มันไม่ใช่ว่าเป็นกลางอย่างเดียว เราต้องเข้าข้างกฏหมายระหว่างประเทศ เราก็ต้องเข้าข้างหลักการที่ถูกต้อง แต่เราต้องการจะพูดว่าเราไม่ใช่คู่ขัดแย้ง ซึ่งอันเนี้ยเราต้องระมัดระวัง แต่ว่าภาษาไทยพูดว่าเป็นกลางรู้สึกสบายใจ เราต้องรู้จักหาเพื่อนมากกว่านี้ เรายังหาเพื่อนได้ไม่มากพอ เพื่อนที่เราคิดเป็นเพื่อนเก่าของเราหลายๆครั้งก็ไปโหวตให้คนอื่น เราต้องมีความคิดริเริ่มใหม่ๆ เราก็จะอยู่ในเรดาร์สตรีม ทุกคนก็อยากรู้ว่าประเทศไทยคิดอะไร
หมายเหตุสำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org): เมื่อวันเสาร์ที่ 14 มิ.ย.ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย นายกสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ทำหน้าที่เป็นวิทยากรบรรยายในหัวข้อ “อนาคตประเทศไทยภายใต้โลกแห่งความผันผวน” โดยการบรรยายดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรผู้บริหารยุทธศาสตร์การสื่อสารมวลชนระดับสูง (บยสส.) รุ่นที่ 4 โดยบรรยายตั้งแต่เวลา 11.00 - 12.00 น. ณ ห้องบงกชรัตน์ บี ชั้น 2 โรงแรมรอยัล ริเวอร์ บางพลัด กรุงเทพฯ
สำนักข่าวอิศราจึงได้นำเสนอรายละเอียดบรรยายในหลุายประเด็น โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทยมีรายละเอียดดังนี้
นโยบายต่างประเทศของสหรัฐอเมริกาเป็นนโยบายรักชาติ เราชอบพูดว่าไทยเป็นประเทศสนธิสัญญาที่เก่าที่สุดกับอเมริกา แต่ท่านดูก็แล้วกันว่าประเทศที่เขาใกล้ชิดกับอเมริกามากกว่าเขาเจออะไร
แคนาดา ใกล้ชิดกันทั้งเศรษฐกิจทั้งการเมืองและความมั่นคง เขาจะเอาเป็นรัฐที่ 51อังกฤษก็โดนภาษีเข้าไป ออสเตรเลีย น่าสนใจที่สุดอยู่ในกลุ่มออร์คัส ร่วมกับอังกฤษ รวมกันต้านจีนและออสเตรเลียเนี่ยขาดดุลอเมริกา ก็โดนภาษี 10%
เพราะฉะนั้นไทยจะไปอ้างว่าเราเก่าแก่ ทรัมป์เขาไม่ฟัง
มันมีภาษีต่อต้านการทุ่มตลาดที่รออยู่สําหรับโซลาร์เซลล์ของเรา ซึ่งถือว่าจีนเป็นคนละลงทุน ก็โดนภาษีไป 375% กับกัมพูชาเนี่ย 3,500% นะครับ มาเลเซียก็ 200% กว่าเวียดนามก็200- 300% เหมือนกัน เขายังมีอีกหลายกฎหมายของอเมริกาที่จะเอามาเอามาใช้ได้ในเรื่องของเทคโนโลยี
เศรษฐกิจการเมือง ผู้จะได้รับผลประโยชน์มาจะต้องมาเปิดประตู เมื่อก่อนมาคุยกันว่าอะไรยังไงเดี๋ยวนี้ไม่ใช่แบบนั้น เดี๋ยวนี้คือฉันอยากได้ต้องได้ อย่างเช่นอยากได้คลองปานามาคืนเพราะ จีนได้ประโยชน์ไปนานแล้วครับ อยากได้กรีนแลนด์ อยากให้มีการการันตีรักษาความปลอดภัยให้ยูเครน ก็ต้องให้แรร์เอิร์ธฉันสิ ขอเข้าไปบริหารโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ อ้างว่ารัสเซียจะไม่เข้ามาแน่
ตอนผมเป็นรัฐมนตรี มีการบูรณะอัฟกานิสถานหรือว่าหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ถึงขนาดที่สมาคมผู้ก่อสร้างไทย ซึ่งผมบอกว่าเราเป็นความสัมพันธ์ที่ดีในอเมริกา นะ ไปประมูลโครงการเหล่านี้เลย
แต่ว่ายูเครนเนี่ยพังมากกว่าอิรักและอัฟกานิสถานไม่รู้กี่เท่า เขาเปิดตัวเลขมาแล้ว ว่าเป็นล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ใครได้ บริษัทของประเทศไหนจะได้ก็ลองไปคิดดู
อเมริกากําลังทำให้เรื่องพหุภาคีให้ เป็นเรื่องฝ่ายเดียว อเมริกากับจีนก็คงรบกันเป็นอย่างนี้ นี่คือโลกที่เราจะอยู่ต่อไป เพราะว่าถึงแม้เดโมแครตจะไม่เห็นด้วยกับรีพับลิกัน ไม่เห็นด้วยกับทรัมป์เลย แต่เรื่องจีนเนี่ยสองพรรคเขาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เพราะสมัยไบเดนเองก็ฟัดกับจีนสู้กับจีนมาตลอด
นโยบายภายในของสหรัฐฯที่เราคิดว่าไม่เกี่ยวกับเราเลยอันนี้เป็นแค่ตัวอย่างว่ามันเกี่ยว นโยบายคนเข้าเมืองที่บีบคนเข้าเมืองทั้งหลายจะทําให้คนเข้าเมืองซึ่งไปทําความเจริญให้สหรัฐฯ มากมายเนี่ย ในที่สุดออกจากสหรัฐฯ
เรื่องการศึกษา ตอนนี้เด็กต่างชาติจำนวน 7,000 คน จู่ๆก็จะถูกลอยแพ เพราะฉะนั้นผมคิดว่าประเทศไทยต้องคิดในมุมที่ว่าคือเราต้องผูกกับมหาวิทยาลัยในสหรัฐฯเพื่อให้คนจีนหรือคนที่ไปเรียนในสหรัฐฯ ไม่ได้มาเรียนในระบบการศึกษาแบบประเทศอเมริกา ที่ประเทศไทย
ขณะเดียวกัน ผมก็ได้คุยกับผู้ใหญ่ฝ่ายจีนว่าขอให้ปักกิ่งมาเปิดแคมปัสที่ไทยเพื่อที่ว่านักศึกษาจากอเมริกาไปจีนไม่ได้เพราะว่ากลับไปจีนแล้วจะกลับไปประเทศตัวเองไม่ได้ จะได้มาเรียนการศึกษาจากจีนร่วมกับสถาบันการศึกษาไทย
ผลต่อไทยท่านทราบดีอยู่แล้ว เรื่องส่งออก เรื่องการหาตลาดใหม่
แต่ผมขอติงไว้นิดเดียวว่ามันไม่ง่ายอย่างที่คิดเวลาเราบอกว่าเราต้องหาตลาดใหม่เพราะว่าตลาดอเมริกาเป็น1 ใน 3 อย่าลืมว่าอีก 1990ประเทศเขาพูดเหมือนเราเหมือนกัน เขาก็บอกเขาจะหาตลาดใหม่และประเทศไทยก็เป็นตลาดใหม่ของ 190 ประเทศนั้น
เพราะฉะนั้นสินค้าจากประเทศที่เขาจะหาตลาดใหม่รวมทั้งสินค้าจากจีนนี่เข้าไปอเมริกาไม่ได้ก็จะต้องถล่มเข้ามาในประเทศไทยในอนาคตอันใกล้นี้
การทําแพ็คเกจของเรานั้นยากมาก เพราะแต่ละกระทรวงเราไม่ได้ประสานกันแล้วเราก็ไม่มีใครที่จะสั่งภาคความมั่นคงกับภาคเศรษฐกิจ ภาคบริการได้แล้วก็ยังควบคุมกันได้คนละภาพ เพราะฉะนั้นการที่จะเสนอแพ็คเกจไปนั้นค่อนข้างจะยาก
เรื่องที่หนึ่งที่ต้องเรียนคือว่าสหรัฐฯ เขาสนใจเรื่องเมียนมา ถ้าเราสามารถเป็นผู้นําเพราะเราเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิด มีความสัมพันธ์ที่ดีกับทั้งชนกลุ่มน้อย ถ้าเราดึงเมียนมาขึ้นมาให้มีการเสวนากันทุกฝ่ายมีส่วนร่วมเพื่อนําไปสู่การเลือกตั้งที่ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมได้ ผมว่าอันนี้เขาอยากฟัง
แต่เรากลับไม่ค่อยมีบทบาทในทางสร้างสรรค์ในการที่จะให้ยุติการสู้รบกันในเมียนมา แล้วก็ในการที่จะดึงเมียนมากลับเข้าสู่กระบวนการประชาธิปไตย
เรื่องที่ 2 คือเรื่องอุยกูร์ ที่นายมาร์โก รูบิโอบอกว่าอย่าส่งไปที่จีน แต่พอเขาขึ้นมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ เราก็ส่งตัวชาวอุยกูร์ไปที่จีน ซึ่งเท่ากันเป็นการตบหน้าเขา ทำไมเราไม่เก็บเขาไว้อีกสามเดือน สี่เดือน ทั้งๆที่เราเก็บเขามาได้ตั้งเป็นสิบปี แต่เรากลับส่งตัวชาวอุยกูร์ก่อนที่เราจะได้นัดหมายกับทางฝ่ายสหรัฐฯ เราก็เลยยังไม่ได้นัดหมาย แล้วก็ไม่แน่ใจว่าคณะรัฐมนตรีเรา บุคคลที่เกี่ยวข้องกับฝ่ายความมั่นคงเราถูกดึงวีซ่าไปมากน้อยแค่ไหน
เรื่องที่ 3 คือเรื่องสิทธิมนุษยชน ที่เกิดกับนายพอล แชมเบอร์ส พี่ชายของนายแชมเบอร์สเคยไปพูดที่วุฒิสภาของสหรัฐฯ และรัฐมนตรีต่างประเทศเขาก็บอกเลยว่าประเทศที่ไม่ได้เคารพต่อหลักสิทธิมนุษยชน จะต้องมีมาตรการตอบโต้ พี่ชายเขาบอกก่อนหน้านี้เลยว่าถ้าน้องเขาไม่ได้ถูกปล่อยตัวจากประเทศไทย ไทยจะไมได้วันนัดกับทางสหรัฐฯ ซึ่งจริงแค่ไหนไม่รู้
ผมเชื่อว่ารัฐบาลไทยก็พยายามล็อบบี้กับทางทรัมป์พอสมควร ไม่ว่าทั้งการไปบอกว่าจะไปลงทุนในรัฐที่เป็นฐานเสียงของพรรครีพับลิกัน ซึ่งเรื่องนี้มันก็ดี เราต้องเข้าใจการเมืองของสหรัฐอเมริกา เราต้องไปหาคนที่เขาเขียนสรุปให้กับประธานาธิบดีสหรัฐฯ เพื่อให้บอกว่าประเทศไทยนั้นดี เพราะเขาคงไม่มีเวลามาอ่านรายละเอียดทั้งหมดเกี่ยวกับเรา
ไทย เป็นสะพานเชื่อม มียุทธศาสตร์ที่ตั้ง มีทั้งการทูตที่ยืดหยุ่น ไทยคือประเทศที่ไว้ใจได้ภูมิภาคนี้ ผมว่านี่เวลาที่ทั้งภาคเอกชนและภาครัฐ เวลาคุยกับสหรัฐฯต้องเปิดเรื่องนี้
เราต้องเดินเข้าสู่ co-create partnership เราต้องคิดใหม่เกี่ยวกับเรื่องหุ้นส่วน ผมได้เสนอไปว่าควรจะมี
การหารือเชิงยุทธศาสตร์ไทย-สหรัฐฯในทศวรรษข้างหน้า ซึ่งได้เสนอในที่ประชุมสัมมนาไปแล้ว
ผู้แทนรัฐบาลไทยก็นั่งอยู่ แล้วอเมริกาก็เห็นด้วย จะได้เอาเรื่องใหม่ใหม่เข้ามาคิด ไม่ใช่ไปพูดถึงแต่เรื่อง
ความสัมพันธ์เก่าแก่ที่สุดในประเทศ
เราชอบพูดว่าเราลู่ตามลม แต่ผมก็ตั้งสังเกตไว้อย่างนึงว่าลู่ตามลมตอนนี้มันลําบากมาก เพราะลมมันมาหลายทาง มันไม่ใช่สมัยก่อนที่ประชาธิปไตย หรือจะไปคอมมิวนิสต์ ลู่ตามลมคงจะกันไม่ได้ เราคงต้องมีจุดยืนที่เป็นที่เคารพ จุดยืนที่เป็นพื้นที่ยอมรับจากทั้งมหาอํานาจและเพื่อนบ้าน
ผมว่าตอนนี้เพื่อนบ้านไม่เกรงใจเราแล้ว เมียนมา จับชาวประมงเราไป 3-4 เดือนกว่าจะปล่อยออกมา
ถ้าไม่เป็นเพราะว่าเขาต้องมาประชุมที่เมืองไทย ผมว่าเขาก็คงไม่ปล่อย กัมพูชาก็ไม่ได้เกรงใจ
มาเลเซีย เกรงใจหรือเปล่าไม่ทราบ ก็ดูปัญหาภาคใต้แล้วกัน
เราต้องระวังตัวกับคำว่า เป็นกลาง เราชอบพูดกับว่าเป็นกลาง ภาษาไทยฟังแล้วดูดี
แต่กับภาษาอังกฤษ แปลออกมาแล้วกลายเป็น neutral
สมัยผมเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศเป็นรองนายกฯ เวลาเราบอกว่าเราเป็นกลางนะ รัฐมนตรีต่างประเทศอเมริกา โทรมาถามว่าเป็นกลางเรื่องก่อการร้ายหรอ ตอนที่ตึกเวิร์ลเทรดถล่ม
เพราะฉะนั้นมันไม่ใช่ว่าเป็นกลางอย่างเดียว เราต้องเข้าข้างกฏหมายระหว่างประเทศ เราก็ต้องเข้าข้างหลักการที่ถูกต้อง แต่เราต้องการจะพูดว่าเราไม่ใช่คู่ขัดแย้ง ซึ่งอันเนี้ยเราต้องระมัดระวัง แต่ว่าภาษาไทยพูดว่า เป็นกลาง รู้สึกสบายใจเราต้องรู้จักหาเพื่อนมากกว่านี้ เรายังหาเพื่อนได้ไม่มากพอ เพื่อนที่เราคิดเป็นเพื่อนเก่าของเราหลายๆครั้งก็ไปโหวตให้คนอื่น เราต้องมีความคิดริเริ่มใหม่ๆ เราก็จะอยู่ในเรดาร์สตรีม ทุกคนก็อยากรู้ว่าประเทศไทยคิดอะไร
เวลานี้ความคิดใหม่ๆของเราเนี่ย ผมคิดว่ามันต้องทําให้มากขึ้นในโลกที่มีความเปลี่ยนแปลงขนาดนี้
เราต้องรู้จักการวางยุทธศาสตร์กลยุทธ์และนโยบายต่างประเทศ จะเจรจากับกัมพูชา จุดอ่อนของเขาคืออะไร จุดอ่อนของเราคืออะไร ยุทธศาสตร์คืออะไร กลยุทธ์คืออะไรและนโยบายต่างประเทศคืออะไร นโยบายทางทหารคืออะไร ผมไม่แน่ใจว่าเราทำเรื่องนี้ได้ดีพอในช่วงที่ผ่านมา
เราต้องเข้าถึงจีนรายมณฑล เข้าถึงอินเดียรายรัฐและเข้าถึงการเมืองที่สภาคองเกรส เราต้องปรับตัวให้เข้ากับระเบียบโลกที่เปลี่ยนไป
เรายังคิดอยู่หรือไม่ว่าเจรจาการค้าจบก็กลับไปเหมือนเดิม เรายังคิดว่าอิหร่าน-อิสราเอล รบกันแล้วก็กลับไปเหมือนเดิม เรายังคิดอยู่หรือเปล่าว่าเหตุการณ์ระหว่างสหรัฐฯกับจีน ในที่สุดก็คงจะจบกันไปได้ แล้วเราจะร่วมมือกับใครในภาวะระเบียบโลกใหม่นี้
เราไม่ควรจะเป็นผู้สังเกตุการณ์ แต่เราต้องเป็นผู้แทนในการเปลี่ยนแปลงนี้ด้วย