
"...ทั้ง 3 ตัวอย่าง แม้เป็นกรณีเล็กๆไม่ได้มีผลกระทบใหญ่โตอย่างกรณีป่วยทิพย์ชั้น 14 แต่เป็นพฤติกรรมที่ฝ่าฝืนจรรยาแพทย์ ไม่ได้ปฏิบัติให้เป็นไปตามมาตรฐานในการรักษาผู้ป่วย แต่แพยสภาก็ต้องลงโทษตามกฎหมาย ส่วนจะหนักจะเบา คงขึ้นอยู่กับพฤติกรรมและเจตนาของผู้ถูกร้อง..."
ตอนที่แล้วเขียนถึงเหตุผลที่นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะสภานายกพิเศษ แพทยสภา ได้ทำความเห็นยับยั้ง หรือ วีโต้ มติแพทยสภา ที่ให้ลงโทษแพทย์สามรายกรณีป่วยทิพย์ ของ นายทักษิณ ชินวัตร เพื่อจะได้พักรักษาตัวที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ โดยไม่ต้องถูกจองจำในเรือนจำโดยอ้างหลักการพื้นฐานในการพิจารณาว่า
"ต้องนําข้อเท็จจริงอันเกี่ยวกับความเสียหายหรือผลกระทบอย่างใดอย่างหนึ่งของผู้ป่วยมาใช้ในการพิจารณาและวินิจฉัยเสมอ
"หากไม่แล้วการพิจารณาและวินิจฉัยดังกล่าวย่อมมีลักษณะเป็นการใช้ดุลพินิจโดยมิชอบด้วยกฎหมาย"
การอ้างหลักการดังกล่าว แม้ดูสวยหรูว่า แพทย์ต้องมีความผิดชอบอย่างเต็มที่ต่อผู้ป่วย แต่ทำให้เกิดคำถามว่า ถ้าแพทย์ต้องทำตามความต้องการของผู้ป่วยที่ฉ้อฉลเพื่อหลีกเลี่ยงการรับโทษหรือถูกจองจำตามกฎหมาย แพทยสภาจะไม่สามารถลงโทษแพทย์รายดังกล่าวได้เลย
ถ้าเป็นอย่างที่นายสมศักดิ์กล่าวอ้าง นับเป็นตรรกะวิบัติโดยแท้ เพราะถ้าปล่อยให้มีการช่วยเหลือผู้ป่วยฉ้อฉลได้โดยไม่ถูกลงโทษ ในทางตรงกันข้ามเป็นการสร้างความเสียหายแก่รัฐ สาธารณะและประชาชนอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
ต่อไปนี้เป็นกรณีตัวอย่างที่แพทย์กระทำการฝ่าฝืนจรรยาแพทย์เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วย ผู้มารับการรักษาโดยการออกใบรับรองแพทย์เท็จ หรือในลักษณะเดียวกัน ซึ่งแพทยสภาได้มีมติลงโทษ
กรณีที่ 1
ในฐานะผู้ดำเนินการสถานพยาบาลและเป็นแพทย์ผู้ปฏิบัติงานประจำสถานพยาบาลเอกชนได้ลงลายมือชื่อในใบรับรองแพทย์ 5 โรคไว้ก่อนล่วงหน้า โดยให้เหตุผลว่า เพื่อความสะดวกและรวดเร็วในการให้บริการ ทำให้เกิดเหตุที่พนักงานคลินิกได้นำใบรับรองแพทย์ดังกล่าวมากรอกชื่อ-สกุลของผู้ป่วย โดยไม่ได้ให้ผู้ป่วยเข้ารับการตรวจกับผู้ถูกร้อง
ประกอบกับเมื่อผู้ป่วยไม่สามารถนำใบรับรองแพทย์ 5 โรค ไปใช้กับสำนักงานขนส่งได้ เนื่องจากเป็นคนละแบบฟอร์มกับที่ใช้ทำใบขับขี่ ผู้ป่วยจึงได้กลับมาเปลี่ยนที่คลินิกด้วยอารมณ์โกรธ
แพทย์เห็นดังนั้นจึงตัดสินใจออกใบรับรองแพทย์ฉบับใหม่ให้ผู้ป่วยไปโดยไม่ได้ตรวจร่างกายผู้ป่วย
เมื่อใบรับรองแพทย์ เป็นเอกสารสำคัญทางการแพทย์ที่ใช้เพื่อรับรองสุขภาพร่างกายและจิตใจของผู้ป่วย เพื่อผู้ป่วยจะได้นำไปใช้ยื่นประกอบการพิจารณากฎเกณฑ์ต่างๆ จึงมีผลกระทบต่อหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
การออกใบรับรองแพทย์จึงเป็นการยืนยันข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสุขภาพร่างกายและจิตใจของผู้ป่วย ซึ่งแพทย์สมควรต้องใช้ความระมัดระวังและไม่ควรออกใบรับรองแพทย์ไปโดยที่ยังไม่ได้ทำการตรวจร่างกายผู้ป่วย และยิ่งไม่ควรลงลายมือชื่อในใบรับรองแพทย์ไว้ก่อน เพราะหากมีการนำใบรับรองแพทย์ดังกล่าวไปใช้อาจทำให้เกิดความเสียหายขึ้นกับผู้ป่วยหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องได้
กรณีที่ 2
ผู้ถูกร้องในฐานะแพทย์เจ้าของไข้ผู้ป่วยรายนี้ ย่อมทราบดีว่า ผู้ป่วยเสียชีวิตไปแล้ว การที่ผู้ถูกร้องออกใบรับรองแพทย์ปรากฏชื่อผู้ป่วยภายหลังการเสียชีวิตประมาณ 5 ปี และปรากฏคำว่า ตรวจเมื่อวันที่ 10 กุมพาพันธ์ 2564 เวลา 14.54 น. ทั้งที่ผู้ถูกร้องไม่มีการตรวจผู้ป่วยจริงนั้น สามารถก่อให้เกิดความเข้าใจผิดแก่บุคคลทั่วไปได้ว่า ผู้ถูกร้องมีการตรวจผู้ป่วยในวันที่ลงในใบรับรองแพทย์
กรณีที่ 3
การที่ผู้ถูกร้องออกใบรับรองแพทย์ให้กับผู้สมัครเข้ารับการเลือกตั้งเป็นกรรมการชุมชนxxxxxx จำนวน 14 คน เพื่อนำไปประกอบการสมัครเข้ารับการเลือกตั้งเป็นกรรมการชุมชนxxxxxxxxxx กับสำนักงานเขตyyyyyy โดยไม่มีการบันทึกประวัติการดูแลรักษาของผู้สมัครแต่ละรายไว้ ทำให้ไม่มีหลักฐานว่า ผู้สมัครได้มาตรวจร่างกายกับผู้ถูกร้องก่อนออกใบรับรองแพทย์จริง ซึ่งไม่เป็นไปตามมาตรฐานการประกอบวิชาชีพเวชกรรม
แม้ผู้ถูกร้องจะชี้แจงว่า หัวหน้าผู้สมัครได้นำบัตรประชาชนมายื่นพร้อมกันในตอนแรก เพื่อให้ผู้ช่วยทำคลินิกเขียนเอกสารที่มีชื่อ-นามสกุลในวันเดียวกัน แต่ช่วงเวลานั้นมีโรคโควิดระบาดจึงไม่สามารถให้คนมาตรวจพร้อมกัน เนื่องจากหลีกเลี่ยงความแออัด แต่ให้ทยอยมาตรวจจนครบ 14 คน ส่วนหลักฐานการตรวจร่างกายไม่ได้บันทึกไว้ เพราะไม่ได้เป็นผู้ป่วย เมื่อตรวจเสร็จได้ออกใบรับรองแพทย์กับผู้สมัครไปโดยไม่ได้สำเนาเอาไว้
หลังจากได้ใบรับรองแพทย์ ทางผู้สมัครได้ยื่นใบสมัครต่อคณะกรรมการเลือกตั้งคณะกรรมการชุมชนxxxxxxxx ซึ่งทางคณะกรรมการไม่ได้มีการโต้แย้งแต่อย่างใด และได้ดำเนินการเลือกตั้งจนเสร็จสิ้น ซึ่งขัดแย้งกับคำชี้แจงของผู้ช่วยแพทย์ในสถานพยาบาลคลินิกเวชกรรมzzzzzzของผู้ถูกร้องที่ชี้แจงว่า นายช. มิได้นำตัวผู้ป่วยมารับการตรวจแต่อย่างใด มีเพียงนาง ป. ที่นำเอกสารบัตรประชาชน 14 ใบ มาส่งให้เพื่อลงรายละเอียดการตรวจแล้วมอบให้ผู้ถูกร้องลงนาม และสอดคล้องกับคำให้การของผู้สมัครคนหนึ่งในกลุ่มของผู้ร้อง
ประจักษ์พยานที่อยู่ในเหตุการณ์ในวันนั้นที่ให้การยืนยันว่าในวันดังกล่าว ไม่พบว่ามีผู้สมัครทั้ง 14 คน มารับการตรวจกับผู้ถูกร้องที่สถานพยาบาลคลินิกเวชกรรมzzzzzzแต่
อย่างใด มีเพียงนาย ช. ผู้สมัครรับเลือกตั้งฝ่ายตรงข้ามยื่นเอกสารคล้ายบัตรประจำตัวประชาชนจำนวนหลายใบให้นาง ป. นำไปยื่นกับผู้ช่วยแพทย์ของสถานพยาบาลดังกล่าว จากนั้นผู้ช่วยแพทย์ได้กรอกข้อความบัตรลงในเอกสาร ซึ่งเข้าใจว่าเป็นใบรับรองแพทย์จนเสร็จสิ้นทุกใบแล้ว จึงไปมอบให้ผู้ถูกร้องเป็นผู้ลงชื่อรับรองผลการตรวจแล้วมอบให้นางป.รับเอกสารทั้งหมดคืนไป อีกทั้งผู้ถูกร้องก็ไม่สามารถนำพยานหลักฐานหรือข้อเท็จจริงอื่นใดที่มาแสดงให้เห็นได้ว่ามีการตรวจผู้รับสมัครก่อนออกใบรับรองแพทย์จริง
ทั้ง 3 ตัวอย่าง แม้เป็นกรณีเล็กๆไม่ได้มีผลกระทบใหญ่โตอย่างกรณีป่วยทิพย์ชั้น 14 แต่เป็นพฤติกรรมที่ฝ่าฝืนจรรยาแพทย์ ไม่ได้ปฏิบัติให้เป็นไปตามมาตรฐานในการรักษาผู้ป่วย แต่แพยสภาก็ต้องลงโทษตามกฎหมาย ส่วนจะหนักจะเบา คงขึ้นอยู่กับพฤติกรรมและเจตนาของผู้ถูกร้อง
แต่สำหรักกรณีป่วยทิพย์ชั้น 14 ของนายทักษิณ ชินวัตร ถ้าแพทย์ที่ถูกกล่าวหากระทำการเช่นนั้นจริง ได้สร้างผลกระทบและความเสียหายต่อความน่าเชื่อถือต่อกระบวนการยุติธรรมอย่างรุนแรง
ที่สำคัญถ้าปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านเลยไปโดยไม่ดำเนินการให้เป็นเยี่ยงอย่าง ต่อไปใบรับรองแพทย์คงไม่มีความน่าเชื่อถือ มีค่าน้อยกว่ากระดาษชำระเสียอีก
อ่านประกอบ : ฉบับเต็ม! 'สมศักดิ์' วีโต้มติแพทยสภากรณี 3 หมอ ชั้น 14 'ไม่ผิด-โทษหนักเกินไป'


Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา