
"...ในการทำความเข้าใจที่ถูกต้องรัฐบาลควรต้องสร้างความั่นใจและสื่อสารให้ชัดเจนว่า จะไม่มีการส่งสินค้า ใดๆไปขายให้เขมรอย่างเด็ดขาด ทั้งหมดเป็นเรื่องของเศรษฐกิจโลกปัจจุบันที่ต้องพึ่งพา “ห่วงโซ่การผลิต“ หรือ ”supply chain” ส่วนผลกระทบต่อความมั่นคงชายแดนเขมรนั้น รัฐบาลจะพิจารณาเปิดด่านเป็นการทั่วไปต่อเมื่อมีเงื่อนไขในเรื่อง การเก็บกู้ทุ่นระเบิดในกรอบเวลาที่เหมาะสม,การถอนกำลังพลและอาวุธหนักออกจากชายแดน และการยึดถือแผนที่อัตราส่วน 1:50,000 เป็นแผนที่ในทางปฏิบัติจนกว่าการดำเนินการปักปันเขตแดนภายใต้คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (Joint Boundary Commission-JBC)การจะแล้วเสร็จ พร้อมทั้งสร้างความมั่นใจว่าจะรัฐบาลจะมีมาตรการที่รัดกุมในเรื่องการป้องกันการลักลอบเข้าไปเล่นการพนันที่คาสิโนและการจัดการ scammers อย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง..."
ในช่วงหลายวันที่ผ่านมีประเด็นสำคัญเกี่ยวกับปัญหาไทย-กัมพูชาที่ดูจะเป็นข้อถกเถียงกันในสังคมว่า ถึงเวลาที่เราควรค่อยๆเปิดด่านฝั่งเขมรกันหรือยัง..
ผมเห็นว่าเรื่องนี้เป็นประเด็นเกี่ยวกับการสื่อสารที่ผิดพลาด (miscommunication)มากกว่าอย่างอื่น
กล่าวคือ เมื่อปรากฏเป็นข่าวว่าผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee: GBC)ไทย – กัมพูชา(ระดับ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม)ที่ผ่านมามีการพิจารเรื่องเปิดด่านที่อรัญประเทศ เพื่อผ่อนคลายความเดือดร้อนของประชาชนชายแดน และเนื่องจากเป็นพื้นที่ชายแดนกัมพูชาที่มีปัญหาความรุนแรงน้อยสุด (รัฐบาลแบ่งพื้นที่เป็น 3 เขตตามระดับความรุนแรง)
ต่อจากนั้นก็มีความพยายามอธิบายเพิ่มเติมว่า ไม่ใช่เรื่องการค้าขายปรกติ(ซึ่งคนงงว่าคืออะไร!)และเป็นเรื่องที่ถูกกดดันจากประเทศที่สาม (ต่อมาญี่ปุ่นก็ออกมายอมรับว่าคือตนเอง) เรื่องก็เลยเถิดไปเป็นการปลุกกระแสชาตินิยมว่า เราไม่ควรยอมเขมรง่ายๆ และกลายเป็นว่าเราต้องดูผลประโยชน์ไทยเป็นหลัก พาลไม่ชอบใจญี่ปุ่นที่เป็นมิตรที่ดีของเราไปด้วย
..ทั้งๆที่จริงๆแล้วเรื่องนี้เป็นเรื่องของการพิจารณาผ่อนปรนให้มีการขนส่งชิ้นส่วนสินค้าอุตสาหกรรมที่จะนำมาประกอบเพื่อการส่งออกในประเทศไทย อันเป็นสาระสำคัญยิ่งในการดำเนินนโยบายห่วงโซ่การผลิต (supply chain) ที่มีไทยเป็นศูนย์กลางผลิตและส่งออก(ผ่านท่าเรือแหลมฉบัง)
ดังนั้น มันจึงเป็นการตอบสนองผลประโยชน์ของไทยโดยเฉพาะการเป็นศูนย์กลางผลิตรถบรรทุกขนาดเล็กและชิ้นส่วนประกอบ ซึ่งจากข้อมูลกระทรวงอุตสาหกรรม พบว่าเมื่อปีที่แล้ว ไทยเราผลิตรถยนต์เกือบ 1.5 ล้านคัน ใช้ในประเทศ 5 แสนคันและส่งออกเกือบ 1 ล้านคัน
ดังนั้น ท่ามกลางการแข่งขันที่สูงขึ้นอย่างมากจากเพื่อนบ้านอาเซียน การพยายามรักษาสถานะภาพการเป็นศูนย์กลางการผลิตของภูมิภาค และการเป็นส่วนสำคัญของ global supply chain จึงเป็นหัวใจสำคัญในความพยายามฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศที่รับผลกระทบโดยตรงจากเสถียรภาพการเมืองภายในและปัญหาความมั่นคงกับเพื่อนบ้าน ..
ที่สำคัญคือ สิ่งนี้ไม่ใช่การตัดสินใจ “เปิดด่าน“อย่างที่ออกข่าวตอนแรก
ในการทำความเข้าใจที่ถูกต้องรัฐบาลควรต้องสร้างความั่นใจและสื่อสารให้ชัดเจนว่า จะไม่มีการส่งสินค้า ใดๆไปขายให้เขมรอย่างเด็ดขาด ทั้งหมดเป็นเรื่องของเศรษฐกิจโลกปัจจุบันที่ต้องพึ่งพา “ห่วงโซ่การผลิต“ หรือ ”supply chain”
ส่วนผลกระทบต่อความมั่นคงชายแดนเขมรนั้น รัฐบาลจะพิจารณาเปิดด่านเป็นการทั่วไปต่อเมื่อมีเงื่อนไขในเรื่อง การเก็บกู้ทุ่นระเบิดในกรอบเวลาที่เหมาะสม,การถอนกำลังพลและอาวุธหนักออกจากชายแดน และการยึดถือแผนที่อัตราส่วน 1:50,000 เป็นแผนที่ในทางปฏิบัติจนกว่าการดำเนินการปักปันเขตแดนภายใต้คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (Joint Boundary Commission-JBC)การจะแล้วเสร็จ
พร้อมทั้งสร้างความมั่นใจว่าจะรัฐบาลจะมีมาตรการที่รัดกุมในเรื่องการป้องกันการลักลอบเข้าไปเล่นการพนันที่คาสิโนและการจัดการ scammers อย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง
ทั้งนี้ การร้องขอ(ไม่ใช่กดดัน)โดยญี่ปุ่นก็เป็นไปตามปรกติของ”ลูกค้า“ที่ย่อมแสดงความกังวลต่อการลงทุนของเขา ซึ่งเราก็สามารถแสดงให้เห็นว่าเราพร้อมพิจารณาด้วยหากไม่กระทบต่อผลประโยชน์ของไทย
สุดท้ายแล้วเรื่องนี้น่าจะจบลงได้ดี ด้วยการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพและชัดเจนที่ไม่ต้องตีความ
บทความโดย :
เจษฎา กตเวทิน
หมายเหตุ : นายเจษฏา กตเวทิน
อดีตเอกอัครราชทูต เคยเป็นเอกอัครราชทูตที่โอมาน, สปป.ลาว
กงสุลใหญ่แอลเอ สหรัฐอเมริกา และรองโฆษก กระทรวงการต่างประเทศ รวมถึงเป็นอธิบดีและรองปลัดกระทรวงฯ ตลอดเวลารับราชการที่ กระทรวงต่างประเทศ 36 ปี

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา