
"...หากนางสาวแพทองธาร อุทิศเวลาแก่ทางราชการด้วยการเติมเต็มความรู้ในเรื่องต่าง ๆ อย่างเต็มที่ในแต่ละสถานการณ์ และกระทำอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา จะทำให้การปฏิบัติหน้าที่ราชการเป็นไปได้อย่างเต็มกำลังความสามารถและไม่เกิดข้อผิดพลาด เมื่อไม่ได้อุทิศเวลา การปฏิบัติหน้าที่ราชการจึงไม่เต็มกำลังความสามารถ และทำให้เกิดเป็นพฤติกรรมฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรม ข้อ 21 และข้อ 22 ซึ่งเป็นกรณีที่มีความร้ายแรง เนื่องมาจากการขาดความรู้ที่เป็นพื้นฐานอย่างมาก..."
กรณีคลิปเสียงสนทนากับสมเด็จฮุน เซน ที่ศาลรัฐธรรมนูญได้นัดประชุมวินิจฉัยคดีในช่วงเช้า และนัดอ่านคำวินิจฉัยในช่วงบ่ายของวันที่ 29 ส.ค.2568 ที่จะถึงนี้ ประชาชนจำนวนหนึ่งซึ่งเห็นว่านางสาวแพทองธารขาดความพร้อมและขาดวุฒิภาวะในการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มีข้อสงสัยว่านางสาวแพทองธารฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมในข้อที่เกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ราชการอย่างเต็มกำลังความสามารถ และการอุทิศเวลาแก่ทางราชการ ซึ่งอยู่ใน ข้อ 21 และข้อ 22 ของมาตรฐานทางจริยธรรมที่ใช้สำหรับ สส.สว.และ ครม.หรือไม่
มาตรฐานทางจริยธรรม ข้อ 21 กำหนดไว้ส่วนหนึ่งว่า “ต้องปฏิบัติหน้าที่ราชการอย่างเต็มกำลังความสามารถ” และข้อ 22 กำหนดไว้ว่า “ต้องอุทิศเวลาแก่ทางราชการ”
เนื่องจาก “การปฏิบัติหน้าที่ราชการอย่างเต็มกำลังความสามารถ” ในข้อ 21 จะมีผลต่อเนื่องกับ “การอุทิศเวลาแก่ทางราชการ” ในข้อ 22 โดยอาจเปรียบเทียบได้กับเมื่อคน ๆ หนึ่ง ได้รับการคัดเลือกให้เข้าปฏิบัติหน้าที่ราชการในตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่ง โดยตลอดระยะเวลาที่ปฏิบัติราชการมานานนับปีได้ใช้เพียงความรู้และประสบการณ์เดิมของตนปฏิบัติงานตามเวลาราชการ โดยไม่ได้ขาดลามาสายเกินกว่าปกติ แต่ไม่ได้ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับงานที่รับผิดชอบ ทำให้การปฏิบัติหน้าที่ราชการเกิดข้อผิดพลาดบ่อยครั้ง เนื่องจากขีดความสามารถเดิมมีอยู่อย่างจำกัด และไม่ได้ใช้เวลาในการพัฒนาตนเองหรือเติมเต็มความรู้ความสามารถให้เหมาะสมและเพียงพอกับงานในตำแหน่งหน้าที่ความรับผิดชอบของตน การกระทำเช่นนี้น่าจะเรียกได้ว่า ไม่อุทิศเวลาแก่ทางราชการ และไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการอย่างเต็มกำลังความสามารถที่เหมาะสมกับตำแหน่งหน้าที่ของตน
“การปฏิบัติหน้าที่ราชการอย่างเต็มกำลังความสามารถ” โดยเฉพาะตำแหน่งที่มีความสำคัญสูงสุดเช่นนายกรัฐมนตรี จะต้องเติมเต็มความสามารถให้เพียงพอและพร้อมที่จะปฏิบัติหน้าที่ราชการในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตั้งแต่เมื่อรู้ว่าจะเข้ารับตำแหน่ง หากไม่มีความรอบรู้เพียงพอจะต้องทำการศึกษาหาความรู้อย่างเร่งด่วนในทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับงานในหน้าที่ความรับผิดชอบ มิใช่ว่ามีกำลังความสามารถอยู่เดิมเพียงเท่าใด ก็ปฏิบัติหน้าที่ราชการเพียงเท่านั้น แล้วถือว่าตนได้ปฏิบัติหน้าที่ราชการอย่างเต็มกำลังความสามารถตามที่มีอยู่แล้ว อาจไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของมาตรฐานทางจริยธรรมในข้อ 21 และข้อ 22
ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต้องทำหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินในทุกกระทรวง ทบวง กรม จึงต้องมีความรอบรู้งานครอบคลุมทุกเรื่องของการบริหารราชการแผ่นดิน หากเมื่อเริ่มเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรียังไม่มีข้อมูลความรู้ครอบคลุมทุกเรื่อง จะต้องเร่งศึกษาและทำความเข้าใจอย่างละเอียด หรือรับฟังการบรรยายสรุปในเรื่องต่าง ๆ อย่างตั้งใจจากทุกหน่วยงาน ซึ่งนายกรัฐมนตรีมีอำนาจสั่งการทุกหน่วยงานของรัฐอยู่แล้ว นายกรัฐมนตรีแต่ละคนในอดีตย่อมมีฐานความรู้และประสบการณ์เดิมก่อนเข้ารับตำแหน่งมากน้อยแตกต่างกันไป และไม่อาจรอบรู้งานทุกเรื่องของแต่ละกระทรวง ทบวง กรม ได้โดยละเอียด แต่เมื่อเข้ามารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้วได้อุทิศเวลาอย่างเต็มที่เพื่อเร่งให้ตนมีความรู้ความเข้าใจ อย่างน้อยที่สุดต้องรู้ถึงหลักการที่เป็นแนวความคิดพื้นฐานของงานในแต่ละเรื่อง ดังนั้นการอุทิศเวลาเพื่อศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมอย่างเร่งด่วนในงานทุกเรื่องของประเทศ จึงเป็นเรื่องจำเป็นที่นายกรัฐมนตรีต้องกระทำ เพื่อจะนำเอาข้อมูลความรู้ไปปฏิบัติหน้าที่ราชการให้ได้เต็มกำลังความสามารถ หากขาดการอุทิศเวลาก็ย่อมทำให้การปฏิบัติหน้าที่ราชการไม่อาจเป็นไปอย่างเต็มกำลังความสามารถที่เหมาะสมกับตำแหน่งได้

การที่จะดูว่านายกรัฐมนตรีได้อุทิศเวลาแก่ทางราชการ และปฏิบัติหน้าที่ราชการอย่างเต็มกำลังความสามารถ หรือไม่ สามารถดูได้จากผลการปฏิบัติราชการ เมื่อข้อเท็จจริงในคดีคลิปเสียงสมเด็จฮุน เซน ที่ศาลรัฐธรรมนูญฟังเป็นยุติแล้วเนื่องจากไม่มีการโต้แย้งว่าไม่จริง ปรากฏว่านางสาวแพทองธารได้สนทนากับบุคคลที่มีบทบาทสำคัญของกัมพูชาโดยไม่เป็นไปตามแบบแผนทางการทูต ใช้ถ้อยคำที่แสดงถึงความอ่อนข้อให้กับประเทศที่กำลังรุกรานประเทศไทย ขณะเดียวกันได้ใช้ถ้อยคำที่แสดงถึงการอยู่ฝั่งตรงข้ามและด้อยค่าผู้บังคับบัญชาหน่วยทหารในระดับแม่ทัพภาค ที่มีหน้าที่ป้องกันประเทศและเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของตนลงไปตามลำดับชั้น การใช้ถ้อยคำที่ทำให้เห็นว่าตนเอื้อประโยชน์ให้กับประเทศคู่กรณีอย่างมาก จนกระทั่งประชาชนหมดทั้งประเทศไล่ให้ไปเป็นนายกเขมร ซึ่งเป็นบทสนทนาที่เป็นข้อเท็จจริงอยู่ในสำนวนคดีของศาลรัฐธรรมนูญ และทำให้คนไทยส่วนใหญ่ที่ไม่เห็นด้วยกับถ้อยคำของนายกรัฐมนตรีเกิดความวิตกกังวลว่าจะทำให้ประเทศชาติเกิดความเสียหาย โดยเห็นว่านางสาวแพทองธาร ไม่มีความพร้อมในการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย เป็นผู้ที่ขาดความรู้ความเข้าใจในบทบาทหน้าที่ของตนเอง รวมทั้งขาดทักษะในการเจรจา จึงสื่อสารกับประเทศคู่กรณีด้วยถ้อยคำที่อาจจะเสียหายต่อประเทศชาติ ซึ่งความไม่ไว้วางใจของประชาชนสะท้อนได้จากโพลสำรวจความคิดเห็นประชาชนของสำนักต่าง ๆ ที่แสดงถึงความเชื่อถือของประชาชนต่อตัวนางสาวแพทองธารตกต่ำลงอย่างรุนแรง หลังจากคลิปเสียงสนทนากับสมเด็จฮุน เซน ถูกเผยแพร่ออกมา
เหตุการณ์ในครั้งนี้ได้แสดงถึงการไม่อุทิศเวลาแก่ทางราชการในการศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับงานในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งนางสาวแพทองธารต้องรับผิดชอบการบริหารราชการแผ่นดินทุกเรื่อง เมื่อไม่ได้อุทิศเวลาจึงทำให้ไม่สามารถเติมเต็มกำลังความสามารถให้เพียงพอสำหรับการปฏิบัติหน้าที่ราชการในตำแหน่งผู้นำสูงสุดของฝ่ายบริหารได้ ส่งผลให้นางสาวแพทองธารเป็นผู้ที่ไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ราชการอย่างเต็มกำลังความสามารถในฐานะนายกรัฐมนตรีทั้งต่อหน้าและลับหลังประชาชน
นอกจากข้อเท็จจริงที่อยู่ในสำนวนคดีของศาลรัฐธรรมนูญตามคำร้องของ 36 สว.แล้ว ยังมีเหตุการณ์ที่แสดงถึงการไม่อุทิศเวลาแก่ราชการ ทำให้ไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ราชการอย่างเต็มกำลังความสามารถอีกคือ ในการให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนต่อคำถามที่ว่ารัฐบาลจะแก้ไขปัญหาค่าเงินบาทแข็งตัวอย่างไร นางสาวแพทองธารได้กล่าวว่าการแข็งตัวของเงินบาทเป็นผลดีต่อการส่งออกซึ่งไม่ถูกต้องและแสดงถึงการไม่มีความรู้พื้นฐานทางด้านการเงิน และการให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนกรณีน้ำท่วม จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นจังหวัดที่ตนมีความคุ้นเคย โดยกล่าวว่าน้ำจะเคลื่อนตัวจาก จ.เชียงใหม่ไปลงเขื่อนภูมิพล และแม่น้ำโขง ซึ่งไม่ถูกต้องและแสดงถึงการขาดความรู้พื้นฐานทางด้านสภาพภูมิศาสตร์ของประเทศที่ตนเป็นนายกรัฐมนตรีอย่างมาก อันเป็นผลมาจากการไม่อุทิศเวลาเพื่อรับฟังและทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้เมื่อมีการบรรยายสรุปในเหตุการณ์ต่าง ๆ
หากนางสาวแพทองธาร อุทิศเวลาแก่ทางราชการด้วยการเติมเต็มความรู้ในเรื่องต่าง ๆ อย่างเต็มที่ในแต่ละสถานการณ์ และกระทำอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา จะทำให้การปฏิบัติหน้าที่ราชการเป็นไปได้อย่างเต็มกำลังความสามารถและไม่เกิดข้อผิดพลาด เมื่อไม่ได้อุทิศเวลา การปฏิบัติหน้าที่ราชการจึงไม่เต็มกำลังความสามารถ และทำให้เกิดเป็นพฤติกรรมฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรม ข้อ 21 และข้อ 22 ซึ่งเป็นกรณีที่มีความร้ายแรง เนื่องมาจากการขาดความรู้ที่เป็นพื้นฐานอย่างมาก
ศาลรัฐธรรมนูญซึ่งใช้ระบบไต่สวนน่าจะได้นำเอาเหตุการณ์ต่าง ๆ ในอดีต ซึ่งยังคงปรากฏเป็นคลิปข่าวอยู่ในเว็บไซด์ยูทูป มาใช้ประกอบการพิจารณาเพิ่มเติมจากข้อเท็จจริงตามคำร้อง โดยกรณีตามคำร้องมีสาเหตุสำคัญส่วนหนึ่งมาจากนางสาวแพทองธารมีพฤติกรรมไม่อุทิศเวลาแก่ทางราชการและไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการอย่างเต็มกำลังความสามารถ ทำให้ขาดทักษะในการเจรจากับสมเด็จฮุน เซน ส่งผลให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติภูมิและผลประโยชน์ของชาติ อันเป็นพฤติกรรมต่อเนื่องมาตั้งแต่เริ่มเข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
การจะดูว่าบุคคลใดปฏิบัติหน้าที่ราชการอย่างเต็มกำลังความสามารถหรือไม่ จึงไม่ใช่ดูว่าบุคคลนั้นมีกำลังความสามารถเดิมอยู่เท่าใดและได้นำออกมาใช้อย่างเต็มที่แล้วหรือไม่ แต่จะต้องดูจากตำแหน่งหน้าที่และความรับผิดชอบของบุคคลนั้นว่าอยู่ในระดับใด โดยบุคคลนั้นได้ใช้เวลาไม่นานในการเร่งรัดให้ตนยกระดับความรู้ความสามารถให้มีความเพียงพอกับหน้าที่ความรับผิดชอบ และได้นำเอาศักยภาพที่ได้รับการเติมเต็มแล้วนั้นออกมาใช้ปฏิบัติราชการอย่างเต็มกำลังความสามารถ จึงจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ไม่ฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรม ข้อ 21 และข้อ 22
ประชาชนจึงขอบารมีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อวินิจฉัยเชิงลึกถึงคุณสมบัติของนายกรัฐมนตรีในประเด็นความพร้อมในการดำรงตำแหน่ง ซึ่งปรากฏข้อเท็จจริงตามคำร้องที่มีความเกี่ยวข้องกับมาตรฐานทางจริยธรรม ข้อ 21 และข้อ 22 โดยเมื่อเป็นพฤติกรรมของผู้ที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่ไม่มีความรอบรู้แม้ในระดับพื้นฐาน จึงถือว่าฝ่าฝืนจริยธรรมใน 2 ข้อนี้ ที่มีลักษณะร้ายแรง
ทั้งนี้ เพื่อความผาสุกของประชาชนโดยรวม

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา