
"...ผมน่าจะเป็นลูกค้าคนแรก ๆ ของร้านนี้ที่ชื่อเดิมคือ One Fine Day ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของร้านตั้งแต่เมนูกาแฟ ขนม ไปจนถึงเพิ่มบริการอาหารจานเดียว มีลูกค้าทั้งประจำและลูกค้าจร แวะเวียนมาตลอดเวลา จนกระทั่งปิดร้านปรับปรุงเมื่อเดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว ตกแต่งร้านภายในใหม่ พร้อมเปลี่ยนชื่อร้านเป็น Galleria 18 ให้สอดรับกับการนำภาพวาดอิมเพรสชันนิสม์มาติดรอบผนังร้าน เพื่อบันทึกความประทับใจในธรรมชาติ นำนักดนตรีมาเล่นกีตาร์ร้องเพลงสดร่วมสมัยยุค 60-80 พร้อมกับเปิดเฉพาะในช่วงวันศุกร์ถึงวันอาทิตย์ เพื่อตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายที่ตั้งใจไว้..."
สวัสดีครับ
การเขียน Weekly Mail ในแต่ละสัปดาห์ สิ่งที่ท้าทายคือค้นคิดเรื่องที่จะเขียน และค้นคว้าหาข้อมูลเพิ่มเติม แต่จุดเป็นจุดตายที่สามารถส่งบทความให้พวกเราได้อ่านทุกสัปดาห์คือ การตั้งต้น ร้อยเรียงเรื่องที่เขียน ซึ่งอยู่ที่ใจและวินัยล้วน ๆ ดังนั้น สถานที่และบรรยากาศในการเขียนจึงมีส่วนสำคัญ ที่ผ่านมา การเขียนที่บ้านไม่ตอบโจทย์ เพราะใจไม่จดจ่อ ล่องลอยไปเรื่อย ๆ ผมจึงเลือกไปเขียนที่ร้านกาแฟใกล้บ้าน ซึ่งร้านแรกที่ใช้เป็นสถานที่เขียนเป็นร้านบริเวณกว้างขวาง ติดกับบ่อปลาขนาดใหญ่ร่มรื่น ช่วยสร้างบรรยากาศในการเขียนเป็นอย่างดี แต่เมื่อเจ้าของร้านต้องใช้เวลาดูแลพ่อแม่ จึงตัดสินใจปิดร้านไปอย่างน่าเสียดาย
ผมว้าวุ่นอยู่พักใหญ่ ตระเวนไปตามร้านกาแฟในละแวกนี้เกือบทั้งหมด แต่ยังไม่มีร้านไหนที่ถูกใจ จนกระทั่งวันหนึ่งเพื่อนนัดพบกันที่ร้านกาแฟในซอยลาดปลาเค้า 18 ถัดจากบ้านผมไปเพียงไม่กี่ซอย เรียกว่า ใกล้เกลือกินด่าง ไม่เคยสังเกตเพราะร้านตั้งเข้าไปในซอย แต่เมื่อก้าวย่างเข้าไปในบริเวณร้านที่เป็นสวนขนาดย่อม ปลูกต้นไม้ร่มรื่น มีน้ำตกเล็ก ๆ ภายในร้านหลังคาสูงโปร่ง มีกระจกล้อมรอบโต๊ะ เก้าอี้ มีระดับดูเป็นส่วนตัว ราวกับว่านั่งอยู่ในบ้านตนเอง มองทอดสายตาเห็นใบไม้เขียวสีสดใส จนลืมไปว่าเราอาศัยอยู่ในท่ามกลางตึกคอนกรีต บอกกับตนเองว่าร้านนี้ “ใช่เลย”

ร้านกาแฟ Galleria 18
จากวันนั้นถึงวันนี้กว่า 6 ปี ผมใช้ร้านกาแฟแห่งนี้เป็นสถานที่เขียน Weekly Mail ช่วยให้ผมเกิดจินตนาการ เขียนบทความอย่างเพลิดเพลิน แต่ตัวช่วยให้ผมเขียนจนเสร็จ คือ กาแฟของร้าน ที่มีรสชาติเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เป็นกาแฟอาราบิก้ามาจากแหล่งปลูกเดียวของจังหวัดเชียงราย คือ กาแฟปางขอน มีกลิ่นหอมของดอกไม้และช็อกโกแลต รสชาติเข้มแต่นุ่ม หวานปลาย และที่ไม่พลาดทานควบคู่กับกาแฟคือ ครัวซองต์ เสิร์ฟร้อน ๆ เนื้อขนมปังด้านนอกวางซ้อนกันเป็นแผ่น บางกรอบ เนื้อสัมผัสฟูเบา หอมฉ่ำไปด้วยกลิ่นเนยสดแท้นำเข้าจากฝรั่งเศส มีหลากหลายรสชาติ ทั้ง เนยสด อัลมอนด์ ไปจนถึงไข่เค็มลาวา ที่หวานมันกำลังดี

ร้านกาแฟแห่งนี้มีคุณพชราวลัย อิสริยศานต์ (คุณแยม) เจ้าของร้าน เป็นผู้หญิงเก๋ไก๋ คล่องแคล่วและมีความสดใส คอยดูแลลูกค้า เดินไปเดินมาเพื่อถามไถ่ถึงรสชาติกาแฟและขนมที่ทาน ซึ่งผมประทับใจมาก เพราะวันหนึ่งเข้ามาทักทายพร้อมเรียกชื่อผมได้ถูกต้อง ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยแนะนำตัวกันมาก่อน
ผมน่าจะเป็นลูกค้าคนแรก ๆ ของร้านนี้ที่ชื่อเดิมคือ One Fine Day ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของร้านตั้งแต่เมนูกาแฟ ขนม ไปจนถึงเพิ่มบริการอาหารจานเดียว มีลูกค้าทั้งประจำและลูกค้าจร แวะเวียนมาตลอดเวลา จนกระทั่งปิดร้านปรับปรุงเมื่อเดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว ตกแต่งร้านภายในใหม่ พร้อมเปลี่ยนชื่อร้านเป็น Galleria 18 ให้สอดรับกับการนำภาพวาดอิมเพรสชันนิสม์มาติดรอบผนังร้าน เพื่อบันทึกความประทับใจในธรรมชาติ นำนักดนตรีมาเล่นกีตาร์ร้องเพลงสดร่วมสมัยยุค 60-80 พร้อมกับเปิดเฉพาะในช่วงวันศุกร์ถึงวันอาทิตย์ เพื่อตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายที่ตั้งใจไว้
คุณแยมเล่าว่า จบนิติศาสตร์บัณฑิต จากจุฬาฯ ตามความประสงค์ของพ่อ และจบเนติบัณฑิต เคยทำงานทนายความ ที่ปรึกษากฎหมาย และงานด้านอื่น ๆ เปลี่ยนงานมากว่า 10 แห่ง เพราะยังไม่พบงานที่ใช่ จุดเปลี่ยนของชีวิตคือ การได้ศึกษาวิชา “พลังจักรวาล” โดยคุณแม่เป็นผู้สมัครให้ เนื่องจากเห็นว่านั่งสมาธิเป็นประจำ น่าจะศึกษาทางนี้ได้ ซึ่งวิชาพลังจักรวาลทำให้ได้รู้จักโยคะเป็นครั้งแรก เพราะผู้เรียนต้องฝึกโยคะด้วย เมื่อฝึกไประยะหนึ่งก็รู้สึกว่า ร่างกายแข็งแรงขึ้น จึงเริ่มฝึกอย่างจริงจัง จากที่เป็นคนขี้โรคตั้งแต่เด็ก การไปหาหมอเป็นเรื่องปกติ กลายเป็นว่า หลาย ๆ ปีถึงจะไปหาหมอสักครั้ง เมื่อได้เห็นประโยชน์ด้วยตัวเองแล้ว จึงคิดว่าอยากจะแบ่งปันความรู้ดี ๆ นี้ให้กับคนอื่นได้มีสุขภาพที่ดีทั้งกายและใจด้วย จึงตัดสินใจมาเป็นครูสอนโยคะ และได้พบว่า นี่คืองานที่เราทำแล้วมีความสุข แล้วยังทำให้คนอื่นมีสุขภาพที่ดีด้วย ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา สอนทั้งในสตูดิโอโยคะและส่วนตัว มีนักเรียนโยคะอายุตั้งแต่ 7 ขวบจนถึง 90 ปี ได้รับความปีติทุกครั้ง เมื่อมีนักเรียนเล่าให้ฟังถึงผลที่ได้รับจากการฝึกโยคะ

การเป็นครูสอนโยคะทำให้ได้พบกับ “น้องอ้อ” นักเรียนโยคะตัวต่อตัว ซึ่งเรียนด้วยกันเป็นปีจนสนิทกัน เลยได้คุยให้ฟังว่า อยากเปิดร้านกาแฟเล็ก ๆ มานานแล้ว เพราะชอบดื่มกาแฟมาก โดยมีร้านคอฟฟี่ เวิลด์ แบรนด์ที่เกิดและเติบโตขึ้นในเมืองไทย เมื่อเกือบ 30 ปีที่แล้วเป็นแรงบันดาลใจ ตลอดเวลาที่ผ่านมา มีความสุขกับการตระเวนดื่มกาแฟตามร้านต่าง ๆ ทั่วประเทศ ตั้งแต่ร้านเล็ก ๆ ริมทางไปจนถึงร้านใหญ่ ได้เก็บสะสมข้อมูลความรู้เกี่ยวกับกาแฟมากมาย และผลจากการพูดคุยในวันนั้น นำมาสู่การตัดสินใจเปิดร้านกาแฟร่วมกัน ซึ่งตอนแรกคิดว่าจะขอแฟรนไชส์ร้านกาแฟแบรนด์เนม แต่เนื่องจากมีขั้นตอนยุ่งยากและใช้เวลานานมาก จึงเปลี่ยนมาเปิดเอง โดยน้องอ้อได้นำที่ดินของตนเองมาสร้างร้านกาแฟแห่งนี้ โดยที่คุณแยมไปเรียนบาริสต้าที่ เลอ กอร์ดอง เบลอ ดุสิต และสามารถสานฝันของตนเองมาจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งคุณแยมยอมรับว่า สมัยก่อนเป็นคนไม่ชอบเข้าสังคม แต่เมื่อมาเปิดร้านกาแฟแล้วต้องปรับตัวเองเยอะมาก

นอกจากเป็นบาริสต้าและครูสอนโยคะแล้ว ตอนนี้คุณแยมยังเป็นนักอ่านไพ่ทาโรต์ด้วย เริ่มจากที่เพื่อนไปเรียนและมาอ่านไพ่ให้ เมื่อมีการตั้งคำถาม ไพ่ที่ถูกเลือกออกมาสามารถตอบคำถามนั้น ๆ ได้อย่างน่าอัศจรรย์ ทำให้เกิดความสนใจและเริ่มเรียนรู้อย่างจริงจังมากว่า 10 ปี ซึ่งการอ่านไพ่มีหลายแบบ แต่คุณแยมอ่านแบบใช้ความรู้สึกที่เห็นหน้าไพ่และตามจิตใต้สำนึกที่ได้รับการสื่อสาร เพื่อให้คำปรึกษาและคำแนะนำแนวทางในการแก้ไขปัญหาในด้านการเงิน การงาน และความรัก
คุณแยมกล่าวทิ้งท้ายว่า นอกจากเป็นครูสอนโยคะ บาริสต้า นักอ่านไพ่ และนักกฎหมายแล้วมีอีกเรื่องหนึ่งที่ใฝ่ฝันอยากเป็นมาตั้งแต่เด็ก คือ การเป็นนักเขียน มนุษย์เรามีศักยภาพมากมาย เราทำได้ทั้งงานที่ชอบ งานที่ใช่ และงานที่ถนัด อย่าจำกัดตัวเองไว้ในกรอบ เพราะเราทำได้มากกว่าที่เราคิด ให้โอกาสตัวเองได้ศึกษาเรื่องใหม่ ๆ และลองทำสิ่งใหม่ ๆ บ้าง
บทความโดย :
รณดล นุ่มนนท์


Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา