
"...ในอดีต คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้เคยชี้มูลความผิดเจ้าหน้ามี่ระดับสูงของกรมสรรพากรหลายคนที่ยืนยันไม่เก็บภาษีการซื้อขายหุ้นของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ในสมัยที่ยังเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ให้บุตรสองคนเมื่อปี 2549 ภายหลังที่ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการกระทำของ พ.ต.ท. ทักษิณข้างต้นเป็นการกระทำที่ไม่ชอบและได้สั่งให้ยึดทรัพย์สินในส่วนที่เกิดจากการกระทำดังกล่าวตกเป็นทรัพย์สินของแผ่นดิน เจ้าหน้าที่ผู้ยืนยันจุดยืนดังกล่าวก็ถูกชี้มูลความผิดและถูก ป.ป.ช. ส่งฟ้องศาล ต่อสู้กันอยู่ถึงสามศาล จนในที่สุดก็ถูกศาลฎีกาตัดสินให้มีความผิดและต้องถูกจำคุกทั้งหมด 5 คน คำยืนยันของอธิบดีกรมสรรพากรในครั้งนี้อาจนำไปสู่ชะตากรรมเดียวกันก็ได้..."
หมายเหตุ-บทความนี้ ศ.เมธี ครองแก้ว อดีตกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)เขียนขึ้นตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม 2568 แต่เกิดการสื่อผิดพลาด ทำให้ยังไม่มีการเผยแพร่ทางเว็บไซต์สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) แต่เนื้อหาในบทความยังคงเป็นปัจจุบันและเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะเป็นอย่างมาก
การอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร โดยนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส. บัญชีรายชื่อพรรคประชาชนในประเด็นการซื้อขายหุ้นระหว่างนางสาวแพทองธารกับญาติพี่น้องของตนตั้งแต่เมื่อปี 2559 ได้สร้างแรงกระเพื่อมให้แก่สถานภาพทางการเมืองของนายกฯ แพทองธารพอสมควร
ทั้งนี้เพราะนายวิโรจน์เชื่อว่านางสาวแพทองธารมิได้ซื้อหุ้นดังกล่าวทั้งหมดที่มีมูลค่ารวกกันถึง 4,200 ล้านบาทเศษจริง หากแต่เป็นการให้หุ้นดังกล่าวจากบรรดาญาติพี่น้องให้แก่นางสาวแพทองธาร มากกว่า ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ก็แสดงว่านางสาวแพทองธารมีเจตนาที่จะหลบเลี่ยงภาษีการรับให้ (Gift Tax) ซึ่งจะต้องเสียภาษีร้อยละ 5 ในส่วนที่เกินจาก 20 ล้านบาท
ส่วนนางสาวแพทองธารในคำชี้แจงระหว่างการอภิปรายข้างต้นก็ยืนยันว่าการโอนหุ้นดังกล่าวเกิดจากการซื้อขายจริง โดยการออกตั๋วสัญญาใช้เงิน (Promisory Note) หรือตั๋ว P/N นั้น เป็นเรื่องที่มีการกระทำเป็นปกติในวงการธุรกิจ มิใช่การทำนิติกรรมอำพรางแต่อย่างใด
คำกล่าวอ้างของนางสาวแพทองธารมีความถูกต้องอยู่ระดับหนึ่ง แต่ข้อที่น่าผิดสังเกตก็คือ เพราะเหตุใดการออกตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวทั้งหมดจำนวน 9 ใบจึงระบุว่า เป็นตั๋วสัญญาใช้เงินที่ไม่มีดอกเบี้ยและไม่มีกำหนดที่จะต้องชำระคืน ซึ่งผิดวิสัยการทำธุรกรรมทางการเงินตามปกติโดยทั่วไป และมีลักษณะของการให้มากกว่า
แต่ทางอธิบดีกรมสรรพากรก็ออกมายืนยันในทันทีว่าการออกตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวทำได้และไม่ผิดกฎหมายแต่อย่างใด และเพื่อไม่ให้เรื่องนี้เป็นประเด็นอีกต่อไป นางสาวแพทองธารก็ได้แจ้งต่อที่ประชุมสภาผู้แทนฯด้วยว่าจะชำระค่าหุ้นดังกล่าวในปีหน้า ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ภาระการเสียภาษีก็จะตกอยุ่กับบรรดาญาติๆของนางสาวแพทองธารที่โอนหุ้นให้ตั้งแต่เมื่อปี 2559
แต่เรืองคงยังไม่จบแค่นึ้ เพราะเมื่อปี 2561 รัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาได้ออกมาตรฐานจริยธรรมของกรรมการองค์กรอิสระและนักการเมืองระดับชาติ ตามอำนาจที่ให้ไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันที่จะใช้บังคับเฉพาะบุคคลเหล่านี้มิให้กระทำผิดจริยธรรมซึ่งอาจนำไปสู่การถอดถอนออกจากตำแหน่งและการถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองด้วย
โดยหน่วยงานที่ได้รับมองหมายให้ทำการตรวจสอบการทำผิดจริยธรรมของกรรมการองค์กรอิสระและนักการเมืองระดับชาติคือคณะกรรมการ ป.ป.ช. ตามมาตรา 87 แห่ง พรบ ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ. 2561 ซึ่งหากเห็นว่ามีมูลความผิดก็จะส่งเรื่องศาลฎีกาเพื่อพิจารณาตัดสินต่อไป เข้าใจว่าเรื่องนี้มีการดร้องเรียนต่อ ป,ป,ช, ก่อนการอภิปรายของนายวิโรยน์ในสภาด้วยซ้ำไป และเชื่อว่านายวิโรจน์เองหรือ “นักร้อง” คนอี่นๆ ก็อาจนำเรื่องนี้ไปร้องต่อ ป,ป.ช. อีกก็ได้
ดคีนี้ ป,ป.ช. จะพิจารณาอย่างไร? ในส่วนหน้าที่หลักของ ป.ป.ช. เรื่องการตรวจบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของนางสาวแพทองธารคงไม่มีเรื่องการปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับทรัพย์สินและหนี้สินที่ควรแจ้งให้ทราบคงไม่มี
เพราะรายการที่มีการเปิดเผยออกมาน่าจะมีรายละเอียดที่ครบถ้วน แต่ถ้าหาก ป.ป.ช. เห็นว่าการโอนหุ้นข้างต้นนี้เป็นนิติกรรมอำพรางที่มีเป้าหมายที่จะหลบเลี่ยงภาษีการรับให้ นางสาวแพทองธารก็อาจเข้าข่ายผิดจริยธรรมนักการเมืองอย่างร้ายแรงในหลายลักษณะความผิดด้วยกัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งความผิดในข้อ 8 และ ข้อ 11 ที่ระบุว่า “ข้อ 8 ต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ไม่แสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ เพื่อตนเอง หรือผู้อื่น หรือมีพฤติการณ์ที่รู้เห็นหรือยินยอมให้ผู้อื่นใช้ตําแหน่งหน้าที่ของตนแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ”
และ “ข้อ 11 ไม่กระทําการอันเป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตนกับประโยชน์ส่วนรวม ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม”
ความชัดเจนของการฝ่าฝืนจริยธรรมตามข้อ 11 ก็คือว่านางสาวแพทองธารจงใจที่จะหลีกเลี่ยงภาษีการรับให้ซึ่งเป็นประโยชน์แก่ตนเองต่อความสูญเสียของรัฐจากการไม่ได้รายได้จากภาษีดังกล่าว
ถามว่า คำชี้แจงหรือคำยืนยันของอธิบดีกรมสรรพากรและคณะกรรมการประเมินภาระภาษีจะมีผลต่อการพิจารณาคดีของคณะกรรมการ ป.ป.ช. หรือไม่ คำตอบคือ มีแน่นอน
กล่าวคือ ถ้าคณะกรรมการ ป.ป.ช. เห็นด้วนกับการวินิจฉัยของกรมสรรพากร ว่าการโอนหุ้นด้วนวิธีการซื้อขายโดยจ่ายเป็นตั๋วพีเอ็นแบบไม่มีดอกเบี้ยและไม่มีวันครบกำหนดการชำระหนี้เป็นเรื่องที่ทำได้ ไม่ผิดกฎหมาย และไม่เข้าข่ายเป็นการทำนิติกรรมอำพราง นางสาวแพทองธารก็รอดตัวไป
แต่ถ้า ป.ป.ช. เห็นตรงกันข้าม และมีมติว่าเป็นนิติกรรมอำพราง อธิบดีและคณะก็มีความเสี่ยงที่จะถูกพิจารณาความผิดฐานละเว้นไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 154 และ มาตรา 157 ของประมวลกฎหมายอาณาก็ได้ มาตรา 154 ระบุว่า
“มาตรา 154 ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่หรือแสดงว่าตนมีหน้าที่เรียกเก็บหรือ ตรวจสอบภาษีอากร ค่าธรรมเนียม หรือเงินอื่นใด โดยทุจริตเรียกเก็บหรือละเว้นไม่เรียกเก็บภาษี อากร ค่าธรรมเนียมหรือเงินนั้น หรือกระทําการหรือไม่กระทําการอย่างใด เพื่อให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษี อากรหรือค่าธรรมเนียมนั้นมิต้องเสีย หรือเสียน้อยไปกว่าที่จะต้องเสีย ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่ห้าปี ถึงยี่สิบปี หรือจําคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสี่แสนบาท [อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวล กฎหมายอาญา” หรือลดหย่อนลงมาหน่อยก็จะเป็นความผิดตามมาตรา 157 ซึ่งระบุว่า
“มาตรา 157 ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวาง โทษจําคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ”
ในอดีต คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้เคยชี้มูลความผิดเจ้าหน้ามี่ระดับสูงของกรมสรรพากรหลายคนที่ยืนยันไม่เก็บภาษีการซื้อขายหุ้นของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ในสมัยที่ยังเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ให้บุตรสองคนเมื่อปี 2549 ภายหลังที่ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการกระทำของ พ.ต.ท. ทักษิณข้างต้นเป็นการกระทำที่ไม่ชอบและได้สั่งให้ยึดทรัพย์สินในส่วนที่เกิดจากการกระทำดังกล่าวตกเป็นทรัพย์สินของแผ่นดิน
เจ้าหน้าที่ผู้ยืนยันจุดยืนดังกล่าวก็ถูกชี้มูลความผิดและถูก ป.ป.ช. ส่งฟ้องศาล ต่อสู้กันอยู่ถึงสามศาล จนในที่สุดก็ถูกศาลฎีกาตัดสินให้มีความผิดและต้องถูกจำคุกทั้งหมด 5 คน คำยืนยันของอธิบดีกรมสรรพากรในครั้งนี้อาจนำไปสู่ชะตากรรมเดียวกันก็ได้
โดยสรุปแล้ว เรื่องการซื้อขายหุ้น หรือการได้รับหุ้นโดยเสน่หาของนางสาวแพทองธารในครั้งนี้ คงต้องรอการพิจารณาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ซึ่งถ้าเห็นว่าไม่ผิด เรื่องก็จบทันที
แต่ถ้าเห็นว่าผิด ก็ต้องส่งเรื่องให้ศาลฎีกาพิจารณา ซึ่งก็อาจเห็นว่าไม่ผิดด้วยก็ได้ แต่ถ้าผิด ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของนางสาวแพทองธารก็จะพ้นไปในทันทีและยังจะต้องถูกตัดสิทธิ์ทางเมืองเป็นเวลาอย่าวน้อย 10 ปีด้วย
เรา ประชาชนคนไทยได้บทเรียนอะไรจากนิติสงครามในครั้นนี้? ที่แน่ๆ คือเราต้องเสียเวลาไปกับการต่อสู้ทางกฎหมายและการชิงไหวชิงพริบในทางการเมืองแทนที่เราจะใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ในทางเศรษฐกิจและสังคมให้มากกว่านี้ แต่ถ้าจะมีประโยชน์เกิดขึ้นจากคดีนี้อยู่บ้างก็ตรงที่ว่า หากระบบยุติธรรมของเราตัดสินชัดเจนว่าการกระทำของนักการเมืองทำนองนี้ไม่ชอบ และมีโทษที่รุนแรง อาจจะเป็นอุทาหรณ์ให้นักการเมืองของเราประพฤติปฏิบัติตนให้ถูกต้อง ตรงไปตรงมา เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศได้
บทความโดย :
เมธี ครองแก้ว
หมายเหตุ ผู้เขียนได้ลองถาม ChatGPT ว่าการออกพีเอ็นโดยไม่มีดอกเบี้ยและวันครบชำระคืนทำได้หรือไม่ ก็ได้รับคำตอบดังนี้
การซื้อหุ้นของ นางสาวแพทองธาร จาก ญาติพี่น้อง โดยออกเป็น ตั๋วสัญญาใช้เงิน (Promissory Note) ที่ ไม่มีดอกเบี้ย และ กำหนดการชำระเงิน ทำได้ตามหลักการทั่วไป แต่จะต้องคำนึงถึงข้อกฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะในด้านภาษีและการปฏิบัติตามข้อกำหนดของ กฎหมายหลักทรัพย์ และ การค้าหุ้น ดังนี้:
1. ตั๋วสัญญาใช้เงิน:
- เป็นเอกสารทางการเงินที่แสดงการตกลงชำระหนี้ระหว่างบุคคล โดยสามารถทำได้โดยตกลงกันระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย โดยทั่วไปแล้วการออกตั๋วสัญญาใช้เงินจะต้องมีรายละเอียด เช่น จำนวนเงินที่ต้องชำระ วันครบกำหนดชำระ เงินต้น และดอกเบี้ย (ถ้ามี)
- ในกรณีที่ไม่มีดอกเบี้ย การทำข้อตกลงเช่นนี้ก็สามารถทำได้ แต่การไม่มีดอกเบี้ยอาจมีผลต่อการคำนวณภาษี และอาจต้องพิจารณาว่ามีผลต่อ ภาษีเงินได้ หรือ ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ในกรณีที่มีการทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับการค้าหุ้น
2. การกำหนดการชำระเงิน:
- การกำหนดการชำระเงินเป็นงวดๆ (Installments) ก็สามารถทำได้ตามที่ตกลงกันในข้อตกลงระหว่างบุคคล โดยอาจกำหนดระยะเวลาและเงื่อนไขการชำระเงินที่ทั้งสองฝ่ายตกลงกันได้
- หากมีการซื้อขายหุ้นและกำหนดการชำระเงินไม่เสร็จสิ้นในทันที การชำระเงินแบบงวดอาจส่งผลต่อการจัดการภาษี และการรายงานการชำระหนี้ตามข้อกฎหมาย
3. การซื้อขายหุ้นและข้อบังคับจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง:
- หากการซื้อหุ้นดังกล่าวเกี่ยวข้องกับการซื้อหุ้นในบริษัทจดทะเบียนหรือบริษัทที่มีการควบคุมทางกฎหมาย เช่น การดำเนินการตาม กฎหมายหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) จำเป็นต้องปฏิบัติตามข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง เช่น การเปิดเผยข้อมูล การได้รับอนุญาต ฯลฯ
- ควรตรวจสอบว่าการซื้อหุ้นดังกล่าวไม่ละเมิดกฎหมายการซื้อขายหุ้นและข้อบังคับอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
ข้อควรระวัง: แม้จะสามารถทำได้ แต่ยังคงต้องคำนึงถึงการเสียภาษีจากผลกำไรที่เกิดจากการซื้อขายหุ้นและผลกระทบจากการทำธุรกรรมที่ไม่มีดอกเบี้ย ซึ่งอาจถูกมองว่าเป็นการทำธุรกรรมที่มีการหลีกเลี่ยงภาษีในบางกรณี

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา