
"...หากได้พิจารณาตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญไทย โดยแยกอำนาจการเสนอให้ยุบสภา กับอำนาจการยุบสภาออกจากกัน ผู้ปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีจึงน่าจะมีอำนาจในส่วนของการนำเสนอให้ยุบสภาได้ จึงควรใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยเป็นหลักในการพิจารณา โดยอาจเหลียวมองหลักการหรือธรรมเนียมปฏิบัติในการใช้กฎหมายของต่างประเทศได้บ้าง แต่เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาเท่านั้น..."
หลังจากนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 29 ส.ค.2568 ทำให้คณะรัฐมนตรีต้องพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ แต่ยังคงต้องปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่ารัฐบาลใหม่จะเข้าทำหน้าที่ ทำให้เป็นช่วงเวลาของการช่วงชิงกันจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ระหว่างพรรคที่มีแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีคือ พรรคเพื่อไทย แกนนำรัฐบาลเดิมฝ่ายหนึ่ง กับพรรคภูมิใจไทย ซึ่งปัจจุบันเป็นฝ่ายค้านอีกฝ่ายหนึ่ง โดยทั้ง 2 ฝ่าย จำเป็นต้องใช้เสียง สส.ของพรรคประชาชน ซึ่งขณะนี้ไม่มีแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี แต่มี สส.มากที่สุดในสภา จำนวน 143 เสียง โดยพรรคประชาชนประกาศให้การสนับสนุนพรรคการเมืองที่ยินดีทำตามเงื่อนไข คือการยุบสภาภายใน 4 เดือน นับแต่วันแถลงนโยบาย การสำรวจประชามติเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ และการแก้ไขปัญหากัมพูชา รวมทั้งจะต้องไม่เสนอชื่อนายกรัฐมนตรีที่เคยเป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติ

ภาพ ‘อุ๊งอิ๊ง’ แพทองธาร ชินวัตร จาก www.innnews.co.th
พรรคภูมิใจไทยซึ่งได้เตรียมการจัดตั้งรัฐบาล ในระหว่างที่รอการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญว่านายกรัฐมนตรีคนเดิมจะต้องพ้นจากตำแหน่งหรือไม่ หลังจากมีความชัดเจนแล้วว่าต้องพ้นจากตำแหน่งและจะต้องมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ จึงเดินหน้าทันทีเมื่อสิ้นสุดการอ่านคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ในเวลา 15.45 น.ของวันที่ 29 ส.ค.2568 ทำให้ในคืนวันเดียวกันนั้นสามารถรวบรวมเสียง สส.จากพรรคการเมืองต่าง ๆ เพื่อนำไปรวมกับ สส.ของพรรคประชาชน แล้วได้มากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวน สส.เท่าที่มีอยู่ หรือมากกว่า 246 เสียง จากทั้งหมด 492 เสียง โดยเบื้องต้นมีตัวเลขเคลื่อนไหวอยู่ระหว่าง 270-290 เสียง ซึ่งมี สส.งูเห่าจากพรรคเพื่อไทยรวมอยู่ด้วยจำนวนหนึ่ง
ในขณะที่พรรคเพื่อไทยซึ่งไม่ได้เตรียมการไว้ล่วงหน้า เนื่องจากคาดว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญจะออกมาในทางที่เป็นคุณและรัฐบาลเดิมยังคงเดินหน้าต่อไปได้ แต่เมื่อสิ้นเสียงการอ่านคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ สส.ของพรรคร่วมรัฐบาลเดิมส่วนใหญ่ได้หันไปสนับสนุนนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ให้เป็นนายกรัฐมนตรี ทำให้เสียงสนับสนุนแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยเหลืออยู่ไม่ถึงกึ่งหนึ่งของจำนวน สส.ทั้งหมด แต่พรรคเพื่อไทยก็ยังคงมีความพยายามที่จะดึงเสียงสนับสนุนกลับคืนมาเพื่อตั้งรัฐบาลแข่งกับพรรคภูมิใจไทย
หากพรรคเพื่อไทยไม่สามารถตั้งรัฐบาลได้ จะทำให้อำนาจรัฐเข้าไปอยู่ในมือพรรคภูมิใจไทย และจะเป็นรัฐบาลในขณะที่มีการเลือกตั้งใหญ่ในครั้งต่อไป ซึ่งพรรคเพื่อไทยจะเสียเปรียบมากขึ้นอีกนอกเหนือจากคะแนนนิยมที่ตกต่ำอยู่แล้วในเวลานี้ จึงมีการจับตากันว่าพรรคเพื่อไทยซึ่งยังคงเป็นรัฐบาลอยู่ในเวลานี้ อาจใช้ไม้ตายสุดท้ายคือการยุบสภา แม้จะทำให้การเลือกตั้งใหม่เกิดขึ้นทันทีในช่วงเวลาที่พรรคเพื่อไทยกำลังมีคะแนนนิยมตกต่ำอยู่ก็ตาม แต่พรรคเพื่อไทยอาจคิดว่าก็ยังดีกว่าให้พรรคการเมืองอื่นยึดครองอำนาจรัฐในขณะที่มีการเลือกตั้ง ซึ่งนับจากวันนี้ไปนานที่สุดก็คงจะไม่เกิน 6-7 เดือน เท่านั้น
ดังนั้น การยุบสภาในช่วงเวลานี้จึงได้เข้ามาอยู่ในสมการทางการเมือง ซึ่งมีโอกาสที่จะเป็นไปได้มากพอสมควร เพราะยังมีเหตุสำคัญนอกจากไม่ต้องการให้อำนาจรัฐหลุดไปอยู่ในมือพรรคการเมืองอื่นแล้ว ยังมีเหตุผลที่ผู้นำจิตวิญญาณของพรรคเพื่อไทยต้องการคิดบัญชีกับพรรคภูมิใจไทย ซึ่งเชื่อว่าอยู่เบื้องหลัง สว.36 คน ที่ทำให้นางสาวแพทองธาร บุตรสาวสุดที่รักต้องถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอย่างชอกช้ำ จึงไม่อาจยอมรับได้ที่จะให้พรรคภูมิใจไทยได้โชคสองชั้นด้วยการได้เสวยอำนาจรัฐอีกชั้นหนึ่ง โดยจะต้องสกัดกั้นไม่ว่าด้วยวิธีการใดก็ตาม ซึ่งหากไม่สามารถดึงพรรคร่วมรัฐบาลเดิมกลับคืนมาได้ หรือผู้นำจิตวิญญาณพรรคเพื่อไทยไม่สามารถจบดีลกับผู้นำจิตวิญญาณพรรคประชาชน เพื่อนำเสียง สส.พรรคประชาชน มาสนับสนุนแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทยได้ หนทางสุดท้ายจึงอาจไปจบที่การยุบสภา
ด้วยเหตุที่เวลานี้ไม่มีนายกรัฐมนตรีตัวจริง เป็นเพราะนางสาวแพทองธารพ้นจากตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (5) ทำให้ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีต่อไปในระหว่างรอการเข้าทำหน้าที่ของรัฐบาลใหม่ได้ ครม.ชุดปัจจุบันจึงได้แต่งตั้งให้นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี
เป็นข้อถกเถียงกันว่า การกราบบังคมทูลเพื่อตราพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร และการรับสนองพระบรมราชโองการ นายภูมิธรรมซึ่งเป็นเพียงผู้ปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี ไม่ใช่เป็นนายกรัฐมนตรีตัวจริงที่ได้มาจากการเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎรจะมีอำนาจทำได้หรือไม่ ความเห็นแรก เห็นว่าเป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรีตัวจริงเท่านั้นในการนำขึ้นทูลเกล้าและเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ส่วนความเห็นที่สอง เห็นว่าไม่จำเป็นจะต้องเป็นนายกรัฐมนตรีตัวจริงเสมอไป ผู้ปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีก็มีอำนาจเช่นเดียวกับนายกรัฐมนตรี

@ ภูมิธรรม เวชยชัย
นายภูมิธรรมอาจจะอ้างเหตุใดเหตุหนึ่งกราบบังคมทูลถวายคำแนะนำเพื่อยุบสภาผู้แทนราษฎร เช่น อ้างว่าเกิดความวุ่นวายทางการเมือง ที่มีสาเหตุมาจากความขัดแย้งในสภาผู้แทนราษฎร โดยมี สส.ของพรรคการเมืองหนึ่ง แสดงตนเข้าร่วมกับอีกพรรคการเมืองหนึ่ง โดยไม่ปฏิบัติตามมติของพรรคการเมืองที่ตนสังกัด ทำให้เกิดความเสียหายต่อระบบพรรคการเมือง และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จึงควรจะได้มีการยุบสภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้ สส.ได้มีโอกาสเปลี่ยนแปลงไปสังกัดพรรคการเมืองใหม่ตามอุดมการณ์ของแต่ละคน อันเป็นการรักษาไว้ซึ่งระบบพรรคการเมืองและระบอบการปกครองของประเทศ อีกทั้งเป็นการส่งคืนอำนาจให้กับประชาชนเพื่อตัดสินใจเลือกผู้แทนของตนใหม่ และเลือกพรรคการเมืองที่เหมาะสมกับสถานการณ์ของประเทศไทยในปัจจุบัน นอกจากนี้พรรคการเมืองที่กำลังรวมตัวกันเพื่อจัดตั้งรัฐบาลขึ้นใหม่ ก็ได้ประกาศโดยชัดเจนว่าจะยุบสภาผู้แทนราษฎรภายในเวลาเพียง 4 เดือน นับตั้งแต่วันที่ ครม.ชุดใหม่แถลงนโยบายต่อรัฐสภา ดังนั้นจึงควรยุบสภาเสียแต่ในเวลานี้ เพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินของ ครม.ชุดใหม่ และการกำหนดนโยบายต่าง ๆ มีความต่อเนื่อง โดยข้าราชการประจำในหน่วยงานต่าง ๆ ไม่ต้องรอเวลาที่จะมีการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งในเวลา 4 เดือนข้างหน้า.....
นายภูมิธรรม ผู้ปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีจะทำเช่นนี้ได้หรือไม่
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 บัญญัติไว้เป็นลายลักษณ์อักษรเกี่ยวกับการยุบสภาผู้แทนราษฎรอยู่ในมาตรา 103 วรรคหนึ่งว่า พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจที่จะยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่เป็นการเลือกตั้งทั่วไป และวรรคสองบัญญัติว่า การยุบสภาผู้แทนราษฎรให้กระทำโดยพระราชกฤษฎีกา และให้กระทำได้เพียงครั้งเดียวในเหตุการณ์เดียวกัน.....โดยรัฐธรรมนูญไม่ได้บัญญัติไว้โดยชัดเจนว่าใครเป็นผู้มีอำนาจถวายคำแนะนำต่อพระมหากษัตริย์ในการใช้พระราชอำนาจยุบสภา ซึ่งธรรมเนียมปฏิบัติทางรัฐธรรมนูญที่ผ่านมา ให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ
ด้วยเหตุที่การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข สภาผู้แทนราษฎรมาจากการเลือกตั้งของประชาชน ในขณะที่รัฐบาลจัดตั้งขึ้นโดยได้รับความไว้วางใจจากสภาผู้แทนราษฎร การที่จะให้รัฐบาลเป็นผู้ตัดสินใจยุบสภาผู้แทนราษฎรซึ่งเป็นที่มาของรัฐบาลจึงไม่สมเหตุสมผล ดังนั้น รัฐธรรมนูญจึงบัญญัติให้การยุบสภาผู้แทนราษฎรเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุข เพื่อที่จะทรงใช้พระราชวินิจฉัยถึงเหตุผลและความจำเป็นในการยุบสภา
ตามหลักการนี้จึงขึ้นอยู่กับพระราชวินิจฉัยของพระมหากษัตริย์เป็นสำคัญว่าจะทรงใช้พระราชอำนาจยุบสภาหรือไม่ ส่วนผู้ที่จะถวายคำแนะนำและผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันไม่ได้บัญญัติไว้ โดยที่ผ่านมาจะเป็นไปตามธรรมเนียมปฏิบัติ คือให้เป็นหน้าที่ของผู้มีอำนาจสูงสุดขององค์กรฝ่ายบริหาร ได้แก่ นายกรัฐมนตรี เมื่อปัจจุบันไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตัวจริง ผู้ปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีจึงย่อมจะใช้อำนาจของนายกรัฐมนตรีเพื่อให้เป็นไปตามธรรมเนียมปฏิบัติได้ โดยไม่เป็นการขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ เนื่องจากรัฐธรรมนูญไม่ได้บัญญัติเรื่องนี้ไว้โดยลายลักษณ์อักษร และไม่อาจตีความได้ว่ารัฐธรรมนูญมีเจตนารมณ์ให้เป็นอำนาจเฉพาะของนายกรัฐมนตรีตัวจริงเท่านั้น
เมื่อการยุบสภารัฐธรรมนูญได้บัญญัติให้เป็นพระราชอำนาจโดยแท้ของพระมหากษัตริย์โดยการตราพระราชกฤษฎีกา ซึ่งผู้มีอำนาจสูงสุดขององค์กรฝ่ายบริหารคือนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ถวายคำแนะนำ และเมื่อทรงโปรดเกล้าแล้ว บุคคลผู้ซึ่งถวายคำแนะนำก็จะเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
จึงไม่จำเป็นต้องถกเถียงกันในเรื่องอำนาจในการยุบสภา เนื่องจากรัฐธรรมนูญบัญญัติไว้โดยชัดเจนแล้วว่าเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ด้วยการตราเป็นพระราชกฤษฎีกา แต่ที่ยังคงเป็นข้อถกเถียงกันคือผู้มีหน้าที่ทูลเกล้าฯพระมหากษัตริย์ และผู้รับสนองพระบรมราชโองการควรจะเป็นใคร ในกรณีที่มีเหตุจำเป็นต้องยุบสภาแต่ในขณะนั้นไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตัวจริง มีแต่เพียงรองนายกรัฐมนตรีผู้ปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี ซึ่งมีความแตกต่างจากนายกรัฐมนตรีตัวจริงในเรื่องที่มาของการทำหน้าที่ เนื่องจากรองนายกรัฐมนตรีผู้ปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี มีที่มาจากมติ ครม.ไม่ได้มีที่มาจากการเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎรเช่นเดียวกับนายกรัฐมนตรีตัวจริง
การถกเถียงกันจึงเป็นเพียงเรื่องที่มาของผู้ปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี ซึ่งจะต้องปฏิบัติหน้าที่อันเป็นเรื่องของธรรมเนียมปฏิบัติที่นายกรัฐมนตรีตัวจริงเคยทำ โดยไม่ใช่การปฏิบัติหน้าที่ซึ่งมาจากการใช้อำนาจตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ และในกรณีนี้ไม่ใช่เป็นการใช้อำนาจของนายกรัฐมนตรีเพื่อทำการยุบสภา เนื่องจากการยุบสภาเป็นพระราชวินิจฉัยและพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ ผู้ปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีเป็นเพียงผู้ถวายคำแนะนำต่อพระมหากษัตริย์ และเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ เท่านั้น ผู้ปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี จึงน่าจะสามารถทำหน้าที่ในขั้นตอนนี้ได้ในขณะที่ไม่มีนายกรัฐมนตรีตัวจริง
เมื่อไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตัวจริง จึงย่อมเป็นหน้าที่ของผู้ปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีที่จะทำหน้าที่ถวายคำแนะนำและรับสนองพระบรมราชโองการ เพื่อยุบสภาได้ตามรัฐธรรมนูญไทย แม้จะเป็นการปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีในช่วงเวลาที่รอการเข้าทำหน้าที่ของ ครม.ชุดใหม่ก็ตาม
หากได้พิจารณาตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญไทย โดยแยกอำนาจการเสนอให้ยุบสภา กับอำนาจการยุบสภาออกจากกัน ผู้ปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีจึงน่าจะมีอำนาจในส่วนของการนำเสนอให้ยุบสภาได้
จึงควรใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยเป็นหลักในการพิจารณา โดยอาจเหลียวมองหลักการหรือธรรมเนียมปฏิบัติในการใช้กฎหมายของต่างประเทศได้บ้าง แต่เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาเท่านั้น
อนึ่ง บทความนี้ได้เขียนขึ้นก่อนได้อ่านความเห็นของอาจารย์บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ในเรื่องนี้ โดยไม่มีเจตนาจะโต้แย้งความเห็นดังกล่าว เพียงแต่เห็นว่ารัฐบาลรักษาการในปัจจุบัน เป็นการรักษาการด้วยเหตุความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 ซึ่งเป็นเหตุให้รัฐมนตรีทั้งคณะพ้นจากตำแหน่งตามมาตรา 167 (1) ซึ่งไม่ใช่รัฐมนตรีทั้งคณะพ้นจากตำแหน่งด้วยเหตุอายุสภาสิ้นสุดลงหรือมีการยุบสภา ตามมาตรา 167 (2) ที่จะทำให้คณะรัฐมนตรีรักษาการถูกจำกัดการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 169 (1) ถึง (4) คณะรัฐมนตรีรักษาการหรือรัฐบาลรักษาการในปัจจุบันจึงปฏิบัติหน้าที่ได้โดยไม่มีข้อจำกัด เพียงแต่นายกรัฐมนตรีของรัฐบาลรักษาการในปัจจุบัน เป็นเพียงผู้ปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี ไม่ใช่นายกรัฐมนตรีตัวจริง ซึ่งเป็นข้อถกเถียงว่าจะสามารถทำหน้าที่กราบบังคับทูลเพื่อยุบสภาได้หรือไม่ บทความนี้จึงเป็นเพียงความเห็นหนึ่งเท่านั้น

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา