"...พรรคประชาชน เรียกร้องให้ยุบสภา เพื่อให้ประชาชนตัดสิน แต่อำนาจการเสนอให้ยุบสภาเป็นของนายกรัฐมนตรีหรือรักษาการแทน และมีทีท่าว่าจะไม่ยุบสภาและไม่ลาออก พรรคประชาชนจึงเสนอเงื่อนไขใหม่ว่าตนพร้อมสนับสนุนให้พรรคใดก็ได้เป็นรัฐบาลแทนพรรคเพื่อไทย แต่มีเงื่อนไขให้ยุบสภา รวมถึงเงื่อนไขอื่น..."
1. อำนาจยุบสภา
ขณะนี้ปรากฏข่าวตามสื่อต่าง ๆ ว่าคนไทยกำลังถกเถียงกันอย่างขะมักเขม้นว่า “ใคร” มีอำนาจยุบสภา แต่ถ้าดูทฤษฎีรัฐธรรมนูญ (constitutional theory) ประกอบกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 จะได้ความกระจ่าง
1.1 ทฤษฎีรัฐธรรมนูญ
หนังสือ ชื่อ “Constitutional Theory” ของคาร์ล ชมิดต์ (Carl Scmitt) เป็นหนังสือหลักเล่มหนึ่งที่อธิบายหลักรัฐธรรมนูญของเยอรมันเอาไว้ ประเทศไทยรับเอาหลักรัฐธรรมเยอรมันมาใช้ในรัฐธรรมนูญไทยหลายส่วนมาก
หนังสือเล่มนี้อธิบายถึงหลัก “เร็ทสต๊าด” (rechtsstaat) ว่าเป็นหลักสำคัญที่สุดของกฎหมายรัฐธรรมนูญสมัยใหม่ ตรงตัวแปลว่า “รัฐแห่งกฎหมาย” ภาษาไทยแปลกันว่า “นิติรัฐ”
ความจริง คำว่า “เร็ทสต๊าด” มีความหมายครอบคลุมกว่าหลักนิติธรรม (rule of law) ของอังกฤษ เพราะหมายถึงทั้ง (1) หลักนิติธรรม (rule of law) (2) หลักความชอบด้วยกฎหมาย (legality) (3) หลักการแบ่งแยกอำนาจ (separation of power) และ (4) หลักการคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐาน (protection of fundamental rights)
รัฐธรรมนูญของประเทศยุโรปสมัยใหม่ โดยเฉพาะเยอรมนี จึงมีหลักมากกว่าความชอบด้วยกฎหมาย (legality) และเกี่ยวพันกับ “การเมือง” อย่างไม่ต้องสงสัย เพราะรัฐธรรมนูญเป็นการวางกฎหมายพื้นฐาน (basic law) สำหรับการปกครองบ้านเมืองและเกี่ยวพันกับการกำหนดอำนาจทางการเมือง
นอกจากนั้น ยังแยกไม่ออกจากปรัชญาการเมือง (political philosophy) และจริยศาสตร์ (ethics)
เพียงแต่เมื่อเกิดปัญหาข้อขัดแย้งเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ ต้องมีคนชี้ขาด จึงต้องยึดหลักกฎหมายบ้านเมือง (positive law) มิฉะนั้นการตัดสินของศาลจะไม่เป็นที่ยุติ
สำหรับศาลรัฐธรรมนูญ อำนาจของศาลรัฐธรรมนูญที่สำคัญอยู่ที่การชี้ขาดกฎหมายรัฐธรรมนูญ ซึ่งทางหลักรัฐธรรมนูญหมายถึงอำนาจในการตีความ (interpretation) นั่นเอง
เมื่อศาลวินิจฉัยแล้ว ก็ต้องเกิดผล “การได้” และ “การเสีย” ทว่าก่อนที่ศาลจะตัดสิน ศาลต้องระมัดระวังโดยชั่งน้ำหนักระหว่างสิทธิของปัจเจกชนกับสิทธิของสาธารณะ ซึ่งที่จริงหลักการชั่งน้ำหนักสิทธิหรือที่เรียกว่า “ความได้สัดส่วน” (proportionality) มีรากมาจากหลักสิทธิมนุษยชนตามกฎหมายจารีตประเพณีของอังกฤษ
ประเทศไทยนำมาใช้ โดยเปลี่ยนถ้อยคำมาเป็นการชั่งน้ำหนักกระหว่าง “ผลประโยชน์ส่วนตัว” กับ”ผลประโยชน์สาธารณะ” ดังที่เห็นในคำอธิบายในตำรากฎหมายมหาชนและกฎหมายปกครอง ซึ่งก็คล้ายกัน แต่ไม่ตรงกับการชั่งน้ำหนักสิทธิทีเดียว เพราะไม่ได้เน้นการให้ความสำคัญกับ “สิทธิ” อันเป็นหลักใหญ่ของยุโรป ประการหนึ่ง กับการตีความคำว่า “ผลประโยชน์สาธารณะ” ของไทยกว้างขวางเกินไป อีกประการหนึ่ง
ส่วนเมื่อเกิดผลได้และผลเสียขึ้นแล้วนั้น ย่อมมีการโต้แย้งกันขึ้นเป็นธรรมดา สำหรับศาลรัฐธรรมนูญ การโต้แย้งอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญเป็นไปได้ 2 ทางใหญ่ ๆ ได้แก่ (1) การโต้แย้ง ”อำนาจ” ของศาลรัฐธรรมนูญ กับ (2) การโต้แย้ง “คำวินิจฉัย” ของศาลรัฐธรรมนูญ
(1) กรณีการโต้แย้ง “อำนาจ” ของศาลรัฐธรรมนูญ หากศาลใช้อำนาจโดยชอบตามรัฐธรรมนูญแล้ว ผู้แทนปวงชนไม่เห็นด้วยกับการใช้อำนาจนั้น บรรดาท่านผู้แทนปวงชนก็ต้องไปหาทาง “แก้รัฐธรรมนูญ”
(2) ส่วนการโต้แย้งคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ นั้น ต้องระมัดระวังว่า จำกัดให้โต้แย้งได้เฉพาะทางวิชาการในขอบเขตของทฤษฎีรัฐธรรมนูญ แต่จะไปโต้แย้งในทางอื่นไม่ได้ เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายเพราะเป็นการละเมิดอำนาจศาล เช่น การตำหนิติเตียน ด่าทอ หรือตราหน้าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ฯลฯ อันมีผลเป็นการด้อยค่าอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ
1.2 ใครมีอำนาจการยุบสภา
ในสถานการณ์ปัจจุบัน ประเทศไทยถกเถียงกันว่า “ใคร” มีอำนาจยุบสภา โดยประเด็นที่ถกเถียงกันมีสองประเด็น คือ นายกรัฐมนตรียุบสภา กับรักษาการแทนนายกรัฐมนตรียุบสภา ใครเป็นคนยุบสภา หรือพูดให้เจาะจง คือ ถ้านายกรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่ง รักษาการแทนนายกรัฐมนตรียุบสภาได้หรือไม่
แต่ถ้าดูตามทฤษฎีรัฐธรรมนูญตามหนังสือของคาร์ล ชมิดต์ อำนาจการยุบสภาแบ่งออกเป็น 5 ประเภท ได้แก่
(1) พระมหากษัตริย์ (the monarchy’s dissolution authority)
(2) ประธานาธิบดี (the presidential dissolution authority)
(3) นายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรี (the ministerial dissolution authority)
(4) สมาชิกสภา (self-dissolution of parliament)
(5) กระบวนการที่ประชาชนเข้าชื่อกัน (dissolution due to popular initiative)
ตามทฤษฎีรัฐธรรมนูญดังกล่าว เมื่อนำมาปรับกับรัฐธรรมไทย มาตรา 103 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 บัญญัติว่า
“พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจที่จะยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้มีการเลือกตั้งสมาชิกผู้แทนราษฎรใหม่เป็นการเลือกตั้งทั่วไป
การยุบสภาผู้แทนราษฎรให้กระทำโดยพระราชกฤษฎีกา และให้กระทำได้เพียงครั้งเดียวในเหตุการณ์เดียวกัน”
ตามมาตรา 103 ของรัฐธรรมนูญไทยจึงบัญญัติชัดว่า “พระมหากษัตริย์” มีอำนาจยุบสภาตามทฤษฎีรัฐธรรมนูญ
ดังนั้น ข้อที่ถกเถียงกันว่า “ต้องเฉพาะนายกรัฐมนตรีเท่านั้นที่ยุบสภา” หรือ “รักษาการแทนนายกรัฐมนตรียุบสภาก็ได้” จึงเป็นการตั้งข้อถกเถียงที่คลาดเคลื่อน
ที่ถูก ต้องตั้งข้อถกเถียงว่า “ใครจะเป็นผู้เสนอพระราชกฤษฎียุบสภา” หรือว่า “ผู้รักษาการแทน เสนอพระราชกฤษฎีกาให้ยุบสภา” ได้หรือไม่
คำตอบข้อนี้ ต้องดูว่า “รักษาการแทน” เสนอพระราชกฤษฎีกาธรรมดาทั่วไป อันไม่ใช่พระราชกฤษฎีกายุบสภา ได้หรือไม่ ประการหนึ่ง และหากคณะรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งแล้ว คนอื่น เช่น ปลัดกระทรวง จะเสนอพระราชกฤษฎีกาให้ยุบสภาได้หรือไม่
ดูประกอบได้จากมาตรา 168 วรรคหนึ่งของรัฐธรรมนูญไทย ซึ่งบัญญัติว่า
“ให้คณะรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปภายใต้เงื่อนไข ดังต่อไปนี้
(1) ในกรณีพ้นจากตำแหน่งตามมาตรา 167 (1) (2) หรือ (3) ให้อยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่ เว้นแต่ในกรณีที่นายกรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งตามมาตรา 167
(1) เพราะเหตุขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 98 หรือมาตรา 160 (4) หรือ (5) นายกรัฐมนตรีจะอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปมิได้
(2) ในกรณีจากตำแหน่งตามมาตรา 167 (4) คณะรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่งจะอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปมิได้”
มาตรา 168 วรรคสอง
“ในกรณีที่คณะรัฐมนตรีอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปไม่ได้ตาม (2) หรือคณะรัฐมนตรีที่อยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปลาออกทั้งคณะ และเป็นกรณีที่ไม่อาจดำเนินการตามมาตรา 158 และมาตรา 159 ได้ ไม่ว่าด้วยเหตุผลใด หรือยังดำเนินการตามมาตรา 158 และมาตรา 157 ไม่แล้วเสร็จ ให้ปลัดกระทรวงปฏิบัติหน้าที่แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงนั้น ๆ เฉพาะเท่าที่จำเป็นไปพลางก่อน โดยให้ปลัดกระทรวงคัดเลือกกันเองให้คนหนึ่งปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี”
ความตามมาตรา 168 วรรคแรก หมายความว่า ถ้านางสาวแพทองธาร ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเพราะเหตุขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้าม จะอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปมิได้ เพราะความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลง ซึ่งครอบคลุมถึงสถานะความเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมด้วย
ขณะเดียวกัน หากคณะรัฐมนตรีที่ต้องพ้นจากตำแหน่งเพราะความผิดโยกงบประมาณอันเป็นการกระทำที่ไม่ชอบตามกฎหมายตามเหตุมาตรา 144 ที่มีผู้ร้องและอยู่ในกระบวนพิจารณาในปัจจุบัน หากเป็นที่ยุติว่ามีความผิดตามมาตรา 144 คณะรัฐมนตรีต้องพ้นจากตำแหน่ง จะอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปไม่ได้เช่นเดียวกัน
มาตรา 168 วรรคสอง มีหมายความว่า เมื่อคณะรัฐมนตรีอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปไม่ได้ ก็ต้องให้ปลัดกระทรวงปฏิบัติหน้าที่แทนรัฐมนตรีเท่าที่จำเป็นไปพลางก่อน โดยให้ปลัดกระทรวงเลือกกันเองให้คนหนึ่งปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี
ทีนี้ถ้าสมมติว่า คณะรัฐมนตรีเข้ามาทำหน้าที่เพียงไม่กี่เดือน คณะรัฐมนตรีเกิดไปโยกงบประมาณและมีความผิดตามมาตรา 144 จนต้องพ้นจากตำแหน่ง และปลัดกระทรวงปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี พร้อมกับปลัดกระทรวงทุกกระทรวงเป็นรัฐมนตรีไปพลางก่อน
ถ้าสมมติต่ออีกว่า สภาผู้แทนราษฎรไปตกลงกันเสนอนายกรัฐมนตรีคนใหม่ไม่ได้ เพราะเสียงสนับสนุนไม่พอหรือไม่มีคนมีรายชื่อที่เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี หรือขาดคุณสมบัติอีก สภาผู้แทนราษฎรประสงค์ที่จะให้ยุบสภา จึงเสนอให้ปลัดกระทรวงที่ปฏิบัติหน้าที่เป็นนายกรัฐมนตรียุบสภา
ถ้าหากปลัดกระทรวงที่ปฏิบัติหน้าที่เป็นนายกรัฐมนตรีประสงค์ที่จะให้มีการยุบสภา เพื่อแก้ปัญหาการเมือง เพราะรู้ดีว่าตนเป็นข้าราชการประจำ ไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ไปพลางก่อนเป็นเวลานานเป็นปี ๆ ได้ ปลัดกระทรวงจะเสนอพระราชกฤษฎีกาขอให้ยุบสภาได้หรือไม่ เพราะว่ารัฐธรรมนูญไทยถือหลักอำนาจการยุบสภาเป็นของพระมหากษัตริย์ ไม่ได้ใช้หลักให้ประชาชนเข้าชื่อกัน หรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเสนอให้ยุบสภาตามทฤษฎีรัฐธรรมนูญ ขณะที่นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีพ้นสภาพไปแล้วและอยู่ปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้
คำตอบ คือ แม้แต่ปลัดกระทรวงที่ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรีตามมาตรา 168 วรรคสอง ก็สามารถเสนอพระราชกฤษฎีกายุบสภาพได้ เพราะว่านายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งไปหมดแล้ว
เมื่อแม้แต่ปลัดกระทรวงยังมีอำนาจเสนอพระราชกฤษฎีกาให้ยุบสภาได้ แล้วทำไมเมื่อนายกรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่ง แล้วรักษาการแทนนายกรัฐมนตรีจะเสนอพระราชกฤษฎีให้ยุบสภาไม่ได้
เหตุผลอีกประการหนึ่ง คือ พระราชกฤษฎีกานั้น โดยปกติทั่วไป เป็นอำนาจการเสนอของฝ่ายบริหาร และผู้ที่รักษาการแทนในตำแหน่งนั้น ๆ ของฝ่ายบริหารก็สามารถเสนอพระราชกฤษฎีกาได้อยู่แล้ว แต่อำนาจการตราพระราชกฤษฎีเป็นของพระมหากษัตริย์
คำตอบข้อนี้จึงน่าจะเป็นที่ยุติว่า
1. ผู้มีอำนาจยุบสภา คือ พระมหากษัตริย์
2. ผู้มีอำนาจเสนอพระราชกฤษฎีกา คือ ผู้มีอำนาจตามกฎหมายในการเสนอพระราชกฤษฎีกา อันอาจได้แก่ นายกรัฐมนตรี รักษาการแทนนายกรัฐมนตรี หรือแม้แต่ปลัดกระทรวงที่ปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี
เพียงแต่ต้องคำนึงถึงพระราชอำนาจ (royal prerogative) ด้วย เพราะย่อมเป็นพระบรมราชวินิจฉัยของพระมหากษัตริย์ เมื่อพระมหากษัตริย์มีพระบรมราชวินิจฉัยเป็นอย่างใด ย่อมเป็นไปตามนั้น
2. สถานการณ์ชิงไหวชิงพริบกันทางการเมืองในปัจจุบัน
เมื่อศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องและมีคำสั่งให้นางสาวแพทองธาร ชินวัตร หยุดปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ตามหลักกฎหมายบ้านเมือง (positive law) จะยึดคำสั่งศาล เมื่อศาลสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ย่อมไม่ครอบคลุมถึงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร
แต่ดังที่ผู้เขียนได้กล่าวแล้วว่าทฤษฎีรัฐธรรมนูญยึดหลักนิติรัฐหรือนิติธรรม
ตามหลักนิติธรรมของดวอร์กิน (Dworkin's Conception of the Rule of Law) หลักนิติธรรมต้องผนวกเอาสิทธิทางศีลธรรมและความยุติธรรมเข้ากับคำตัดสินของศาล (emphasizing the integration of moral rights and justice into legal adjudication)
เมื่อสมาชิกวุฒิสภาฟ้องมาแค่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ศาลก็ต้องตัดสินได้แค่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
แต่ประเด็นทางศีลธรรมและความยุติธรรม คือ ผู้รับผลผูกพันจากคำสั่งศาล อันได้แก่ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ต้องมีมโนธรรมสำนึกว่า “ตนถูกศาลสงสัยว่าไม่ซื่อสัตย์สุจริตและฝ่าฝืนจริยธรรมอย่างร้ายแรง” อันเป็นคุณสมบัติเฉพาะตัว
โดยมโนธรรมสำนึกของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร จึงต้องไม่เข้าไปร่วมถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม และไม่เข้าทำหน้าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม
อีกทั้งยังมีปัญหาข้อกฎหมายตามมาว่า หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้นางสาวแพทองธาร ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งต้องครอบคลุมไปถึงการพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมด้วยนั้น
การใดที่นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ได้กระทำไปในระหว่างที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม จะได้รับความคุ้มครองเพียงใด เพราะว่ามาตรา 82 วรรคสองของรัฐธรรมนูญ บัญญัติให้คุ้มครองเฉพาะตำแหน่งที่ถูกสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ คือ ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
แต่ตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม มิใช่เป็นตำแหน่งที่ศาลสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่
สถานการณ์ทางการเมืองไทยในปัจจุบันจึงเป็นสถานการณ์ที่ล่อแหลมและอันตรายต่อผลประโยชน์และสิทธิของสาธารณะ ได้แก่
1. รัฐมนตรีชุดใหม่ที่เพิ่งเข้าไปอาจมีอายุเพียง “เดือนเศษ ๆ” แต่เมื่อพ้นตำแหน่งก็ยังได้ขึ้นชื่อว่า “เป็นอดีตรัฐมนตรี” สามารถนำไปพิมพ์นามบัตรได้
2. พรรคการเมืองไทยแตกร้าวกันอย่างหนัก เช่น พรรคประชาธิปัตย์ ไม่เห็นด้วยกับความดื้อดึงของผู้บริหารที่เข้าร่วมรัฐบาล โดยไม่นำพาต่อกระแสสังคมและศีลธรรมสาธารณะ ผู้บริหารพรรคบางคนยืนหยัดและเด็ดเดี่ยวมากว่า ถ้าไม่ทำตามมติพรรคที่เข้าร่วมรัฐบาล สมัยหน้าก็จะไม่มีชื่อตนในพรรค ซึ่งสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์หลายคนมีความกังวลเป็นอย่างสูงว่า ถ้าไม่มีชื่อคนนี้อยู่ในพรรคแล้ว พรรคจะสูญสลาย
ส่วนพรรคไทยสร้างไทย ก็แยกพวกที่เป็นส.ส.ออกไปหนุนรัฐบาล และรับตำแหน่งรัฐมนตรี โดยไม่นำพาต่อหลักศีลธรรมใด ๆ ทั้งที่พรรคมีสถานะเป็นฝ่ายค้าน ขณะที่ฝ่ายรับ “งูเห่า” ก็คำนึงเฉพาะตัวเลขสนับสนุนในสภา
พรรครวมไทยสร้างชาติ ร้าวฉานอย่างหนัก แตกออกเป็นสองขั้ว แต่ทั้งสองขั้วยังเกาะติดกับตำแหน่งรัฐมนตรีอย่างเหนียวแน่น
พรรคกล้าธรรม เตรียม “งูเห่า” และ “เสบียงกรัง” ไว้จำนวนมาก
พรรคพลังประชารัฐ ประกาศแข่งขันเป็นนายกรัฐมนตรี หากนายกรัฐมนตรีสิ้นสภาพ
พรรคประชาชน เรียกร้องให้ยุบสภา เพื่อให้ประชาชนตัดสิน แต่อำนาจการเสนอให้ยุบสภาเป็นของนายกรัฐมนตรีหรือรักษาการแทน และมีทีท่าว่าจะไม่ยุบสภาและไม่ลาออก พรรคประชาชนจึงเสนอเงื่อนไขใหม่ว่าตนพร้อมสนับสนุนให้พรรคใดก็ได้เป็นรัฐบาลแทนพรรคเพื่อไทย แต่มีเงื่อนไขให้ยุบสภา รวมถึงเงื่อนไขอื่น
ส่วนพรรคภูมิใจไทย ถอนตัวจากฝ่ายรัฐบาลเป็นฝ่ายค้าน
พรรคเหล่าเตรียมการไว้อย่างไม่ประมาท ท่ามกลางกระแสความนิยมของรัฐบาลที่ลดลง น่าจะยกเว้นหรือทำท่าเป็นยกเว้นเฉพาะพรรคเพื่อไทย..
หมายเหตุ : ภาพประกอบจาก thaipost.net