที่จะเฝ้าดูพฤติกรรมและดักฟังการพูดคุยของเราในระหว่างดูทีวีได้ ซึ่งหมายความว่าใครก็ตามที่นั่งอยู่หน้าจอสมาร์ททีวีอาจถูกล้วงความลับได้ทุกเมื่อ แม้ว่าเราได้ปิดทีวีไปแล้วก็ตามแต่ทีวีเหล่านี้อาจยังคงทำงานอยู่และทำหน้าที่เฝ้าดูพฤติกรรมหรือแอบฟังเราอยู่เงียบๆโดยที่เราไม่รู้
ไม่เฉพาะสมาร์ททีวีเท่านั้นที่สามารถส่องความเป็นส่วนตัวของผู้คนได้ อุปกรณ์ทางเทคโนโลยีที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า “ สมาร์ท” ทั้งหลาย เช่น Smart watch Smart refrigerator Smart meter Smart phone Smart speaker ฯลฯ ล้วนมีความสามารถในการสอดแนมไม่ต่างกันเพราะอุปกรณ์เหล่านี้มีคอมพิวเตอร์และเซ็นเซอร์ เป็นองค์ประกอบและสามารถเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตได้เช่นเดียวกัน ความเป็นส่วนตัวของมนุษย์ตั้งแต่ลืมตาตื่นจนถึงขณะหลับจึงถูกบันทึกไว้ด้วยอุปกรณ์ประเภท “สมาร์ท” เหล่านี้อยู่ตลอดเวลาและเป็นข้อมูลที่ถูกนำไปใช้เพื่อพัฒนาสินค้า บริการ ฯลฯ รวมถึงเป็นข้อมูลที่จะย้อนกลับมาสร้างความรำคาญ ก่อกวน หรือทำร้ายเราได้เช่นกันหากไปอยู่ในมือมิจฉาชีพ
ณ วันนี้เชื่อว่ายังไม่มีมาตรการหรือกฎหมายใดๆที่จะรับประกันได้ว่าลำโพงอัจฉริยะของ อเมซอน จะไม่สอดรู้สอดเห็นกิจกรรมในห้องนอนของเราหรือบริษัทผลิตรถยนต์ทั้งหลายจะไม่ขายข้อมูลโลเคชั่นของเราให้กับมือที่สามหรือบริษัทบัตรเครดิตจะไม่ขายข้อมูลให้กับนายหน้าขายข้อมูลเพื่อนำไปขายต่อให้กับธุรกิจที่ต้องการข้อมูลอื่นๆแม้แต่องค์กรอาชญากรรม
ดาต้าโบรกเกอร์องค์กรกึ่งสีเทา
ดาต้าโบรกเกอร์(Data broker) หรือ “นายหน้าขายข้อมูล” คือ บริษัทที่เก็บข้อมูลส่วนตัวของผู้บริโภคและนำไปขายต่อหรือแบ่งปันข้อมูลนั้นให้กับผู้อื่น แหล่งข้อมูลหลักของนายหน้าขายข้อมูลแบ่งออกเป็นสี่กลุ่ม ได้แก่ ข้อมูลจากรัฐบาล ( เชื้อชาติ อายุ การศึกษา รายได้ ที่อยู่ ประวัติอาชญากรรม หมายจับ ฯลฯ) ข้อมูลสารธารณะ (สื่อสังคมออนไลน์ อินเทอร์เน็ต ฯลฯ) ข้อมูลทางการค้า ( บริษัทโทรศัพท์ บริษัทรถยนต์ บริษัทประกันภัย ประวัติการซื้อสินค้า ฯลฯ) และข้อมูลจากนายหน้าขายข้อมูลด้วยกันเอง
แหล่งข้อมูลที่นายหน้าเหล่านี้เก็บข้อมูลมานั้นล้วนเป็นข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของเราทั้งสิ้น จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าเหตุใดจึงมีคนรู้การเคลื่อนไหวของเราทุกฝีก้าว ที่สำคัญคือข้อมูลที่ถูกนำไปขายนั้น ส่วนใหญ่ไม่ได้รับการอนุญาตจากเจ้าของข้อมูลหรือเจ้าของข้อมูลไม่เคยรู้เลยว่ามีบริษัทประเภทนี้อยู่ในโลก ดังนั้น ชื่อ ที่อยู่ อายุ เพศ เบอร์โทรศัพท์ ประวัติทางการเงิน ประวัติการประกันภัย ประวัติการเดินทาง ข้อมูลสุขภาพ สถานที่ที่ชอบไป ฯลฯ ของเราจึงถูกนำไปขายต่อให้กับคนที่ต้องการข้อมูลได้ตลอดเวลา
เมื่อหลายปีก่อนเคยมีรายงานว่าบริษัทนายหน้าขายข้อมูลบางแห่งสามารถเก็บรายละเอียดตัวตนของใครต่อใครตั้งแต่ผมจรดเท้าไว้ได้มากถึง 1,500 ข้อมูล แต่ปัจจุบันมีรายงานว่าบริษัท Axiom ซึ่งเป็นบริษัทนายหน้าขายข้อมูลรายใหญ่สามารถเก็บรายละเอียดตัวตนของประชากรผู้ใหญ่ในอเมริกาได้มากถึง 3,000 ข้อมูล วิธีการที่บริษัทเหล่านี้จัดเก็บ ข้อมูล วิเคราะห์ รวบรวมและนำไปขายต่อเรียกกันว่า Data Aggregation ซึ่งจัดเก็บ ข้อมูลประเภทต่างๆ เช่น ข้อมูลจากโซเชียลมีเดีย ข้อมูลโลเคชั่นของโทรศัพท์มือถือ ข้อมูล จากMobile application ข้อมูลรายงานเครดิตบุคคล ข้อมูลโทรศัพท์ ข้อมูลการซื้อสินค้า ข้อมูลสมาชิก Loyalty card ข้อมูลการรับประกันประเภทต่างๆ ข้อมูลนักศึกษา ข้อมูลสำมะโนประชากร ข้อมูลที่อยู่บุคคล ข้อมูลบุคคลที่ถูกออกหมายจับและข้อมูลผู้ก่อการร้าย ข้อมูลการล้มละลาย ข้อมูลใบอนุญาตประกอบอาชีพ ข้อมูลภาษี ข้อมูลการจำนอง ข้อมูลโฉนด/สัญญา(Deed) ข้อมูลสิทธิในการยึดทรัพย์ลูกหนี้(Lien) ข้อมูลการยึดทรัพย์จำนอง(Foreclosure) ข้อมูลคดีในศาล ข้อมูลใบเกิด ข้อมูลใบมรณะบัตร ข้อมูลบันทึกการแต่งงานและการหย่า ข้อมูลสนับสนุนการหาเสียงทางการเมือง ข้อมูลการครอบครองปืน เป็นต้น ข้อมูลเหล่านี้ถูกเก็บ บันทึก ขายต่อ เพื่อนำไปใช้งานโดยที่เราไม่อนุญาตหรืออาจยินยอมไปโดยไม่รู้ตัวเพื่อแลกกับการใช้แอปพลิเคชันบางประเภทหรือบริการบางอย่างในโลกออนไลน์ บริษัทเหล่านี้จึงสามารถรู้จักตัวตนของเราได้มากกว่าตัวเราเองเสียอีก ดังนั้นจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าเบอร์โทรศัพท์ของคนระดับนายกรัฐมนตรีอย่างคุณแพทองธารหรือระดับรองนายกฯอนุทินและคนไทยอีกหลายล้านคนตกไปอยู่ในมือของแก๊งคอลเซ็นเตอร์และมิจฉาชีพประเภทต่างๆได้อย่างไร
บริษัทเหล่านี้สามารถทำในสิ่งที่บริษัทที่มีคุณธรรมอื่นๆไม่ทำกัน เช่น นายหน้าขายข้อมูลบางรายจัดรายชื่อนักพนันที่มีอายุเกินกว่า 55 ปีเอาไว้เป็นกลุ่มเฉพาะ พวกเขารู้ดีว่าคนกลุ่มนี้มีศักยภาพในการปกป้องความเป็นส่วนตัวด้อยกว่าคนในวัยหนุ่มสาว พวกเขาเรียกคนกลุ่มนี้ว่า Oldies but Goodies หรือ พวกแก่แต่ยังมีคุณค่า แต่คุณค่าของผู้สูงอายุในมุมมองของธุรกิจกึ่งสีเทาของพวกเขาคือ คนกลุ่มนี้คือพวกที่ถูกหลอกได้ง่ายกว่าคนกลุ่มอื่นและคนกลุ่มนี้เองคือเป้าหมายสำคัญของมิจฉาชีพที่ซื้อข้อมูลของคนกลุ่มนี้ไปเพื่อการหลอกลวงผู้สูงอายุซึ่งแต่ละคนสูญเงินไปคนละหลายล้านบาทดังที่เป็นข่าวให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง
โลกที่ไร้ซึ่งความเป็นส่วนตัวเป็นภัยต่อมนุษย์ในหลายด้าน เพราะความเป็นส่วนตัวหมายถึงความสามารถในการเก็บสิ่งที่ควรจะเป็นของตัวเองเอาไว้กับตัว เช่น ความคิด ประสบการณ์ ความกลัว และสิ่งที่วางแผนไว้ในใจ ความเป็นส่วนตัวจึงเป็นเสมือนการแบ่งเบาภาระที่เราจะต้องไปมีความเกี่ยวข้องกับผู้อื่น ทำให้เราสามารถที่จะแสวงหาความคิดใหม่ๆของตัวเองได้อย่างเสรี การที่ความเป็นส่วนตัวของมนุษย์ถูกใช้เป็นวัตถุดิบเพื่อผลกำไรโดยที่เราไม่รู้และไม่อนุญาตด้วยเทคโนโลยีชั้นสูงจึงเป็นเหมือนการถูกขโมยอำนาจซึ่งควรจะเป็นของเราไปไว้ในมือของบริษัทเทคโนโลยีเพียงไม่กี่ราย
แม้ว่าการป้องกันการละเมิดความเป็นส่วนตัวเป็นไปได้ยากในโลกยุคปัจจุบัน แต่มนุษย์ควรมีความหวังและเรียกเอาอำนาจของเรากลับคืนมา การออกกฎหมายปกป้องความเป็นส่วนตัวเป็นเพียงมาตรการหนึ่งที่อาจลดปัญหาลงได้บ้าง แต่คงไม่ใช่คำตอบที่มนุษย์ต้องการในสภาวะทุกคนแทบไม่มีทางเลือกที่จะไม่สัมผัสกับเทคโนโลยี สิ่งที่ควรจะทำควบคู่กันไปคือการสร้างความตระหนักรู้ถึงความสำคัญของความเป็นส่วนตัวของมนุษย์ที่ควรได้รับความเคารพและเพิ่มเติมแนวคิดจากความรับผิดชอบเฉพาะตัวไปเป็นความรับรู้ร่วมกันของสังคมเพื่อเป็นเกราะป้องกันคนส่วนใหญ่ให้ใช้เทคโนโลยีด้วยความระมัดระวังและรู้เท่าทันอีแร้งกระหายข้อมูล (Data vulture) ที่กำลังรุมทึ้งความเป็นส่วนตัวของเราอยู่ทุกนาที
พันธ์ศักดิ์ อาภาขจร
อ้างอิง
1.https://www.thairath.co.th/news/politic/2837276
2. https://www.matichon.co.th/politics/news_5002807
3.https://medium.com/rawblog/online-consequences-of-being-offline-a-gendered-tale-from-south-korea-94f71f6c59e0
4.https://www.matichon.co.th/local/news_5005958
5.https://thethaiger.com/th/news/1336904/
6.The Fight for Privacy โดย Danielle Keats Citron
7.https://isranews.org/isranews-article/50496-sme_50496.html
8.The Private is Political โดย Alice E.marwick
9.The Privacy is Power โดย Carissa Veliz
ภาพประกอบ
https://sites.uab.edu/humanrights/tag/molka-crimes/

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา