
"...ตะรุเตา เป็นอุทยานแห่งชาติทางทะเลแห่งแรก อยู่กลางทะเลลึกฝั่งอันดามัน ประกอบด้วยพื้นที่ดินเป็นเกาะน้อยใหญ่จำนวน 51 เกาะ และผืนน้ำรวม 1,490 ตาราง กม. อยู่ห่างจากท่าเรือ ปากบารา 22 กม. ปี 2525 UNESCO ประกาศให้อุทยานแห่งชาติตะรุเตาเป็นอุทยานมรดกแห่งอาเซียน (ASEAN Heritage Parks and Reserves) ในวันนี้ตะรุเตาจึงเป็นแดนสวรรค์ของนักท่องเที่ยว แต่เมื่อ 86 ปีที่แล้ว ตะรุเตาถูกทำเป็นคุกขังนักโทษ โดยไม่ต้องสร้างกำแพงคุก แต่ใช้ห้วงน้ำทะเลเป็นกำแพง มีปลาฉลามและจระเข้เป็นเวรยาม..."
12 – 15 มีนาคม 2568 มีโอกาสเดินทางไปหย่อนใจที่หมู่เกาะตะรุเตา จ. สตูล ทั้งที มีหรือจะพลาดโอกาสการเรียนรู้และสัมผัสกลิ่นอายบรรยากาศคุกตะรุเตา ซึ่งเคยเป็นที่จองจำนักโทษการเมืองในคดีกบฏบวรเดช เมื่อเกือบ 90 ปีล่วงมาแล้ว จึงขอบันทึกเหตุการณ์นี้ไว้บนพื้นฐานของการเคารพข้อเท็จจริงที่ปรากฎ
ในจำนวน 70 คนของผู้ต้องหามี 5 คน ที่หาญกล้าแหกคุก ซึ่งมีห้วงน้ำทะเลเป็นกำแพงและมีเหล่าปลาฉลามเป็นยามเวร
“ใบปลิวที่ข้าพเจ้าพิมพ์ด้วยโรเนียวนั้น มีถ้อยคำรุนแรงมาก โจมตีคณะราษฎร์ในเรื่องไม่ได้รักษาวาจาสัตย์ ตามหลัก 6 ประการ ประชาชนพลเมืองไม่ได้รับประชาธิปไตยอันแท้จริง วิธีการเลือกสมาชิกประเภทสอง ได้ถูกแปลงสารว่าพระมหากษัตริย์เป็นผู้ทรงตั้ง ไม่ใช่ผู้เลือก ดังนั้นพระมหากษัตริย์ จึงมีหน้าที่แค่ลงพระปรมาภิไธย ตามที่คณะราษฎร์เลือกมาเท่านั้นนอกจากนั้นมีข้อความอีกหลายประการ ที่สามารถสงเคราะห์เข้าในความผิดกฎหมายอาญา มาตรา 104 หรือถ้าเกิดจลาจลขึ้น อาจสงเคราะห์เข้าในพวกกบฏหรือพวกโจร ตามที่รัฐบาลพจน์ พหลโยธิน ประณามก็เป็นได้......”
(บันทึก จากหนังสือ “ฝันร้ายของข้าพเจ้า” พระยาศราภัยพิพัฒ)

นาวาเอกพระยาศราภัยพิพัฒ (นายเลื่อน ศราภัยวานิช) เคยเป็นเลขานุการ เสนาบดีกระทรวงทหารเรือ ที่มีพระราชวงศ์ชั้นสูงเป็นเสนาบดี เมื่อเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ในฐานะที่ถูกนับเนื่องว่าเป็นพวกเจ้า จึงถูกให้ออกจากราชการเป็นนายทหารรับบำนาญ
นายเลื่อนไปตั้งบริษัทสยามฟรีเพรส ออกหนังสือพิมพ์ “กรุงเทพฯ เดลิเมล์”
เมื่อ 10 ตุลาคม 2476 พระองค์เจ้าบวรเดช เป็นหัวหน้าคณะก่อการแข็งอำนาจต่อรัฐบาล ความผิดสำคัญทำให้ถูกตำรวจจับเพราะเป็นคนเขียนใบปลิวฉบับนี้ นายเลื่อนถูกนำไปขังที่เรือนจำบางขวาง ศาลพิเศษตัดสินจำคุกตลอดชีวิตและถูกถอดบรรดาศักดิ์ทั้งหมด
4 ปี 4 เดือนเศษ ในคุกบางขวาง นายเลื่อน ใช้เวลาเรียนภาษาจีนกับผู้ต้องขังชาวจีนที่ติดคุกอยู่ด้วยกัน จนอ่านเขียนภาษาจีนกลางได้
ตะรุเตา เป็นอุทยานแห่งชาติทางทะเลแห่งแรก อยู่กลางทะเลลึกฝั่งอันดามัน ประกอบด้วยพื้นที่ดินเป็นเกาะน้อยใหญ่จำนวน 51 เกาะ และผืนน้ำรวม 1,490 ตาราง กม. อยู่ห่างจากท่าเรือ ปากบารา 22 กม. ปี 2525 UNESCO ประกาศให้อุทยานแห่งชาติตะรุเตาเป็นอุทยานมรดกแห่งอาเซียน (ASEAN Heritage Parks and Reserves) ในวันนี้ตะรุเตาจึงเป็นแดนสวรรค์ของนักท่องเที่ยว
แต่เมื่อ 86 ปีที่แล้ว ตะรุเตาถูกทำเป็นคุกขังนักโทษ โดยไม่ต้องสร้างกำแพงคุก แต่ใช้ห้วงน้ำทะเลเป็นกำแพง มีปลาฉลามและจระเข้เป็นเวรยาม

ใครถูกส่งไปกักขังที่นั่น เหมือนถูกขังลืมในดินแดนลับแล การเดินทางลำบาก อาหารและของกินของใช้จำกัด ขนส่งลำบาก ผู้ต้องขังจึงเผชิญชะตากรรมที่สาหัส ผู้ต้องขังส่วนใหญ่เป็นคนทำความผิดซ้ำซาก ถูกนำไปขังไว้ที่นั่น 3,000 – 4,000 คน นักโทษทำงานหนัก อาหารมีไม่พอ คนขัดขืนถูกจับตีตรวนยืนตากแดดนานเป็นสัปดาห์ ถูกเฆี่ยน ทุบตี จับขังในตึกแดง มีการถ่วงด้วยสมอบก คือการ ตีตรวน เอาท่อนซุงขนาดใหญ่ล่ามโซ่ นักโทษเดินไปไหนต้องแบกขึ้นบ่าไปด้วย หยุดตรงไหนจึงวางสมอลงได้ แต่ก็ถูกตรึงไว้ในรัศมีโซ่ล่ามเท้า
จากบางขวาง นายเลื่อน ศราภัยวานิช และนักโทษรวม 70 คน ถูกย้ายไปขึ้นรถไฟที่สถานีหัวลำโพง เมื่อเย็น 16 กันยายน 2482 มีนางชวน ชูพันธ์ พี่สาวมาส่งมอบเงินไว้ให้นายเลื่อน 300 บาทด้วย น้ำตานองหน้าโดยไม่รู้ว่าน้องชายจะประสบชะตากรรมอย่างไร รู้แต่ว่าถูกย้ายไปอยู่เกาะตะรุเตา
ตอนผ่านเพชรบุรีเวลาค่ำ นายเลื่อนถอดโซ่ตรวนออกจากเท้า ร่วมกับเพื่อนอีก 2-3 คน คิดจะหนีที่สถานีประจวบคีรีขันธ์ โดยจะลัดป่าเข้าพรมแดนพม่า แต่ไม่แน่ใจในเส้นทางและเกรงว่าเพื่อนที่เหลือบนรถไฟจะเดือดร้อน
ทุกคนไปลงรถไฟที่สถานีควนเนียง ห่างจากสตูล 80 กม. นั่งรถยนต์ต่อไปที่ท่านก ห่างจากศาลากลาง จ. สตูล 2 กม. ระหว่างนั่งเรือไปตะรุเตา นายเลื่อน กับ นายหลุย คีรีวัต คบคิดกันว่าจะ ยึดเรือและคุมตำรวจไว้ บังคับให้เรือแล่นไปเกาะปีนัง เพื่อจะหนี แต่ก็ไม่แน่ใจเกรงจะถูกทางการ
อังกฤษจับ
ตอนที่เรือไปใกล้เกาะลังกาวี ซึ่งห่างไปราว 4 กม. เศษ นายเลื่อนคิดแล้วคิดอีกว่ากระโดดน้ำว่ายหนี แต่ก็เกรงว่าจะเป็นเหยื่อของปลาฉลาม นี่เป็นการคิดหนีครั้งที่ 3 ซึ่งยังไม่เป็นผล ในที่สุดไปขึ้นฝั่งที่ตะรุเตา นายเลื่อนรำพึงกับตนเองว่า
“ข้าพเจ้านอนไม่หลับตลอดรุ่ง ด้วยคิดว่า ชาติไทยหนอ แต่ไหนแต่ไรมา ไม่มีคนไทยโหดร้ายถึงปานฉะนี้ ที่แสดงอำนาจบาตรใหญ่ เอาคนชาติเดียวกันที่มีความเห็นไม่สอดคล้องต้องกัน เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยอันแท้จริง มาปล่อยเกาะเยี่ยงสัตว์ร้าย”
อิสรภาพเป็นปรารถนาอันแรงกล้าของมนุษย์ทุกรูปนาม ไม่เลือกชั้นวรรณะ ไม่เลือกเจ้าเลือกไพร่ ไม่เลือกยากดีมีจน ไม่เลือกเผ่าพงศ์หรือผิวพรรณ เพื่อจะไปให้พ้นจากการบังคับบีบคั้น
การจ้องจะแหกคุกจึงเป็นลมหายใจของนายเลื่อน แม้ว่าชีวิตความเป็นอยู่จะได้รับการ ผ่อนปรน ไม่ต้องทำงานหนักเหมือนนักโทษทั่วไป
เมื่อสำรวจพื้นที่กันเป็นอย่างดีกับโหรแฉล้ม เลี่ยมเพ็ชรรัตน์ จึงนัดหมายกันได้รวม 5 คน นอกจากนายเลื่อน มีพันเอกพระยาสุรพันธ์เสนี (อิ้น บุนนาค) อดีตเทศาภิบาลมณฑลราชบุรี ขุนอัคนีรถการ (อั๋น ไชยพฤกษ์) อดีตสารวัตรเดินรถการรถไฟ นายหลุย คีรีวัต เจ้าของและ บก. นสพ. กรุงเทพเดลิเมล์ และนายแฉล้ม ทนายความเมืองนครราชสีมา และเป็นโหรประจำคณะ ที่หมายคือเกาะลังกาวี ดินแดนมลายูในปกครองของอังกฤษที่อยู่ห่างออกไป 5 กม.

ปฎิบัติการแหกคุกตะรุเตา กำลังจะเริ่มขึ้น โดยมี 5 ชีวิตเป็นเดิมพัน ในเขตพื้นที่กลางทะเลไกลปืนเที่ยงอย่างนี้ ทางเลือกมีแค่รอดหรือตายหรือเป็นเหยื่อของปลาฉลาม
เงิน 5,000 บาท ซึ่งนับว่ามากในยุคนั้น เป็นค่าจ้างชาวบ้านบนเกาะให้จัดเรือพาหนี
ฤกษ์ยามตามโหรแฉล้มวางไว้คือ 16 ตุลาคม 2482 เวลา 2 ทุ่ม 5 คนแยกเป็นกลุ่มหนึ่ง สองคน อีกกลุ่มสามคน มีถุงเสื้อผ้าคนละห่อพร้อมมีดปลายธง คนละด้าม นัดพบกันที่บริเวณท้ายเกาะอาดัง สัญญากันว่าทุกคนต้องพร้อมจะต่อสู้ ถ้าถึงคราวอับจน
ท่ามกลางแสงเดือนสลัว นายเลื่อนถือห่อผ้าไว้ มีเสียงถามขึ้นมาว่า
“ใคร”
นายเลื่อนเห็นผู้คุมถือปืนเดินมา จึงโยนห่อผ้าเข้าพุ่มไม้ แล้วตอบว่า
“ศราภัย”
“ไปเดินเล่นหรือครับ” ผู้คุมถาม
“ไปส้วม” นายเลื่อนตอบ ผู้คุมเดินพ้นไป
นายเลื่อนกลับไปเอาห่อผ้า คุกเข่าลงบนหาดทรายหันหน้าไปทิศเหนือทางกรุงเทพฯ กราบลงสามครั้งแล้วอธิษฐานให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ดลบันดาลความปลอดภัยให้ทุกคน แล้วบ่ายหน้าลงไปทางทะเลที่จุดนัดหมาย มาสมทบกันครบ 5 คน แล้วไปลงเรือใบรับจ้าง คนประจำเรือ 4 คน ออกเรือตอนห้าทุ่ม เรือไม่กางใบ เพื่อไม่ให้เป็นเป้าต่อคนเฝ้ารังนกและเรือหาปลาบริเวณนั้น แล้วช่วยกันพายพาเรือออกจากฝั่ง
ผ่านเกาะเล็กเกาะน้อยที่อาจมีคนอยู่ ทุกคนจะนอนหมอบลงใต้กระแชงเรือที่คลุมอยู่ ขุนอัคนีฯ บอกว่า
“ดูเหมือนเสียงเรือยนต์แล่นตามมา”
ทุกคนหายใจไม่ทั่วท้อง แล้วพบว่า เป็นเสียงลมกับคลื่นกระทบกัน ต่างช่วยกันพายช่วยกันจ้ำด้วยพายอะไหล่ที่ติดลำเรือ
เรือเกยชายหาดลังกาวี เวลา 2.00 น. ของวันที่ 17 ตุลาคม 2482
นายเลื่อนบอกว่า
“ถือเป็นวันเกิดของข้าพเจ้า ยิ่งกว่าวันเกิดที่แท้จริงเสียอีก เราทั้ง 5 คน เป็นอิสรภาพโดยปล่อยตัวเองเอาชีวิตเข้าแลก ไม่ต้องพึ่งพาอำนาจบุญบารมีของผู้ใดหมด”
ควรบันทึกไว้ด้วย ขณะเตรียมการหนีนั้น นายเลื่อน เขียนว่า
“นอกจากนี้ ข้าพเจ้ายังได้ทูลชวน หม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร นาวาเอกพระแสงสิทธิการ(แสง นนทสุต) และ สอ เศรษฐบุตร (หลวงมหาสิทธิโวหาร) ท่านทั้ง 3 นี้ ให้เหตุผลต่างๆ ว่าไม่หนี ท่วงทีเป็นเชิงไม่ไว้ใจว่าจะไปรอด”
จากเกาะลังกาวี นายเลื่อนและเพื่อน เดินทางต่อไปลี้ภัยอยู่ที่อะลอร์สตาร์ นายเลื่อนไปรับจ้างเป็นครูสอนภาษาจีน ณ โรงเรียนจีนแห่งหนึ่ง
เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่สอง ปี 2484 นายเลื่อนเดินทางไปอยู่ที่เมืองเมลเบอร์น ออสเตรเลีย ได้เป็นโฆษกวิทยุออสเตรเลียภาคภาษาไทยและได้เข้าร่วมกับขบวนการเสรีไทยในต่างประเทศ พอสิ้นสงครามปี 2488 จึงเดินทางกลับไทย
ปี 2489 นายปรีดี พนมยงค์ เป็นนายกรัฐมนตรี ได้ออกกฎหมายนิรโทษกรรมแก่นักโทษการเมือง เมื่อมาถึงยุค นายควง อภัยวงศ์ เป็นนายกรัฐมนตรี ได้ประกาศคืนยศและบรรดาศักดิ์ให้แก่นักโทษการเมืองทุกคน
นายเลื่อนได้คืนสถานะเป็น “นาวาเอกพระยาศราภัยพิพัฒ” อีกครั้งในปี 2490 ในปีนั้นเองพระยาศราภัยพิพัฒ สมัครรับเลือกตั้งได้เป็น สส. จังหวัดธนบุรี ในนามพรรคประชาธิปัตย์ และได้รับโปรดเกล้าฯ ให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในรัฐบาลของนายควง อภัยวงศ์
พระยาศราภัยพิพัฒ ถึงแก่กรรมเมื่อ 21 กันยายน 2511 อายุได้ 79 ปี และได้มอบร่างกายให้ รพ. ศิริราช มีโครงกระดูกของท่านประดิษฐานอยู่ในตู้กระจก ณ โรงพยาบาลศิริราช เพื่อการศึกษาของนักศึกษาแพทย์ในทุกวันนี้

Cr ข้อมูล หนังสือ “ฝันร้ายของข้าพเจ้า” (นาวาเอก พระยาศราภัยพิพัฒ)
บทความโดย :
ประสาร มฤคพิทักษ์

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา