
"...แล้วผู้ที่จะต้องร่วมรับผิดกับ ส.ส.พิเชษฐ์ มีใครบ้าง จะต้องกวาดกันหมดทั้งสภาล่าง สภาบน คณะกรรมาธิการ หรือทั้งทำเนียบรัฐบาล หรือไม่ ทุกคนจะต้องถูกสั่งให้พ้นจากหน้าที่ ถูกเพิกถอนสิทธิทางเมือง ถูกเรียกให้ชดใช้เงินคืน หรือถูกดำเนินการทางอาญา เช่นนั้นหรือ..."
การกระทำของนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จ.เชียงราย และรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 ในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ในส่วนของการเสนอของบประมาณ 3 โครงการ วงเงิน 594 ล้านบาท ของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ที่นายพิเชษฐ์มีส่วนไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในการใช้งบประมาณนั้น ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยว่าการเสนอของบประมาณ 3 โครงการดังกล่าวขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสอง ต้องสิ้นผลไป และให้สมาชิกภาพ สส.ของนายพิเชษฐ์สิ้นสุดลง พร้อมกับเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นเวลา 10 ปี เฉพาะตัวนายพิเชษฐ์เท่านั้น
เมื่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 ไม่ได้บัญญัติให้เพียงเฉพาะผู้ที่ได้รับประโยชน์จากงบประมาณเท่านั้น ที่จะถูกสั่งให้พ้นจากหน้าที่ ถูกเพิกถอนสิทธิทางเมือง ถูกเรียกให้ชดใช้เงินคืน หรือถูกดำเนินการทางอาญา ดังนั้น ผู้ที่มีส่วนร่วมในกระบวนการพิจารณางบประมาณ ซึ่งมีสถานะเป็น สส. สว. กรรมาธิการ หรือ ครม.ซึ่งเกี่ยวข้องหรือรู้เห็นกับกระบวนการทางนิติบัญญัตินี้ ตั้งแต่เริ่มต้นจนกระทั่งสิ้นสุดการพิจารณาของสภาและประกาศใช้เป็นกฎหมาย ควรจะต้องรับผิดด้วย ไม่ใช่เฉพาะผู้ที่ได้รับประโยชน์จากการใช้งบประมาณเพียงเท่านั้น ด้วยเหตุที่การนำเงินของแผ่นดินไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตนเป็นปัญหาเรื้อรังที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยมาเป็นเวลายาวนาน ไม่ใช่นาน ๆ จะเกิดขึ้นสักครั้งอย่างเช่นปัญหาชายแดนไทยกัมพูชา ความเสียหายจากการทุจริตคอรัปชั่นในประเทศไทยเมื่อรวมกันแล้วน่าจะมีมากกว่าการถูกบุกรุกดินแดนเสียอีก รัฐธรรมนูญปี 2560 ในมาตรา 144 จึงบัญญัติโทษทางการเมืองและความรับผิดทางแพ่งไว้อย่างละเอียด นอกจากความรับผิดทางอาญาซึ่งเป็นอำนาจหน้าที่โดยตรงของคณะกรรมการ ป.ป.ช.อยู่แล้ว
แล้วผู้ที่จะต้องร่วมรับผิดกับ ส.ส.พิเชษฐ์ มีใครบ้าง จะต้องกวาดกันหมดทั้งสภาล่าง สภาบน คณะกรรมาธิการ หรือทั้งทำเนียบรัฐบาล หรือไม่ ทุกคนจะต้องถูกสั่งให้พ้นจากหน้าที่ ถูกเพิกถอนสิทธิทางเมือง ถูกเรียกให้ชดใช้เงินคืน หรือถูกดำเนินการทางอาญา เช่นนั้นหรือ
จะต้องทำกันแค่ไหน เพียงใด จึงจะมีความเหมาะสม และเป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ จึงต้องดูว่าในกระบวนการทางนิติบัญญัติเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่าย มีกี่ขั้นตอน ใครมีหน้าที่อย่างไรในขั้นตอนต่าง ๆ และได้กระทำตามหน้าที่และอำนาจที่มีอยู่ในการกำกับดูแลหรือตรวจสอบอย่างครบถ้วนเหมาะสมกับสถานะหรือตำแหน่งของตนอย่างไร หรือละเลยการปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ หรือไม่
ไล่เรียงการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 เพื่อจะดูว่าใครบ้างต้องรับผิดต่อ “งบพิเชษฐ์ 69” เริ่มต้นจากขั้นตอนของการเสนอของบประมาณของหน่วยราชการหรือรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ ที่เป็นหน่วยรับงบประมาณ ซึ่ง “งบพิเชษฐ์ 69” เป็นส่วนหนึ่งในงบประมาณของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ที่มีประธานสภาผู้แทนราษฎรซึ่งมีสถานะเป็น สส.เป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของหน่วยราชการนี้ โดยเป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบและลงนามเสนอของบประมาณ ปี 2569 ของหน่วยงานนี้ ซึ่งมี “งบพิเชษฐ์ 69” รวมอยู่ด้วย ส่งไปยังสำนักงบประมาณ
จากนั้นสำนักงบประมาณซึ่งขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี จะรวบรวมงบประมาณของทุกหน่วยราชการและรัฐวิสาหกิจนำเสนอต่อนายกรัฐมนตรี เมื่อนายกรัฐมนตรีเห็นชอบจึงนำเข้าที่ประชุม ครม. และเมื่อ ครม.ลงมติให้ความเห็นชอบแล้ว จึงนำเสนอต่อประธานสภาผู้แทนราษฎรบรรจุเข้าวาระการประชุมสภาเพื่อพิจารณารับหลักการในวาระที่ 1 เมื่อการอภิปรายเสร็จสิ้น สส.จะต้องลงมติให้ความเห็นชอบรับหลักการ จากนั้นจึงจะดำเนินการในขั้นตอนถัดไปคือ การพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ ซึ่งขณะนี้ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ ปี 2569 อยู่ในขั้นตอนนี้มาแล้วระยะเวลาหนึ่ง
แม้ว่า “งบพิเชษฐ์ 69” จะเป็นวงเงินไม่สูงเมื่อเปรียบเทียบกับวงเงินงบประมาณทั้งหมด 3.78 ล้านล้านบาท แต่เป็นการนำเอาเรื่องซึ่งศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยแล้วว่าเป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสอง เสนอตามขั้นตอนต่าง ๆ จนถึงขั้นตอนที่ ครม.นำเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎร และ สส.ในสภาได้พิจารณาและลงมติรับหลักการในวาระที่ 1 ไปแล้ว ซึ่งมี สส.จากพรรคการเมืองร่วมรัฐบาล จำนวน 322 คน ลงมติให้ความเห็นชอบ และ สส.จากพรรคการเมืองฝ่ายค้าน จำนวน 158 คน ลงมติไม่เห็นชอบ
การพิจารณาและลงมติของ สส.ไม่ว่าจะมาจากพรรคร่วมรัฐบาลหรือพรรคฝ่ายค้านย่อมจะต้องกระทำโดยอิสระและรักษาไว้ซึ่งความคุ้มค่าในการใช้งบประมาณแผ่นดิน โดยเป็นขั้นตอนหลังจากได้รับฟังคำแถลงนโยบายงบประมาณจากนายกรัฐมนตรี และได้พิจารณารายละเอียดเอกสารงบประมาณ ซึ่งได้ระบุถึงรายการที่จะต้องใช้จ่ายงบประมาณของทุกส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ รวมทั้งแผนงานและโครงการต่าง ๆ ทุกโครงการ โดยครบถ้วนแล้ว จากนั้น สส. จะต้องทำหน้าที่ผู้แทนของปวงชนชาวไทยในการรักษาผลประโยชน์ของประชาชน โดยจะต้องป้องกันการนำเอาเงินของแผ่นดินไปใช้โดยไม่เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมหรือไม่คุ้มค่า จะต้องทำหน้าที่สกัดกั้นตั้งแต่โอกาสแรกที่เห็นว่างบประมาณจะถูกนำออกไปใช้เพื่อเป็นประโยชน์ส่วนตนของสมาชิกบางคน ดังนั้นเมื่อ สส.คนใดได้ลงมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ ที่มีส่วนหนึ่งขัดต่อรัฐธรรมนูญ โดยจะอ้างว่าไม่อาจรู้ถึงการที่จะมี สส.เข้าไปมีส่วนร่วมในการใช้งบประมาณ ปี 2569 ไม่ได้ เนื่องจากมีตัวอย่างให้เห็นแล้วในการใช้งบประมาณ ปี 2568 ที่นายพิเชษฐ์มีส่วนเกี่ยวข้อง ซึ่งแม้จะเป็นเพียงการลงมติรับหลักการในวาระที่ 1 แต่ก็เป็นการเปิดประตูให้การกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสอง ดำเนินต่อไปเพื่อให้สำเร็จตามเป้าหมายสุดท้ายของผู้ที่หวังจะใช้เงินของแผ่นดินเพื่อประโยชน์ส่วนตนเป็นครั้งที่ 2
เมื่อกระบวนการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ ปี 2569 คืบหน้ามาถึงการลงมติรับหลักการในวาระที่ 1 แม้จะยังไม่ใช่การแปรญัตติในวาระที่ 2 และการอนุมัติในวาระที่ 3 แต่ก็เป็นการกระทำด้วยประการใด ๆ ที่จะมีผลต่อไปให้ สส.(พิเชษฐ์) มีส่วนไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่าย จึงทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องในแต่ละขั้นตอนที่ผ่านมาแล้วทั้งหมด ควรจะต้องรับผิดเช่นเดียวกับนายพิเชษฐ์
กระบวนการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ในส่วนของ “งบพิเชษฐ์ 69” ลำพังเฉพาะนายพิเชษฐ์คนเดียวไม่อาจเสนอของบประมาณของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรได้ จึงเห็นได้ว่า นอกจากนายพิเชษฐ์แล้ว ยังมีผู้ซึ่งมีบทบาทสำคัญที่มีส่วนร่วมในการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสอง อีกเป็นจำนวนมาก แต่ผู้ร้องซึ่งเป็น สส.จากพรรคประชาชน ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเฉพาะการกระทำของนายพิเชษฐ์แต่เพียงคนเดียว ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญได้พิจารณาคำร้องและไต่สวนข้อเท็จจริงจากบุคคลที่เกี่ยวข้องจนได้ข้อเท็จจริงที่ครบถ้วน และรับฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติแล้วว่า การกระทำตามคำร้อง ซึ่งเป็นขั้นตอนในกระบวนการทางนิติบัญญัติเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ ปี 2569 ที่ทำให้นายพิเชษฐ์มีส่วนโดยทางตรงหรือทางอ้อมในการใช้งบประมาณ เป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสอง โดยทางไต่สวนของศาลรัฐธรรมนูญเห็นได้ว่า ในกระบวนการที่ได้ดำเนินการมาแล้วเพื่อนำไปสู่ผลลัพธ์ตามความประสงค์ของนายพิเชษฐ์ ได้มีบุคคลหรือคณะบุคคลอีกจำนวนหนึ่งมีส่วนร่วมด้วย โดยนายพิเชษฐ์มิอาจทำได้เพียงคนเดียว
ดังนั้น บุคคลหรือคณะบุคคล เฉพาะที่มีสถานะหรือตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 ที่ควรจะต้องรับผิดเช่นเดียวกับนายพิเชษฐ์ พอที่จะสรุปได้ในเบื้องต้น มีดังนี้
-
ประธานสภาผู้แทนราษฎร มีสถานะเป็น สส.และเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่เป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบและลงนามในเอกสารเสนอของบประมาณ ปี 2569 ของหน่วยงานนี้ ส่งไปยังสำนักงบประมาณ หากพิจารณาเห็นว่า “งบพิเชษฐ์ 69” ขัดต่อรัฐธรรมนูญ สามารถยับยั้งไม่ส่งไปยังสำนักงบประมาณได้
-
นายกรัฐมนตรี เป็นหนึ่งใน ครม.ทำหน้าที่พิจารณางบประมาณของทุกส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ ที่ส่งมาจากสำนักงบประมาณซึ่งขึ้นตรงกับตนเอง เพื่อให้ความเห็นชอบและนำเข้าที่ประชุม ครม. หากพิจารณาเห็นว่า “งบพิเชษฐ์ 69” ขัดต่อรัฐธรรมนูญ สามารถยับยั้งไม่นำเข้าพิจารณาในที่ประชุม ครม.ได้
-
ครม. หากเข้าประชุมครบทุกคนจะมีจำนวน 36 คน เป็นคณะบุคคลที่ทำหน้าที่บริหารราชการแผ่นดิน โดยใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีของแต่ละปี และทำหน้าที่เป็นผู้เสนอร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่าย ปี 2569 เข้าพิจารณาในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร โดยยื่นต่อประธานสภาผู้แทนราษฎรเพื่อบรรจุเข้าวาระประชุม หากพิจารณาเห็นว่า “งบพิเชษฐ์ 69” ขัดต่อรัฐธรรมนูญ สามารถยับยั้งไม่เสนอเข้าที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรได้
-
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จำนวน 322 คน ในฐานะผู้แทนประชาชนซึ่งจะต้องทำหน้าที่พิจารณาและลงมติให้ความเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่าย ปี 2569 หากพิจารณาเห็นว่า “งบพิเชษฐ์ 69” ขัดต่อรัฐธรรมนูญ สามารถลงมติไม่เห็นชอบด้วยได้ เช่นเดียวกับ สส.อีก 158 คน ที่ไม่เห็นชอบ แต่เมื่อได้ลงมติให้ความเห็นชอบจึงทำให้ สส. 322 คนดังกล่าว อยู่ในฐานะเป็นผู้กระทำด้วยประการใด ๆ อันเป็นการสนับสนุนให้ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ ที่มีส่วนหนึ่งไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสอง ผ่านเข้าไปสู่การดำเนินการในขั้นตอนของคณะกรรมาธิการ เพื่อที่จะนำไปสู่การแปรญัตติในวาระที่ 2 และการอนุมัติร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ ในวาระที่ 3 ต่อไป
จึงเห็นได้ว่า กระบวนการพิจารณางบประมาณรายจ่าย ปี 2569 ตั้งแต่ขั้นตอนการเสนอของบประมาณไปยังสำนักงบประมาณ จนถึงเมื่อสภาลงมติเห็นชอบรับหลักการในวาระที่ 1 มีบุคคลและคณะบุคคลที่ได้ละเลยการปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ หรืออาจจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ซึ่งหากมีการเสนอเรื่องไปยังศาลและศาลประทับรับฟ้อง อาจต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าจะมีคำพิพากษา ซึ่งศาลอาจพิพากษาให้พ้นจากตำแหน่ง เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง รวมทั้งอาจสั่งให้รับผิดชดใช้เงินคืนและกำหนดความรับผิดทางอาญาด้วยก็ได้
มีประเด็นว่าจะผ่านช่องทางใด และไปที่ศาลใด
การจะเสนอเรื่องนี้ต่อศาลรัฐธรรมนูญตาม มาตรา 144 อีกครั้ง เพื่อขอให้วินิจฉัยบุคคลที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม อาจจะเป็นเรื่องที่ศาลรัฐธรรมนูญไม่รับไว้พิจารณา เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญน่าจะพิจารณาว่าเป็นกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยให้การกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสอง สิ้นผลไปแล้ว อันเป็นเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญที่ให้ศาลรัฐธรรมนูญดำเนินกระบวนการพิจารณาเรื่องนี้โดยเร็วภายใน 15 วัน เพื่อให้แล้วเสร็จก่อนที่กระบวนการทางนิติบัญญัติจะเสร็จสิ้น และก่อนที่งบประมาณที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญจะถูกนำออกไปใช้จ่าย เมื่อศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยกรณีนี้ไปแล้วตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ จึงไม่มีกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยการกระทำในเรื่องเดิมอีก ส่วนจะมีผู้เกี่ยวข้องเพิ่มเติมและควรจะได้รับผลเช่นเดียวกับผู้ถูกร้องในเรื่องที่ได้วินิจฉัยไปแล้ว เป็นเรื่องที่ต้องว่ากล่าวเป็นอีกกรณีหนึ่ง โดยใช้ช่องทางอื่นหรือโดยการเสนอเรื่องต่อศาลอื่น ซึ่งไม่ใช่การเสนอเรื่องตามมาตรา 144 วรรคสาม ซ้ำอีกในเรื่องเดิม อีกทั้งไม่อาจใช้ช่องทางผ่านคณะกรรมการ ป.ป.ช.ตาม มาตรา 144 วรรคหก ได้เช่นกัน
หากจะให้บุคคลหรือคณะบุคคลทั้ง 4 กลุ่ม รับผิดเช่นเดียวกับนายพิเชษฐ์ครบทุกคน อาจจะต้องยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. โดยไม่ใช่เพื่อเสนอต่อศาลรัฐธรรมนูญ แต่จะเป็นการเสนอไปยังศาลฎีกา และศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพื่อวินิจฉัยบุคคลหรือคณะบุคคลดังกล่าวว่าเป็นผู้มีพฤติกรรมฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ (มาตรา 144 วรรคสอง) หรือไม่
จึงไม่ใช่เป็นการยื่นต่อศาลตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสาม หรือวรรคหก แต่เป็นกรณีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.จะใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 235 วรรคหนึ่ง (1) และ (2)
อ่านประกอบ: ผลพวงคำวินิจฉัย กรณี 'พิเชษฐ์' 3 คำร้อง ม.144 ในมือ ป.ป.ช. ส่อสะดุด

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา