
"...บรรดานักวิชาการและสื่อมวลชนกำลังเอาใจจดจ่อว่า พรรคประชาชนจะเลือกใครระหว่างทีมพรรคภูมิใจไทยกับทีมพรรคเพื่อไทย และด้วยเหตุผลใด ทว่า กลับไม่มีใครคิดถึงผลลัพธ์ที่เป็นประโยชน์ของการเลือก (payoff) ของพรรคประชาชน ว่าได้อะไรจากการเลือกนั้น..."
ปกตินักรัฐศาสตร์ใช้ทฤษฎีเกม (game theory) เป็นเครื่องมือวิเคราะห์การจัดตั้งรัฐบาลผสม (coalition government formation) เพื่อดูแบบแผน (pattern) ว่าการร่วมมือกันเป็นรัฐบาลผสมแต่ละครั้งนั้นประกอบไปด้วยพรรคอะไรบ้าง หากปรากฏว่ามีพรรคหนึ่งมีความสำคัญต่อการผสมกันเป็นรัฐบาลบ่อย ๆ ก็จะเป็นตัวทำนายการจัดตั้งรัฐบาลผสมในครั้งต่อไป
ทฤษฎีของฟาน ดีเมน (Van Deeman, 1987) ให้ดูว่าพรรคใดเป็น “ผู้เล่นหลัก” (central player)ของเกมการตั้งรัฐบาลผสม
ส่วนทฤษฎีของเพเล็ก (Peleg, 1980) ให้ดูว่าพรรคใดเป็นผู้เล่นที่ครอบงำเกม (dominant player)
ผู้เล่นหลัก หมายถึง พรรคใหญ่ ๆ ที่เข้าร่วมเป็นรัฐบาล ซึ่งได้เสียงส.ส.จำนวนไม่น้อย แต่ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลโดยลำพังได้ เช่น ปัจจุบันการจัดตั้งรัฐบาลผสมของไทย มีผู้เล่นหลัก ได้แก่ พรรคเพื่อไทย พรรคภูมิใจไทย และพรรคประชาชน
ด้านผู้เล่นที่ครอบงำเกม หมายถึง การผสมกันเป็นรัฐบาลในครั้งนั้นขาดพรรคอะไรไม่ได้ เพราะพรรคนั้นเป็นตัวชี้ขาดชัยชนะในการจัดตั้งรัฐบาลผสม (winning coalition)
ในบางครั้งมีพรรคหนึ่งเป็นผู้เล่นหลักด้วย ขณะเดียวกันก็เป็นผู้เล่นครอบงำเกม เพราะเป็นพรรคชี้ขาดการได้รับชัยชนะการจัดตั้งรัฐบาลผสมด้วย เราเรียกพรรคนั้นว่า “ผู้เล่นหลักที่ครอบงำเกม” (dominant central player)
สำหรับพรรคที่เป็นตัวประกอบจะเรียกว่า “dummy player” หมายถึงผู้เล่นที่เป็นตัวประกอบ ไม่ได้มีค่าทางตัวเลขที่มีนัยสำคัญ ในที่นี้หมายถึงไม่ใช่ผู้เล่นหลักหรือไม่ใช่ผู้เล่นครอบงำเกม
การแข่งขันจัดตั้งรัฐบาลผสมทุกครั้งจะมี “ผู้เล่นหลัก” เสมอ แต่จะมี “ผู้เล่นที่ครอบงำเกม” หรือไม่นั้น ไม่แน่ ยกตัวอย่างเช่น
ประเทศฝรั่งเศส รัฐบาลผสมมีผู้เล่นหลักหลายพรรคมารวมกันเป็นเสียงข้างมาก แต่ไม่ค่อยมีผู้เล่นครอบงำเกม เว้นแต่ช่วงสาธารณรัฐที่สี่ (ค.ศ. 1945-1957) ที่มีพรรคคอมมิวนิสต์ฝรั่งเศส (the French Communist Party) หรือ PCF เป็นผู้เล่นครอบงำเกม
ประเทศเนเธอร์แลนด์ การจัดตั้งรัฐบาลผสม 11 ครั้ง มีพรรคที่เป็นผู้เล่นครอบงำเกม 3 ครั้งอยู่สองพรรค ได้แก่ พรรคประชาธิปไตยสังคมดัชท์ (Dutch Social Democratic Party) กับพรรคแรงงาน (PVDA) ส่วนอีก 8 ครั้ง มีผู้เล่นครอบงำเกมอยู่สามพรรค ได้แก่ พรรคประชาชนคาทอลิก (KVP) พรรค Christian Democratic Appeal (CDA) และพรรคประชาธิปไตยคริสเตียน (Christian Democratic party)
ส่วนในไอร์แลนด์ ผู้เล่นครอบงำเกมทุกครั้ง ได้แก่ พรรค Fianna Fail
ในเยอรมนี ผู้เล่นครอบงำเกม คือ พรรคสหภาพประชาธิปไตยคริสเตียนและสหภาพสังคมคริสเตียน (CDU/CSU) ทางด้านอิตาลี ผู้เล่นครอบงำเกม คือ พรรคคริสเตียนดิโมเครซี (DC)
สำหรับประเทศไทยเรา ที่ผ่านมา ไม่น่าจะมี “ผู้เล่นครอบงำเกม” ส่วนใหญ่มี “ผู้เล่นหลัก” คือ พรรคใหญ่ ๆ มารวมตัวกันจัดตั้งรัฐบาลผสม โดยมีพรรคเล็กเป็นตัวประกอบ เช่น พรรคชาติไทยสมัยก่อน หรือชาติไทยพัฒนาในปัจจุบัน
แต่หลังจากนางสาวแพทองธาร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ อันเป็นผลให้คณะรัฐมนตรีต้องพ้นจากตำแหน่งแล้ว นั้น การเมืองไทยเปลี่ยนแปลงไป
เกิด “ผู้เล่นครอบงำเกม” ได้แก่ “พรรคประชาชน” ซึ่งปัจจุบันเป็นพรรคฝ่ายค้านมีส.ส. 140 เสียงเป็นตัวชี้ขาดการแข่งขันกันจัดตั้งรัฐบาลผสม ระหว่างทีมแรกนำโดยพรรคภูมิใจไทย พรรคพลังประชารัฐ กล้าธรรม ฯลฯ และทีมที่สองนำโดยพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นพรรคหลักในการจัดตั้งรัฐบาลเดิม กับพันธมิตร เช่น พรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทยพัฒนา พรรครวมไทยสร้างชาติ ฯลฯ
เหตุที่ครอบงำเกมการจัดตั้งรัฐบาลผสม ก็เพราะหากพรรคประชาชนสนับสนุนทีมใด ทีมนั้นก็จะได้รับชัยชนะเป็นรัฐบาลผสม
พรรคประชาชนจึงเสนอเงื่อนไขฝ่ายเดียว 3 ข้อ ให้แต่ละทีมพิจารณาว่าจะรับได้หรือไม่ ได้แก่ (1) เมื่อเป็นรัฐบาลแล้วต้องยุบสภาในสี่เดือน (2) ต้องผ่านพระราชบัญญัติประชามติและจัดให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญเพื่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญต่อไป และ (3) พรรคประชาชนขอเป็นฝ่ายค้าน
ปรากฏว่าทั้งสองทีมตกลงรับเงื่อนไขของพรรคประชาชน ต่อมา พรรคประชาชนได้นำเรื่องเข้าไปหารือที่ประชุมพรรคของตน มีการอภิปรายในพรรคอย่างกว้างขวาง แต่ยังหาข้อสรุปไม่ได้ว่าพรรคประชาชนจะเลือกสนับสนุนทีมใด
มีข่าวออกมาจากปากผู้บริหารพรรคประชาชนโดยตรงทำนองว่า ทั้งสองทีม ไม่ว่าทีมภูมิใจไทยหรือทีมเพื่อไทยต่างไว้ใจไม่ได้ด้วยกัน จึงยังไม่สามารถตกลงได้ อดีตแกนนำพรรคบางคนถึงกับเปรียบสองทีมว่าเหมือน “อุจจาระแห้ง” กับ “อุจจาระเปียก” ซึ่งมีความหมายว่าทั้งสองทีมไม่น่าแตะต้องหรือคบหาด้วยกัน
การครอบงำเกมครั้งนี้นอกจากเป็นครั้งแรกในประเทศไทยแล้ว ยังเป็นเงื่อนไขที่ออกจะแปลก ตรงที่พรรคประชาชนขอเป็นฝ่ายค้าน โดยไม่ได้เข้าไปเป็นรัฐบาลผสมด้วย ซึ่งผิดหลักการจัดตั้งรัฐบาลผสมทั่วโลก
นักรัฐศาสตร์ไทยตั้งข้อสงสัยว่าทำไมพรรคประชาชนไม่เข้าไปเป็นรัฐบาลผสม ทั้งที่การเป็นรัฐบาลผสมมีข้อดีตรงที่สามารถผลักดันอุดมการณ์และนโยบายของพรรคประชาชนไปเป็นนโยบายของรัฐบาล ขณะเดียวกันก็ควบคุมการปฏิบัติตามนโยบายของพรรค และควบคุมการดำรงอยู่ของรัฐบาลผสมได้อีกด้วย เมื่อใดก็ตามที่รัฐบาลผสมไม่ทำตามเงื่อนไขที่ตกลงกัน พรรคประชาชนสามารถถอนตัวออกมา อาจทำให้รัฐบาลผสมล้มลง
พรรคประชาชนอธิบายว่าสาเหตุที่ต้องกำหนดเงื่อนไขเช่นนี้ เพราะต้องการการช่วยให้ประชาธิปไตยไทยผ่าทางตันไปได้ ลำพังทีมพรรคภูมิใจไทยทีมเดียวจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ ขณะที่ทีมพรรคเพื่อไทยทีมเดียวก็จัดตั้งรัฐบาลไม่ได้เช่นกัน หากไม่มีพรรคประชาชนเข้าไปช่วยออกเสียงสนับสนุน
ฉากทัศน์ที่น่ากลัวสำหรับพรรคประชาชน คือ ถ้าหากพรรคประชาชนไม่สนับสนุนทีมใด ทีมพรรคภูมิใจไทยกับพรรคเพื่อไทยอาจกลับไปรวมกันจัดตั้งรัฐบาลผสม หรือสองพรรคใหญ่รวมกันสนับสนุนพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี พรรคประชาชนตั้งข้อรังเกียจพลเอกประยุทธ์ว่าเคยเป็นหัวหน้าคณะรัฐประหารที่ทำการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย
บรรดานักวิชาการและสื่อมวลชนกำลังเอาใจจดจ่อว่า พรรคประชาชนจะเลือกใครระหว่างทีมพรรคภูมิใจไทยกับทีมพรรคเพื่อไทย และด้วยเหตุผลใด
ทว่า กลับไม่มีใครคิดถึงผลลัพธ์ที่เป็นประโยชน์ของการเลือก (payoff) ของพรรคประชาชน ว่าได้อะไรจากการเลือกนั้น

คำถามทางวิชาการมี 2 ประเด็น ได้แก่
ประเด็นแรก การกำหนดกติกาของเกมการเลือกเช่นนี้ พรรคประชาชนได้อะไร
ตามหลักการจัดตั้งรัฐบาลผสมนั้น พรรคที่สนับสนุนการจัดตั้งรัฐบาลผสมต้องได้รับผลลัพธ์ที่เป็นประโยชน์จากการเลือกด้วย
พรรคประชาชนใช้วิธีใช้สื่อสร้างข่าวสารแก่ประชาชน (media coverage) เพื่อสร้างการรับรู้ (awareness) และสร้างชื่อเสียง (reputation) ว่า พรรคประชาชนต้องการเพียงแค่ช่วยให้การเมืองไทยให้ผ่าทางตัน และการยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ โดยที่พรรคไม่ได้คิดถึงผลลัพธ์ที่จะได้จากการเลือกตั้งในอนาคตแต่อย่างใด ซึ่งข้อนี้ไม่น่าจะเป็นความจริง เพราะไม่สอดคล้องกับหลักการเลือกของทฤษฎีเกม
คำตอบที่ถูกที่ซ่อนอยู่นั้น น่าจะเป็นว่าพรรคประชาชนได้รับประโยชน์จากแรงจูงใจต่อคะแนนเสียงในการเลือกตั้ง (voter-seeking) ในครั้งต่อไปมากกว่า
เห็นได้จากการที่พรรคประชาชนไม่ยอมเข้าร่วมเป็นรัฐบาลผสม ก็เพราะไม่ต้องการเข้าไปเกลือกกลั้วกับการเมืองในปัจจุบันที่อดีตคนของพรรคประชาชนเปรียบเป็นอุจจาระแห้งหรืออุจจาระเปียก
พรรคประชาชนได้วางตำแหน่งพรรค (party positioning) ว่าเป็นพรรคก้าวหน้า ปราศจากนายทุนพรรค มีความบริสุทธิ์ผุดผ่อง และต้องการสร้างประชาธิปไตยโปร่งใสโดยคนรุ่นใหม่
ประกอบกับพื้นฐานของพรรคเกิดจากกลุ่มกดดัน (pressure group) ภายในพรรค อันประกอบด้วยนิสิตนักศึกษา อาจารย์ ชนชั้นกลางและคนที่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ และมีกลุ่มคอคัสนอกพรรคในนาม “คณะก้าวหน้า” ทำงานคู่ขนานกับพรรค
แรงกดดันภายในเช่นนี้ ทำให้พรรคประชาชนขาดความยืดหยุ่นต่อสถานการณ์ทางการเมืองและขาดการปรับตัวเข้ากับโลกการเมือง ตกอยู่ใต้ภาวะกดดันให้ต้องแสดงออกว่าพรรคได้ทำการปรึกษาหารือกับสมาชิกตามขั้นตอนอย่างเป็นประชาธิปไตยและมีความโปร่งใส
แต่ความจริง พรรคประชาชนรู้เป็นอย่างดีว่าหากพรรคประชาชนเข้าร่วมรัฐบาลผสม การขายความฝันอันบรรเจิด (fantasy) ของพรรคจะสลายไปทันที
โลกของความเป็นจริง (in the real world) ของการเมืองไทยเป็นโลกของระบบอุปถัมภ์และการคอร์รัปชัน และปัญหาของประเทศไทยทั้งหมดเป็นปัญหายืดเยื้อเรื้อรัง (wicked problems) ที่ไม่อาจแก้ไขได้ในระยะเวลาหนึ่งหรือสองทศวรรษอันใกล้นี้
อีกทั้งพรรคประชาชนน่าจะไม่ได้มีนโยบายและทิศทางการแก้ไขปัญหาที่ประเทศกำลังเผชิญในปัจจุบันอย่างชัดเจน โดยเฉพาะปัญหาชายแดนและการทำสงครามระหว่างไทยกับกัมพูชา และความสัมพันธ์ระหว่างพรรคกับทหารและสถาบัน ปัญหายาเสพติด การพนันออนไลน์ การคอร์รัปชัน ปัญหาความเหลื่อมล้ำ คนจน คนชายขอบ คนรากหญ้าและเกษตรกร เนื่องจากเป็นพรรคของคนในเมือง
อีกทั้งยังได้รับอิทธิพลจากนักกฎหมายสายโครงสร้างนิยมเป็นหลัก แนวทางในการแก้ไขปัญหาที่พรรคประชาชนจึงไม่มีอย่างอื่น นอกจากการแก้รัฐธรรมนูญใหม่ แม้อาจมีนักวิชาการสายอื่นบ้าง แต่ส่วนใหญ่เป็นแนวคิดสายสถาบันนิยม (Institutionalism) ที่คิดแก้ปัญหาด้วยการเปลี่ยนโครงสร้าง-หน้าที่
นอกนั้น นักวิชาการบางคนก็ถนัดในการประดิษฐ์ถ้อยคำอันเป็นวาทกรรมที่พิสูจน์ไม่ได้ เช่น “ใบอนุญาตใบที่สอง” หรือสร้างคุณค่าทางที่ผิดให้แก่สังคม เช่น “ราชาชาตินิยม”
ส่วนปัญหาคอร์รัปชันของไทย ถ้าศึกษาให้ลึกซึ้งจะพบว่าเกิดจากนายทุนเข้ามายึดครองรัฐ (state capture) เริ่มต้นตั้งแต่สมัยหลังรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 เป็นต้นมา และที่จริงทุนจำนวนมากของพรรคประชาชนตั้งแต่ยุคพรรคอนาคตใหม่นั้น ก็มาจากนายทุนที่ยึดครองรัฐเหมือนกัน
อเล็กซ์ มูตาบี (Alex Mutabi) อาจารย์มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ยืนยันว่าสาเหตุที่การปราบปรามการคอร์รัปชันในประเทศไทยล้มเหลวนั้น เป็นเพราะนายทุนเข้ามายึดครองรัฐตั้งแต่สมัยรัฐบาลทักษิณ เป็นต้นมา จนกระทั่งปัจจุบันไทยยังไม่มีแนวทางการปราบทุจริตที่เกิดจากนายทุนยึดครองรัฐ องค์กรปราบคอร์รัปชันไทยขาดความรู้ความเข้าใจ มุ่งแก้ปัญหาเฉพาะการคอร์รัปชันทางการบริหาร (Administrative Corruption) และขาดยุทธศาสตร์เชิงรุก จึงจับคอร์รัปชันได้เฉพาะรายเล็กรายน้อย
ผู้นำพรรคประชาชนบางคนแสดงออกต่อสาธารณะด้วยซ้ำว่านักธุรกิจผู้ยึดครองรัฐอย่างเช่นคุณทักษิณมีแนวคิดก้าวหน้าที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญแนวทางเดียวกันกับพรรคประชาชน ทั้งที่คุณทักษิณเป็นตัวอย่างของปัญหานายทุนยึดครองรัฐที่โดดเด่นที่สุด อีกทั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ใช่แนวทางการแก้ไขปัญหาที่แท้จริงของประเทศไทย ดังเห็นได้จากการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เกิดขึ้นหลายครั้ง แต่ไม่ได้มีผลต่อการลดปัญหาที่สำคัญ เช่น ปัญหาระบบอุปถัมภ์ ปัญหาการซื้อเสียง
ประเด็นที่สอง การแก้แค้นทางการเมือง (political revenge)
การกำหนดกติกาการเลือกฝ่ายเดียวโดยพรรคประชาชนดังกล่าว มีลักษณะเป็นการด้อยค่าและกดทับพรรคการเมืองพรรคอื่น เพื่อสร้างปมเด่นให้กับพรรคตนเพียงพรรคเดียว ทั้งที่พรรคการเมืองอื่นก็มาจากการเลือกตั้งในระบอบเดียวกันกับพรรคประชาชน
วิธีการบีบบังคับให้รัฐบาลผสมเป็นเสียงข้างน้อย การให้เฉพาะหัวหน้าพรรคการเมืองของทีมที่จะขอรับความสนับสนุนมาหาตนที่พรรค การเตรียมการให้รัฐบาลลงนามในหนังสือข้อตกลงกับพรรคประชาชนล้วนเป็นพฤติการณ์ที่พรรคประชาชนต้องการแสดงให้สาธารณะเห็นว่าพรรคการเมืองอื่นเป็นพรรคหิวอำนาจและผลประโยชน์ มือไม่สะอาด หรือเป็นพวกซื้อเสียง ส่วนพรรคประชาชนอยู่ในลำดับศักดิ์ที่สูงกว่าและได้เปรียบในการต่อรอง
รวมไปถึงมีเพียงพรรคประชาชนและการเลือกตั้งครั้งต่อไปเท่านั้นที่จะได้พรรคประชาชนไปเป็นรัฐบาลและสามารถแก้ไขปัญหาให้กับประเทศไทยได้
พรรคประชาชนแสดงออกให้เห็นถึงความต้องการแก้แค้นทางการเมืองที่ซ่อนอยู่ในใจ ต่อปัญหาต่าง ๆ ที่พรรคเคยเผชิญ โดยไม่ได้ลืมและไม่ได้คิดให้อภัย เช่น การถูกยุบพรรค ถูกตัดสิทธิทางการเมือง ถูกดำเนินคดีทางกฎหมาย ถูกดูหมิ่นดูแคลนว่าขาดประสบการณ์ทางการเมือง และได้สร้างความหวังเป็นอย่างมากว่าจะได้อำนาจจากการเป็นพรรคที่ได้เสียงข้างมากในการจัดตั้งรัฐบาล เพื่อเข้าไปแก้ไขรัฐธรรมนูญและวางโครงสร้างที่เกี่ยวข้องกับสถาบันการเมืองใหม่ ซึ่งไม่ได้ต่างจากกลุ่มนักปฏิวัติหนุ่มสาวแนวทางรัฐสภาในยุโรปตะวันตก
โดยอาศัยพื้นฐานของอุดมการณ์เสรีนิยมและอิสรชนนิยมที่ยกย่องความเป็นอิสระของปัจเจกและต่อต้านการใช้อำนาจของรัฐและสถาบันทางการเมืองเดิม รวมไปถึงสังคมนิยม พรรคประชาชนหวังว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ต่อไปอย่างก้าวกระโดด
ปัญหาอยู่ที่การเป็นพรรคการเมืองต้องมีความยืดหยุ่นและปรับตัวเข้ากับบริบทเฉพาะ มีนโยบายที่สอดคล้องกับความเป็นจริง ไม่เพ้อฝัน รวมทั้งต้องมีทัศนคติที่ดีต่อระบบการเมืองและพรรคการเมือง โดยต้องมีความสามารถทัดทานแรงกดดันจากกลุ่มกดดันภายในพรรคได้
ประวัติศาสตร์การเมืองของโลกแสดงให้เห็นแล้วว่าการเล่นการเมืองที่มุ่งเป็นฮีโร่อย่างเดียว โดยขาดสาระของการแก้ไขปัญหาให้กับสามัญชนนั้น เป็นเพียงประวัติศาสตร์ของขุนนางชั้นสูงอีกหน้าหนึ่งในอีกรูปแบบหนึ่ง อันไม่ได้ต่างไปจากขุนนางข้าราชการ ที่ถูกบันทึกไว้ให้คนจดจำได้ไม่นาน
ฮีโร่มักเก่งเกินไปและจบเร็วเกินไป
บทความโดย :
ทนายบ้าน ๆ

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา